ต้นไม้มหัศจรรย์ของพระเจ้า

คำเทศนาเรื่อง “ต้นไม้มหัศจรรย์ของพระเจ้า”

    

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจาก มธ.13:31-32พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืช {ตามภาษากรีกว่าเมล็ดผักกาด ซึ่งในประเทศปาเลสไตน์ต้นผักกาดบางต้นขึ้นสูงถึงสามสี่เมตรและมีกิ่งก้าน} เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตนเมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้" และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ต้นไม้มหัศจรรย์ของพระเจ้า”ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พระคำของพระเจ้าในตอนนี้นั้น เป็นคำอุปมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่พระองค์ทรงใช้สอนบรรดาเหล่าสาวกและพระองค์ทรงใช้ในการสอนผู้ที่ติดตามพระองค์ในสมัยนั้น ซึ่งผมเองก็เคยได้บอกกับพี่น้องไปแล้วนะครับว่า ในสมัยขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น มันไม่ได้มีเครื่องไม้ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการที่จะช่วยสอนอะไรมากมายเท่าไหร่นัก

ด้วยเหตุนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้า จึงหยิบเอาสิ่งที่อยู่รอบตัวเรานั้นมาใช้เป็นสื่อในการสอน เพื่อทำให้เรานั้นได้ 1) จินตนาการ 2) เห็นถึงภาพ 3) เห็นถึงแนวทาง 4) เห็นถึงพระพรที่ซ่อนอยู่ 5) เข้าใจถึงความหมายว่ามัน “เป็นจริงได้” “เป็นไปได้”

และผมก็เคยบอกกับพี่น้องอีกด้วยว่า คำอุปมาขององค์พระเยซูเจ้านั้น แตกต่างจากคำอุปมาของโลกอย่างสิ้นเชิง คำอุปมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า หมายถึง

การยกตัวอย่างเรื่องราวในโลกนี้ แต่มีความหมายของแผ่นดินสวรรค์

การยกตัวอย่างจากโลกธรรมชาติแต่แสดงความหมายในมิติของฝ่ายวิญญาณ

พระคำของพระเจ้าใน มธ.13:31 บอกกับเราว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงหยิบเอา “เมล็ดพืช” มาเปรียบเทียบกับ “แผ่นดินสวรรค์” และคริสเตียนหรือผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกคน คือ ว่าที่พลเมืองแห่งแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า

ดังนั้นเราอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า “เมล็ดพืช” ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงหยิบขึ้นมาเปรียบเทียบนั้น จึงเปรียบได้กับชีวิตของ 1) คริสเตียน 2) ผู้เชื่อ 3) พี่น้องและผม

ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว เมล็ดพืชมันก็เป็นเพียงเมล็ดเล็กๆเมล็ดหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าเราเอาปากเป่า เมล็ดพืชเมล็ดนั้นมันก็ปลิวแล้ว แต่เมื่อเรานำเมล็ดนั้นมา 1) เพาะ 2) ฝังลงอยู่ในดินที่ดีแล้ว มันทำไมครับ ? เจริญเติบโตกลายเป็นต้นไม้ที่จำเริญและเติบใหญ่ขึ้นได้ อีกทั้งยังเป็นที่อาศัยของพวก 1) นก 2) กาฝาก 3) อื่นๆอีกมากมาย

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะบอกกับเราว่า จากเมล็ดที่เล็กที่สุด แต่เมื่อเรานำมันมา 1) เพาะ 2) ฝังลงอยู่ในดิน ซึ่งดูเหมือนมันไม่น่าจะเจริญเติบโตและเติบใหญ่ขึ้นได้ แต่โดยความเป็นจริงแล้วเมล็ดนั้นมันยังเจริญเติบโตและยังเติบใหญ่ขึ้นได้

ดังนั้นในเรื่อง “แผ่นดินสวรรค์” ของพระเจ้านั้นมันก็ 1 ) เป็นไปได้ 2 )ไม่ได้เป็นเรื่องที่เพ้อฝันแต่อย่างใด แต่คนที่จะมองเห็นและเข้าถึงในเรื่องนี้ได้นั้น เขาจะต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ในฝ่ายจิตวิญญาณเขาถึงจะเห็น และเขาถึงจะเข้าใจได้

