ความเชื่อของคริสเตียนและวัฒนธรรมประเพณีไทย

บทความ

เรื่อง ความเชื่อของคริสเตียนและวัฒนธรรมประเพณีไทย

แบ่งปันพระพรโดย ศจ.ดร.นันทชัย มีชูธน

มีความกล่าวว่า ศาสนาเป็นหัวใจของวัฒนธรรม ถ้าเช่นนั้น หัวใจของวัฒนธรรมและประเพณีไทยคงเป็นศาสนาพุทธ แต่ศาสนาพุทธของคนไทยในปัจจุบันหล่อหลอมมาจาก 3 ศาสนา คือ ศาสนาผี ศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ การผสมกลมกลืนของศาสนาทั้งสาม มีรูปแบบช่วยให้ท่านผู้ฟังจำง่ายๆ คือ เป็นรูปเจดีย์ ฐานเจดีย์ เปรียบได้แก่ ศาสนาผีเพราะคนพุทธจำนวนไม่น้อยยังถือผี เลี้ยงผีและยังกลัวผีกันอยู่ ศาสนาพราหมณ์ซึ่งมาภายหลัง ก็มาตั้งบนฐานเจดีย์นี้ คือต่อขึ้นไปจากศาสนาผี  ไม่ทำลายศาสนาผี แต่เสริมกัน และแนะนำคนถือผีซึ่งไม่รู้จักผู้มีอำนาจที่แท้จริง ให้รู้ว่าท่านคือพระพรหม และยังแนะนำให้รู้จักกฎแห่งกรรมของฮินดู และสอนให้รู้จักคำตอบต่อปัญหาชีวิตต่างๆแนะหลักเกี่ยวกับพรหมลิขิตและสอนให้ทำพิธีบวงสรวงต่างๆเพื่อให้พระพรหม เทพเทวดาเมตตาสงสาร แต่ศาสนาพราหมณ์เข้ามาช่วยให้คนถือศาสนาผีดำรงชีวิตดีขึ้น ให้คำตอบศาสนา ผีไม่มี เมื่อปัญหาชีวิตมากขึ้นจนผีก็แก้ไม่ไหว พราหมณ์ก็อาสาเข้ามาแก้แทน ส่วนศาสนาพุทธก็เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยไม่ถึงพันปี และศาสนาพุทธค้นพบว่า คนที่นี่มี 2 ศาสนาแล้ว ศาสนาพุทธก็ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม ด่าว่า หรือตำหนิคนที่เชื่อศาสนาทั้งสอง แต่กลับอนุญาตให้คนถือผีหรือถือพระพรหม ได้เข้ามาศึกษาคำสอนในศาสนาพุทธ จนผีและพราหมณ์เกือบจะสูญหายไปแล้ว เหตุที่ยังสูญหายไม่หมดก็เพราะศาสนาทั้งสองเลือกที่จะฝังตัว ฝังความคิด ฝังแก่นของผีและพราหมณ์ไว้ในศาสนาพุทธจนเกิดความผสมกลมกลืนกัน

            ความประสมกลมกลืนของศาสนาทั้งสาม โดยศาสนาผีและศาสนาพราหมณ์ยอมสูญเสียแก่นไป ได้แต่ฝังตัวเองอยู่ในศาสนาพุทธ เราเรียกปรากฏการณ์นี้ เป็นภาษาวิชาการว่า Syncretism ปัจจุบันนี้ศาสนาทั้งสาม ได้ผสมกลมกลืนกัน เพื่อให้คำตอบแก่คนไทยในการดำรงชีวิตอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์ เมื่อโลกเจริญซับซ้อนขึ้นจนศาสนาที่มีอยู่ให้คำตอบไม่จุใจ คนจะหาศาสนาใหม่เพราะศาสนามีหน้าที่ประการหนึ่งคือ ให้คำตอบแก่มนุษย์ในปัญหาประจำวัน

            วัฒนธรรมไทยเกิดจากการผสมผสานของสามศาสนานี้ ยกตัวอย่างเช่น พนมมือไหว้ การทักทายหรือการแสดงความเคารพมาจากศาสนาพุทธ คริสเตียนไทยก็ยังต้องทักทายกันด้วยอิทธิพลของศาสนาพุทธอยู่ แต่สังคมคริสเตียนไทยไม่ถือว่าเป็นศาสนาพุทธ แต่ถือว่าเป็นวัฒนธรรมไทยและยินดีรับเอามาใช้อย่างเต็มใจ