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบคำว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืช”

คำถามที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงเปรียบแผ่นดินสวรรค์หรือเปรียบชีวิตของพี่น้องและผมนั้นเป็นเหมือน 1 ) เมล็ดพืช 2) เพชรนิลจินดาหรือทองคำ 3 ) หยกหรืออัญมณีที่มีค่าชนิดอื่นๆ

คำตอบก็คือว่า แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า คนของพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มีชีวิตนั้นหมายความว่า มันสามารถที่จะเคลื่อนไหวไปมาได้ อีกทั้งมันสามารถที่จะขยายเผ่าพันธุ์ของมันได้

ด้วยเหตุนี้เองพี่น้องที่รักครับ พระเจ้าจึงได้เปรียบแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าหรือคนของพระเจ้าเป็นเหมือนกับ “เมล็ดพืช” แทนที่จะเปรียบเหมือนกับเพชรนิลจินดาหรือทองคำ เพราะเมล็ดพืชเป็นสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่ไม่มีชีวิตเพาะอย่างไรก็ไม่ขึ้นจริงไหมครับ ? แต่ถ้ามีเมล็ดก็มีชีวิต ถึงเมล็ดนั้นมันจะเล็กก็ตาม

Ex.เช่น เมล็ดข้าว เมล็ดหนึ่งที่ยอมตกลงดินและยอมเปื่อยเน่าก็จะก่อให้เกิดต้นข้าวขึ้นมาหนึ่งต้น ข้าวหนึ่งต้นก่อให้เกิดเมล็ดมากมายหลายเมล็ด ใช้แต่ละเมล็ดปลูกต่อๆกันไปทำให้สามารถเลี้ยงคนได้ทั้งประเทศและได้ทั้งโลก

ตรงกันข้ามกับเพชร นิลจินดา หยก ทองคำ หรืออัญมณีที่มีค่าชนิดอื่นๆที่ถึงแม้ว่ามันจะดูดี ดูมีค่า มีราคา แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปจะกี่ปีก็ตามมันก็ยังคงมีอยู่เพียงชิ้นเดียวของมันอยู่อย่างนี้ โดยที่มันไม่สามารถที่จะขยายเผ่าพันธุ์ได้ โดยที่มันไม่สามารถที่จะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ดังนั้นเราต้องรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ? จากพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ พี่น้องรู้หรือยังครับว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ? พี่น้องและผมจะต้องเป็นเหมือนเมล็ดพืชของพระเจ้า พันธุ์นี้ธรรมดาไหมครับ ? ไม่ธรรมดา

เมล็ดพืชเมล็ดพันธุ์ชนิดนี้ต้องมี 1 ) ความเชื่อ 2) ความเข้าใจในมิติในฝ่ายจิตวิญญาณ 3) ภาพแห่งอนาคต 4) การเจริญและเติบโต 5) นิมิต เป้าหมายเปรียบเสมือนกับต้นไม้มหัศจรรย์ของพระเจ้า

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 เราพบเงื่อนไข

เงื่อนไขในการที่ชีวิตของพี่น้องและผมจะเจริญและเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้าได้นั้นมีเพียงทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ การยอมเพาะชีวิตลงในไร่นาของตน ให้ที่ประชุมอ่านยน.12:24 ตรัสว่า เราบอกความจริงแก่ท่านว่า “ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก”

พระคำของพระเจ้าใน ยน.12:24 บอกกับเราว่า เงื่อนไขในการที่ชีวิตของพี่น้องและผมจะเจริญและเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้าได้นั้นมีเพียงทางเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ การเพาะชีวิตลงในดิน ซึ่งอันนี้ก็เป็นไปตามหลักการทางธรรมชาติ คือ จะเกิดเป็นต้นขึ้นมาได้ เมล็ดพืช เมล็ดพันธุ์นั้นต้องตกลงดินและยอมเปื่อยเน่าก่อนจึงจะเกิดเป็นต้นขึ้นมาได้

ซึ่งตอนที่เรานำเมล็ดพันธุ์ลงไปเพาะนั้นเรามองเห็นอะไรไหมครับ ?

เรามองไม่เห็นอะไรเลย ทั้งต้น ผล ดอก ใบ แต่ทั้งหมดที่เรามองไม่เห็นนั้นมันอยู่ในเมล็ดพืช เมล็ดพันธุ์ นั้นแหละเดี๋ยวพอมันได้ที่เราจะได้เห็นมันไหมครับ ? ทั้งต้น ผล ดอก ใบ

“เมล็ดพันธุ์หรือคนของพระเจ้า”ก็เป็นเช่นนั้นด้วยเช่นเดียวกันพี่น้องที่รักที่เราจะต้องเพาะชีวิตของเรา 1 ) ลงดิน 2) ลงในไร่นาของตน

คำว่า ผู้เชื่อต้องเพาะชีวิตของตนลงในดินหรือลงในไร่นาของตนในที่นี้คือ ที่ไหนครับ ? “ทหารต้องตัดสินใจอยู่ในกองทัพใดกองทัพหนึ่งฉันใด ผู้เชื่อต้องผูกพันตัวอยู่กับคริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่งฉันนั้น”

ดังนั้นชีวิตของคนในแผ่นดินสวรรค์หรือคนของพระเจ้าจำเป็นอย่างเหลือเกินที่เขานั้นจะต้องเพาะชีวิตของตนเองลงในดินหรือลงในไร่นาของตนซึ่งในที่นี้ คือ ที่ไหนครับ ?

2.1 คริสตจักร

“คริสเตียนทัวร์” ไม่มีทางเกิดผลได้ เพราะไม่ยอมเพาะชีวิตของตนลงในดิน และ “คริสเตียนที่ไม่ผูกพัน ไม่ฝังตัวเองร่วมกับคริสตจักรของพระเจ้า” ก็ย่อมไม่มีทางที่จะเติบโตขึ้นตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้

มีใครคนหนึ่งกล่าวว่า “ชีวิตคือการตัดสินใจ” และในวันหนึ่งๆเรามีเรื่องที่จะต้องตัดสินใจมากมายหลายอย่าง เรื่องคริสตจักรก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก ที่เราจะต้องตัดสินใจในการที่จะอยู่ในคริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่งเพื่อที่เราเองนั้นจะได้รับการพัฒนาชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณได้อย่างถูกต้อง

และหลักการในการที่เรานั้นจะพิจารณาตัดสินใจว่าเราจะผูกพันตัวหรือฝังตัวของเราอยู่ในคริสตจักรนั้นดีหรือไม่ผมอยากให้หลักกับพี่น้องเอาไว้ 5 ประการคือ

1. คริสตจักรนั้นมีวิธีการเลี้ยงดูเราให้เติบโตขึ้นหรือไม่

2. คริสตจักรนั้นมีวิธีการสร้างเราให้เข้มแข็งขึ้นหรือไม่

3. คริสตจักรนั้นมีทิศทางนำชีวิตของเราไปในทางที่เจริญขึ้นหรือไม่

4. คริสตจักรนั้นปกป้องเราจากคำสอนที่ผิดและจากสิ่งที่ผิดๆหรือไม่

5. คริสตจักรนั้นมีวินัยและวิธีการปกครองให้เรานั้นอยู่อย่างมีความสุขหรือไม่

คริสตจักรบางคริสตจักร สมาชิกทำผิดทำบาปไม่ลงวินัยสมาชิก ถามว่าทำไมถึงไม่ลงวินัยสมาชิก คำตอบก็คือว่า เพราะเรามีชื่อคริสตจักรว่า คริสตจักรแห่งความรัก ที่นี่จึงมีแต่ความรัก ที่นี่จึงไม่มีการลงวินัยสมาชิกซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งต่อพระคำของพระเจ้า

ฮบ.12:6 “เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก และเมื่อพระองค์ทรงรับผู้ใดเป็นบุตร พระองค์ก็ทรงตีสอนผู้นั้น”, 10-11 “เพราะบิดาที่เป็นมนุษย์ตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ตามความเห็นดีเห็นชอบของเขาเท่านั้น แต่พระองค์ได้ทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้เราได้เข้าส่วนในวิสุทธิภาพของพระองค์เมื่อมีการตีสอนนั้นดูไม่เป็นที่ชื่นใจเลย เป็นเรื่องเศร้าใจ แต่ต่อมาภายหลังก็จะก่อให้เกิดความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้องทนอยู่นั้น คือความชอบธรรมนั้นเอง”