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ วัฒนธรรมไทยหลากหลายอย่างมากมาจากศาสนาพุทธ แต่สังคมคริสเตียนเกาหลีไม่ยอมรับการไหว้ ซึ่งศาสนาพุทธนิกายมหายานใช้ในเกาหลี แต่เลือกวัฒนธรรมตะวันตก คือ จับมือแทน แต่เมื่อมิชชันนารีชาวเกาหลีมาอยู่ในประเทศไทย อิทธิพลของวัฒนธรรมไทยทำให้การจับมือใช้ไม่ได้ เขาใช้การไหว้แทนเหตุที่คนเกาหลีที่เป็นคริสตชนไม่ไหว้ เพราะเขาถือว่า การไหว้มาจากพุทธ ไม่ได้มาจากวัฒนธรรมเกาหลี

            ด้วยเหตุนี้ การที่คริสเตียนไทยจะรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย อะไรเอาไว้หรือจะไม่ยอมทำตามอะไรและหรือจะทิ้งประเพณีอะไรก็ตาม เขาต้องเข้าใจที่มาที่ไปของวัฒนธรรมและประเพณีนั้นๆ อย่างถ่องแท้ เพื่อจะรู้อะไรผิดและอะไรไม่ผิด ถ้าไม่ผิดแต่จะทำหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

มิชชันนารีและคริสเตียนไทยในอดีต ห้ามมิให้คริสตจักรทำตามวัฒนธรรมและประเพณีหลายอย่างเพราะไม่อยากให้คริสตจักรทำผิดพระคัมภีร์เขาต้องการให้คริสตจักรบริสุทธิ์ การห้ามนั้นถือได้ว่าเป็นมาจากเจตนาดี แต่ผลลัพธ์ก็คือ คริสเตียนดำรงชีวิตในสังคม วัฒนธรรม และประเพณีร่วมกับคนอื่นๆได้อย่างจำกัดหรือไม่ อันนี้คนรุ่นใหม่ต้องค้นหาคำตอบกัน

บางทีการปรับเปลี่ยนประเพณีก็ไม่ใช่ทำกันง่ายๆ แม้เราจะรู้ว่าอะไรมันถูกแต่เพราะคนเขาทำตามๆกันมานานแล้ว การจะปรับเปลี่ยนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การประชุมปรึกษาหารือทางวิชาการ ดูจะเป็นบันไดขั้นแรกและมีความเหมาะสม ที่คริสตจักรจะมาคุยกันปรึกษาหารือกันเหมือนคริสตจักรในพระธรรมกิจการบทที่ 15 แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์นำความคิดของคริสตจักร เพื่อจะค้นหาว่าอะไรทำได้และอะไรทำไม่ได้ซึ่งเป็นวิธีที่อัครทูตใช้มาแล้ว

            เมื่อ คศ. 1511 ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ได้เข้ามาเผยแพร่ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และต่อมา คศ. 1828 มิชชันนารี นิกายโปรเตสแตนต์ก็เริ่มทยอยกันเข้ามาเผยแพร่ หากจะดูว่าศาสนาคริสต์เข้ามาจะต่อเป็นยอดเจดีย์ให้สมบูรณ์ก็คงไม่ผิดนักแต่มิชชันนารีในยุคบุกเบิกและยุคต่างๆมาจำนวนไม่น้อยมองศาสนาของเดิมทั้ง 3 ว่า เป็นมาจากผีมาร ซาตาน   ต้องตัดตอนทิ้งขาด ไม่ยุ่ง ไม่ศึกษา ไม่สนใจ แต่พยายามจะวางรากศาสนาคริสต์ลงในใจคนไทย โดยไม่สนใจฐานเจดีย์ 3 ศาสนาแรก เราพบว่าคาทอลิกใช้เวลา 489 ปี และโปรเตสแตนต์ใช้เวลา 172 ปี ก็ยังต่อยอดเจดีย์กันไม่สำเร็จ

เหตุที่เป็นเช่นนี้เหตุผลหนึ่งในหลายๆเหตุผล ก็อาจเป็นเพราะว่า ศาสนาคริสต์ในระยะต้นๆ ไม่ยอมมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทยใดๆ และยังมองวัฒนธรรมประเพณีของไทยว่า เป็นของนอกศาสนาเป็นมาจากผีมาร ซาตาน ไม่มีคุณค่า ไม่เห็นความดีใดๆเลย มิชชันนารีและคริสตจักรไทย ก็ไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธและวัฒนธรรมไทยให้ถ่องแท้

            เป็นไปได้หรือไม่ที่สิ่งนี้ อาจเป็นผลทำให้คริสเตียนปัจจุบัน อยู่ในสังคมไทยแบบเข้ากับคนรอบข้างไม่สนิทนัก ทำให้เกิดคำถามว่า ศาสนาคริสต์นั้นกลายเป็นของแปลกปลอมในสังคมไทยหรือไม่ เพราะว่าการดำเนินชีวิตประจำวันของคริสเตียนก็ยังจะต้องติดต่อสัมพันธ์กับพุทธศาสนิกชนอีกมาก เช่น ยังมีพ่อ - แม่เป็นพุทธ ยังมีครูบาอาจารย์ที่ยังเป็นพุทธที่จะต้องต้องกราบไหว้อีก ยังมีผู้ร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา ยังมีลูกค้า ยังมีเพื่อนบ้านที่จะต้องวิสาสะ คบหาค้าสมาคม ยังต้องสื่อสารพึ่งพาอาศัย ยังต้องมีมนุษย์สัมพันธ์หรือมิตรสัมพันธ์ในวาระต่างๆ เช่น

เกิด แก่ เจ็บ ตาย และพิธีกรรมต่างๆ และการแสดงออกต่างๆ ตามประเพณีนิยม เช่น งานศพ งานบุญ งานพิธีต่างๆ เช่นสงกรานต์ ลอยกระทง งานฉลองปีใหม่ต่างๆ เมื่อใดที่เราแสดงออกอย่างถูกต้องเหมาะสมในวัฒนธรรมไม่ได้ เราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นได้หรือไม่ หรือมีได้ก็มีที่ระดับหนึ่ง แต่ไม่เหมือนคนอื่นที่เขามีกันในวัฒนธรรมเดียวกัน เราจะแสดงความดีความเห็นอกเห็นใจและความรักต่อคนอื่น จนเข้าถึงเขาได้ยากหรือไม่ เพราะชีวิตของพระคริสต์ต้องเลื่อนไหลไปตามเสี้ยนของวัฒนธรรมหรือไม่ เหมือนไม้ต้องแตกไปตามเสี้ยน ทุเรียนจะเปิดต้องวิ่งไปตามแนวพู กระแสไฟฟ้าจะวิ่งไปในวงจรที่มีความต้านทานต่ำ เช่น ถ้าคริสเตียนกราบเท้าครูบาอาจารย์ไม่ได้สนิทใจ ยืนตรงเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ในโรงภาพยนตร์ไม่สนิทใจ จะไปงานศพก็ทำอิหลักอิเหลอ แล้วเราจะนำพระเยซูไปให้คนไทยได้อย่างไร เราล้อมรั้วตัวเองไว้หรือไม่ เพราะตัวเราเองไม่อยากออกจากรั้วไป แต่อยากให้คนอื่นเข้ามาในศาสนา สถานการณ์อย่างนี้ทำให้คริสเตียนไทยกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมานานแล้วหรือไม่ และคริสตชนเองก็ไม่รู้จะเอาหลักการใดมาใช้การวางตัวจะทำอะไรได้บ้าง อะไรทำไม่ได้บ้าง ก็ยังไม่มีใครตอบได้แน่ชัด

            ด้วยเหตุนี้คริสเตียนไทย - จีน จึงต้องค้นหาความเป็นไทยและจีนให้พบ เราต้องมีความรู้จริง เราต้องรู้วัฒนธรรมของเราอย่างถ่องแท้ เราต้องทำให้คริสตจักรไทยหรือคริสตจักรจีนเป็นไทยแท้ จีนแท้ เรามีหน้าที่ต้องสอนลูกหลานของเรา ให้ภูมิใจในการเป็นไทยและความเป็นจีน เพราะคนในพระคัมภีร์เขารู้แน่ชัดว่า เขาเป็นยิวและเป็นคริสต์เป็นคนต่างชาติและเป็นคริสต์ เราจะรู้สึกว่าเราเป็นคริสต์อย่างเดียวโดยไม่รู้สึกเป็นไทยจะได้หรือ