ดังนั้นคริสตจักรใดที่บอกว่ารักสมาชิก คริสตจักรนั้นต้องมีการลงวินัยให้กับสมาชิกและผู้นำด้วย เพราะรักไม่ใช่ คือ การตามใจ เพราะรักไม่ใช่ คือ อะไรก็ได้ ดังนั้นการเพาะชีวิตลงในคริสตจักรนั้นเราจะกินแต่อาหารที่อ่อนอย่างเดียวนั้นคงไม่ได้

แต่การเพาะชีวิตลงในคริสตจักรของพระเจ้านั้น คนของพระเจ้าก็จะต้องเรียนรู้ในการที่จะกินอาหารที่แข็งด้วยเช่นเดียวกัน อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า “เราจะรับแต่พระคุณของพระเจ้าโดยไม่รับวินัยของพระเจ้านั้นไม่ได้”

ดังนั้นชีวิตของคนในแผ่นดินสวรรค์หรือคนของพระเจ้าจำเป็นอย่างเหลือเกินที่เขานั้นจะต้องเพาะชีวิตของตนเองลงในดินหรือลงในไร่นาของตนซึ่งในที่นี้ คือ ที่ไหนครับ ?

ดิน หรือ ไร่นา ในประการที่ 2.2 นี้นั่นก็คือ 1)ครู 2)ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ

ซึ่งมีบุคคลในพระคัมภีร์มากมายหลายคนที่เขานั้นได้ 1) เพาะชีวิตของเขา 2) ผูกพันตัวของเขาร่วมกับผู้นำของเขา Ex.โยชูวาที่ผูกพันตัวกับโมเสส , เอลีชาผูกพันตัวกับเอลียาห์ , ทิโมธีผูกพันตัวกับเปาโล จนชีวิตของพวกเขานั้นเป็นต้นไม้มหัศจรรย์ของพระเจ้าได้

ดังนั้นเราจะต้องเป็นศิษย์ที่มีครู , เหมือนกับสานุศิษย์หรืออัครสาวกทั้ง 12 คน ที่พวกเขานั้นมีองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นพระครูหรือพระอาจารย์

ดังนั้นถ้าพี่น้องเป็นผู้เชื่อใหม่ ครูก็อาจจะเปรียบได้กับพี่เลี้ยงที่คอยให้การอภิบาลหรือเลี้ยงดูเราฝ่ายจิตวิญญาณของเรา ด้วยการสอน ด้วยการเป็นแบบอย่างของการมีชีวิตที่ดี ทั้งด้านความเชื่อ ความอดทน , ด้านการอธิษฐาน เป็นต้น

ถ้าเราเป็นผู้เชื่อเก่า ครูก็อาจจะเปรียบได้กับ การที่เราก็จะต้องมีพ่อแม่ฝ่ายจิตวิญญาณ คอยช่วยเป็น Guide ให้กับเราในการเสริมสร้างเราให้เป็นสาวกของพระคริสต์ที่ใช้การได้ หรือเป็น Coach ที่จะฝึกฝนเราในการออกไปปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าให้เกิดผลตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

ถ้าเป็นผู้รับใช้พระเจ้า ครูก็อาจจะเปรียบได้กับการที่เราก็จะต้องมีผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณที่คอยช่วยให้กำลังใจ คอยให้คำปรึกษา คอยที่จะอธิษฐานเผื่อเราอยู่เสมอ

พระคำของพระเจ้าใน มธ.11:29 “จงเอาแอกของเราแบกไว้แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อมและจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก” พระคำของพระเจ้าใน มธ.11:29 ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ให้เรานั้นเรียนแบบอย่างจากพระองค์

พระคำของพระเจ้าใน 1คร.11:1 “ท่านทั้งหลายก็จงปฏิบัติตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตามอย่างพระคริสต์” อ.เปาโล บอกกับเราว่า ให้เรานั้นเลียนแบบผู้นำได้เลย เพราะผู้นำคือผู้ที่เรียนตามแบบอย่างของพระคริสต์