            การเป็นคริสต์แท้ในประเทศไทย ต้องมีรากฐานจากไทยแท้ ความเป็นคริสต์แท้จะต้องอาศัยความเป็นไทยแท้ เพราะว่าพระคริสต์จะเป็นพระเยซูแท้ๆ ก็ต้องเป็นยิวแท้เสียก่อน จะไม่ผ่านยิวแท้ไม่ได้ พระองค์จึงต้องเกิดมาเป็นยิวแท้ พูด คิด ทำอย่างยิว เดิน กินนอนอย่างยิว ไปธรรมศาลาอย่างยิว ผ่านการเข้าพิธีสุหนัตอย่างยิว จึงเข้าใจหัวใจของคนยิวได้ ความเป็นคริสเตียนแท้ต้องอาศัยร่างและหัวใจของคนไทยแท้ๆ คนไม่มีวัฒนธรรมไม่ใช่คนและไม่ใช่คริสเตียน คริสเตียนไทยเป็นไทยแท้ได้หรือไม่ และคำว่าไทยแท้เป็นอย่างไร พระเยซูทำให้เราเป็นไทยแท้กว่าคนไทยคนอื่นได้หรือไม่

            แต่เราเองก็รู้ว่า เราทำตามคนไทยทุกอย่างไม่ได้ เพราะวัฒนธรรมไทยบางอย่างดีบางอย่างเลว บางอย่างไม่ดี ไม่เลว แต่เป็นกลางๆ ความกตัญญูกตเวทีเป็นของดี การไหว้รูปเคารพและการคอรัปชั่นเป็นสิ่งที่เลว การกินอาหารด้วยมือและการแต่งกาย การไหว้ เป็นวัฒนธรรมกลางๆ ไม่ดีไม่เลว เป็นต้น แต่ยังมีรายละเอียดอีกมาก ที่คริสเตียนถามว่า เราจะทำได้หรือไม่ เช่น การไหว้ศพพ่อแม่ จุดเทียนผิดไหม ใช้ธูปผิดไหม การไหว้พระสงฆ์เมื่อเราไปหาที่ใดที่หนึ่งทำได้ไหม การไปร่วมในพิธีสวดศพจะทำได้แค่ไหนในฐานะลูก แขก ญาติ การไปงานเผาศพ การไปในงานพิธีต่างๆ จะปฏิบัติตัวอย่างไรเช่น คริสตชนต้องเดินขึ้นเวทีของหอประชุมมหาวิทยาลัย เพื่อมอบประกาศนียบัตรแก่ผู้จบการฝึกอบรมภาคฤดูร้อนจำต้องผ่านโต๊ะหมู่บูชา และที่นั่นมีพระพุทธรูป มีธงชาติและมีพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งทุกคนต้องหยุดและแสดงการเคารพ โดยโค้งศีรษะให้เราจะทำอย่างไรดีเมื่อน้องชายบวชพ่อแม่ขอร้องให้คริสตชนถือเสื้อผ้าเดินขบวนเราจะทำอย่างไรเมื่อญาติพี่น้องของเราชวนเราไปร่วมพิธีรำลึกถึงพ่อแม่ที่ฮวงซุ้ยเราจะทำอย่างไร เราจะเข้าร่วมในพิธีกงเต๊กได้ไหม เราจะถวายของให้แก่พระสงฆ์ได้หรือไม่ และยังมีรายละเอียดต่างๆ ในแต่ละพิธีอีกมาก ใครจะเป็นผู้มีสิทธิบอกว่า ทำได้หรือทำไม่ได้ โดยเฉพาะสิ่งนั้นไม่มีบอกในพระคัมภีร์ อัครทูตเคยเจอเรื่องแบบนี้ไหม ท่านทำอย่างไร

            ในกิจการบทที่ 15 มีบทเรียนสอนใจคริสตชน กล่าวคือ เมื่อมีคนต่างชาติเชื่อมากขึ้น คนยิวก็เกิดคำถามว่าคนต่างชาติจะต้องทำตามคนยิวหรือไม่ เขาจะเป็นคริสเตียนโดยไม่ต้องทำสุหนัตได้หรือไม่ เขาจะเป็นคริสเตียนแท้ไหมถ้าเขาไม่ทำแบบยิว เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าแม้เราไม่เข้าสุหนัตเราก็เป็นคริสเตียนแท้ได้ แต่สมัยพระคัมภีร์ใหม่ไม่ใช่คิดได้ง่ายๆ เขาเกิดความสับสนอย่างมาก จนต้องประชุมคริสตจักรเป็นครั้งแรกใน กิจการบทที่ 15 คือ ให้ที่ประชุมซึ่งมีพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย และให้คริสตจักรแสดงความคิดเห็น แล้วอัครทูตสรุปว่าคนต่างชาติไม่ต้องเข้าสุหนัต แต่อัครทูตขอร้องอย่าทำตามคนต่างชาติ 4 ข้อ คือ

( 1 ) งดการล่วงประเวณี

( 2 ) งดการรับประทานเลือด

( 3 ) งดรับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และ

( 4 ) งดรับประทานสิ่งของที่ได้บูชาแก่รูปเคารพ

นี่เป็นวิธีการแก้ปัญหาของคริสตจักร เมื่อประสบว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้และเป็นต้นแบบเรื่อยมา คือ ใช้คริสตจักรและการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในการแก้ไขปัญหา

แต่มีบางคนถามว่า ในพระธรรมกิจการห้ามกินของที่บูชาแก่รูปเคารพ แต่ในพระธรรม 1 โครินทร์ บทที่ 10 สอนว่า ถ้าอยู่กับคนต่างชาติที่เขาอาจไหว้รูปเคารพ ถ้าเขาเอาอาหารอะไรมา ก็ไม่ต้องถามกินได้เลย ถ้าไม่มีคริสเตียนใหม่ให้สะดุด หรือไม่มีคนมาทักว่าอาหารไหว้รูปเคารพแล้ว นั่นคือเราก็จะพบหลักการว่า “ทำด้วยความรัก”กล่าวคือ เราไม่อยากทำอะไรให้ใครสะดุด เราต้องทำด้วยความรักเพราะที่เยรูซาเล็มคนยิวมีมาก เราไม่ควรกินของจากรูปเคารพเพราะคนยิวสะดุดได้ และไม่อยากให้ไปเกี่ยวข้องกับรูปเคารพ แต่พอ 1 โครินทร์ ซึ่งมีคนไหว้รูปเคารพเต็มไปหมดไม่ค่อยมีคนยิว เราก็ไม่ควรทำให้คริสเตียนต่างชาติที่มีความเชื่อน้อยสะดุด ดังนั้นการเลือกกระทำหรือไม่กระทำประเพณีใด เราต้องพิจารณา 2 อย่าง

1 ) ผิดพระคัมภีร์ที่สอนไว้แล้วหรือเปล่า

2 ) คริสเตียนอื่นๆ สะดุดหรือไม่

แต่มีบางคนบอกว่าน่าจะมี ข้อ 3 คือ แม้ไม่ผิดพระคัมภีร์ที่สอน และคริสเตียนไม่สะดุด แต่ก็ยังไม่อยากทำไม่อยากเปลี่ยนเพราะมันทำกันมาช้านานแล้ว มันไม่ขึ้นกับเหตุผลใดๆ มันไม่ใช่ถูกหรือผิด   มันเป็นแต่เคยทำๆ กันมาอย่างนั้น   จะไปทำอย่างอื่นมันก็ดูแปลกๆ ถ้าเราจะคิดเอาความรู้สึกของคริสเตียนตามวัฒนธรรมไทยเป็นหลัก ก็ต้องคิดแบบนั้น แต่ถ้าเราปรับเปลี่ยนแล้วไม่เป็นอุปสรรคต่อคนพุทธที่เขามาใกล้พระเยซูมากขึ้นเราจะว่าอย่างไรเรื่องนี้น่าคิด นอกจากคริสเตียนจะเข้ากับพุทธศาสนิกชนไม่สนิทแล้ว บางทีพุทธศาสนิกชนก็ยังเห็นว่า ศาสนาคริสต์เป็นสิ่งแปลกปลอมในประเทศไทยหรือไม่ ถ้าหลักคำสอนในพระคัมภีร์ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า และพระเยซูจะช่วยคนไทยในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันได้ดีกว่าศาสนาทั้งสาม ทำอย่างไรเราจึงจะแนะนำพระเยซูให้คนพุทธได้รู้ได้

Green City