ดังนั้นถ้าพี่น้องอยากสำเร็จและอยากเกิดผลอย่างโลกพี่น้องก็ต้องไปเรียนกับผู้ที่สำเร็จทางโลก พี่น้องก็ต้องไปเพาะตัวเอง ฝังตัวเอง ผูกพันตัวเองกับสัมนาอย่างเช่น “พ่อรวยสอนลูก” “Present อย่างไรให้ได้งาน” และอื่นๆเป็นต้น

แต่ถ้าพี่น้องอยากสำเร็จและอยากเติบโตขึ้นในน้ำพระทัยของพระเจ้า พี่น้องก็จะต้อง 1) เพาะชีวิตในคริสตจักร 2) ฝังตัวเองกับผู้นำหรือผูกพันตัวเองกับผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณและพี่น้องก็จะเป็นต้นไม้มหัศจรรย์ของพระเจ้าได้

นอกเหนือจากการที่พี่น้องและผมจะต้องเพาะชีวิตของตนเองลงในดินหรือลงในไร่นาของตน ซึ่งในที่นี้ก็คือคริสตจักรและกับผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณของเขาแล้ว เราควรที่จะเพาะชีวิตของเราลงในที่ไหนอีกครับ ?

2.3 ในพระคำของพระเจ้า

พี่น้องที่รักครับ การเพาะชีวิตของตนเองกับ 1 ) คริสตจักร 2) ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การเพาะตนเองหรือการฝังตนเองลงกับพระวจนะคำของพระเจ้านั้นสำคัญที่สุด

มีคริสตจักรบางแห่งนะครับพี่น้องที่รัก ที่เขาต้องการให้สมาชิกนั้นเพาะตนเองกับคริสตจักร พอคริสตจักรมีกิจกรรมอะไร เขาก็พาพี่น้องสมาชิกไปร่วมกันรับใช้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีนะครับ

แต่การปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าโดยปราศจากความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้านั้นก็เป็นสิ่งที่อันตราย และก็เป็นสิ่งที่จะสร้างความวุ่นวายให้กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างมากด้วยเช่นเดียวกัน

ในขณะเดียวกันก็มีคริสตจักรในบางที่บางแห่งที่ผู้นำของเขานั้นต้องการที่จะให้พี่น้องสมาชิกในคริสตจักรของเขานั้นได้ผูกพันตัวกับผู้นำในคริสตจักรอย่าง 1) สิ้นเชิง 2) อย่างสุดๆ 3) ไม่ต้องลืมหูลืมตา อีกทั้งเขามีความปรารถนาที่จะให้พี่น้องสมาชิกในคริสตจักรของเขานั้น ได้ยกย่องผู้นำของเขานั้นให้สูงเข้าไว้เยี่ยงกับวีรบุรุษ วีรสตรีในชีวิตของเขา

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับที่เราให้เกียรติกับผู้รับใช้ของพระเจ้า แต่การเรียนรู้ชีวิตของผู้นำ การรับคำสอนจากผู้นำโดยที่พี่น้องเองนั้นไม่ได้มีความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าเลยนั้นก็ไม่ถูกต้อง

อีกทั้งความจริงอย่างหนึ่งที่พี่น้องจะต้องรู้นั่นก็คือว่า เวลานี้มีผู้รับใช้พระเจ้าบางท่าน ที่ตีความหลักศาสนศาตร์ของพระเจ้าเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองก็มีอยู่ไม่น้อย ดังนั้นพี่น้องจะต้องเพาะหรือฝังตัวของพี่น้องเองลงในพระวจนะของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน

ผมอยากให้พี่น้องได้จินตนาการโดยคิดถึงเด็กทารกตัวเล็กๆคนหนึ่ง เด็กที่อยู่ในอ้อมอกของแม่แล้วรอคอยน้ำนมจากแม่เพียงอย่างเดียวนั้นจะไม่มีวันโต แต่เด็กนั้นจะโตขึ้นได้มันต้องกินอาหารอื่นๆด้วย เริ่มจากอาหารที่อ่อนแล้วพัฒนามาสู่อาหารที่แข็งขึ้น

ด้วยเหตุนี้พี่น้องจะต้องเพาะหรือฝังตัวของเราเองลงในพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นอาหารที่ทำให้คนของพระเจ้านั้นเจริญและเติบโตขึ้นได้ ดังนั้น...“ถ้าชีวิตของเราเป็นเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าแล้ว เมล็ดพันธุ์ของพระเจ้าก็จะเป็นชีวิตของเราด้วยเช่นเดียวกัน”

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 เราพบการ “เกิดผลมาก”

พระคำของพระเจ้าตรัสว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่นและจำเริญเป็นต้นไม้ จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้"

ซึ่งนั่นหมายความว่า ชีวิตของผู้เชื่อที่เพาะลงในคริสตจักร เพาะลงในการวางชีวิตไว้ใกล้ๆกับผู้นำหรือผู้ที่มีความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณ เพาะลงในพระวจนะของพระเจ้าแล้วมันจะต้องเกิดผล และไม่ใช่เป็นการเกิดผลแบบธรรมดาๆเท่านั้นแต่จะต้องเกิดผลอย่างมากด้วย

และน้ำพระทัยของพระเจ้าก็ปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายนั้นได้เป็นผู้ที่เกิดผลมากในแผ่นดินของพระเจ้าด้วย ไม่อย่างนั้นองค์พระเยซูคริสต์เจ้าคงไม่ตรัสเอาไว้ใน ยน.15:16 “ท่านทั้งหลายไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย และได้แต่งตั้งท่านทั้งหลายไว้ให้ท่านไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่าน”

จากพระคำของพระเจ้าใน ยน.15:16 ก็ทำให้เราทราบว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าก็ปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายนั้นได้เป็นผู้ที่เกิดผลมากในแผ่นดินของพระเจ้าหรือในอาณาจักรของพระองค์ด้วย

แต่การเกิดผลภายหลังจากการที่เรานั้นได้เพาะชีวิตของเราลงในคริสตจักร พระวจนะของพระเจ้า และจากการที่เราได้วางชีวิตของเราลงร่วมกับผู้นำหรือผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณในคริสตจักรนั้น เราจะต้องเกิดผลอย่างสมดุลทั้ง 3 ด้าน

เหมือนกับต้นไม้ที่จะเติบใหญ่ขึ้นได้ต้องแตกราก เกิดดอก ออกผล อย่างสมดุล การเกิดผลอย่างสมดุลในทางของพระเจ้านั้นก็เช่นเดียวกันจะต้องเกิดผลทั้ง 3 ด้าน คือ ทั้งในด้านฝ่ายร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ ซึ่งการเกิดผลในลักษณะอย่างนี้จะทำให้เรานั้นสูงกว่าต้นไม้อื่นๆหรือสูงกว่าต้นไม้ทั้งปวง

เพื่อให้พี่น้องได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น ผมอยากให้พี่น้องได้พิจารณาถึงสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้ สภาพเศรษฐกิจโดยรวมทั้งในระดับโลกและในระดับประเทศเป็นไงบ้างครับ ? แย่ถึงแย่มาก

เมื่อสภาพเศรษฐกิจมันแย่ถึงแย่มาก พี่น้องลองพิจาราถึงสภาพร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณของคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าดูสิครับว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง

กับสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ พวกเขาต้องคอยแก้เกมส์แก้หมากกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งโดยแท้จริงแล้วคริสเตียนหรือคนของพระเจ้านั้นก็เหมือนกับคนอื่นๆนั่นแหละ ที่จะต้องคิดในการแก้เกมส์แก้หมากทางธุรกิจด้วยเหมือนกัน ยิ่งตอนนี้รัฐบาลก็มีแนวโน้มที่จะอยู่ต่ออีก

พี่น้องคิดว่าคนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าเขาเครียดไหมครับ ?

และพวกเราเครียดด้วยไหมครับ ? เหมือนกัน

คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าพอเขาเครียดแล้วทำไมครับ ? สูบบุหรี่กินเหล้า

พอเขาดื่มเหล้าแล้วสภาพศีลธรรมเป็นอย่างไรครับ ?

คำถามคือว่า พอเวลาพวกเราเครียด พวกเราสูบบุหรี่กินเหล้าเหมือนกับพวกเขาไหมครับ ? ผู้เชื่อที่ไม่ได้เพาะตัวเองลงใน 1) คริสตจักร 2) พระคำของพระเจ้า 3) ร่วมกับผู้นำหรือพี่น้องในคริสตจักร เขามีโอกาสที่จะดำเนินชีวิตเหมือนกับคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าได้เสมอ

ส่วนผู้เชื่อคนไหนที่เพาะตัวเองลงใน 1)คริสตจักร 2)พระคำของพระเจ้า 3) ร่วมกับผู้นำ , ผู้ใหญ่และพี่น้องในคริสตจักรฯ เขาจะพิเศษกว่าตรงที่ว่าเขานั้นมีพระเจ้า

สดด.52:8 “ฝ่ายข้าพเจ้าเป็นเหมือนต้นมะกอกเขียวสด ในพระนิเวศของพระเจ้า ข้าพเจ้าวางใจในความรักมั่นคงของพระเจ้า เป็นนิจกาล”

ผู้เชื่อที่เพาะตัวของเขาเองลงในคริสตจักรและชีวิตของเขานั้นเกิดผลในทางของพระเจ้า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ไม่ดีนั้น เขาจะได้รับพระคุณความรักจากพระเจ้าที่มากพอที่จะให้กับพวกเราทุกคน แต่ขนาดของพระคุณที่จะให้เราในแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกัน

ยรม.17:7-8 "คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพระพร คือผู้ที่ความวางใจของเขาอยู่ในพระเจ้าเขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็ไม่กลัว เพราะใบของมันคงเขียวอยู่เสมอ และไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะออกผล"

การที่เราเพาะตัวเองลงในคริสตจักร พระคำของพระเจ้า ร่วมกับผู้นำในคริสตจักร การทำอย่างนั้นเปรียบเหมือนการที่เราเอาเมล็ดพันธุ์คือตัวของเราเองนั้นไปปลูกไว้ที่ริมธารน้ำของพระเจ้า แม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่เขาจะไม่เหี่ยวแห้ง เขาจะยังเขียวสดและเขาจะยังออกผลถูกต้องตามฤดูกาลเสมอ”

อสย.61:3 “เพื่อจัดให้บรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์ในศิโยน เพื่อประทานมาลัยแทนขี้เถ้าให้เขา น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย เพื่อคนจะเรียกเขาว่าต้นก่อหลวงแห่งความชอบธรรมที่ซึ่งพระเจ้าทรงปลูกไว้เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์”

ไม่ว่าเศรษฐกิจมันจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเราเอาตัวของเราเองฝังไว้ที่พระประสงค์ของพระเจ้า เขาจะได้รับ 1 ) น้ำมันแห่งความยินดี 2) มาลัยแทนขี้เถ้า พระเจ้าจะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ผ่านชีวิตของเรา

ผู้เชื่อที่ยอมเพาะตนเองเพื่อให้พระเจ้าปลูก ให้พระเจ้าสร้าง แม้ว่าเศรษฐกิจมันจะไม่ดี แต่เมื่อใครมองเข้ามาในชีวิตของเรา เขาก็จะเห็นว่าคนของพระเจ้านั้นมีกิน มีดื่ม มีใช้และยังคงเป็นเมล็ดพันธุ์ที่เติบใหญ่จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้

คำว่า “จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้” นั้นหมายความว่า จากคนที่เคยต่อต้าน จากคนที่เคยด่าว่าเรา จากคนที่เคยเยาะเย้ยถากถาง จากคนที่เคยดูหมิ่นเรา เพราะว่าเรานั้นมาเชื่อในพระเจ้า แต่พอเวลาเขาได้พบกับ 1 ) อุปสรรคปัญหา 2) วิกฤตของสถานการณ์บางอย่างในชีวิต เช่น ความขัดสนของสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เขาอยากถามพวกเราว่า

เธอมีสันติสุข มีความชื่นชมยินดีนี้ได้อย่างไร ?

และเมื่อพี่น้องได้ตอบเขาไปว่า   อ๋อ.........ก็เพราะว่าเรานั้นมีพระเจ้า อ๋อ.......ก็เพราะพระคุณ ความรักของพระเจ้า

อืม.....ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยอธิษฐานให้ฉันหน่อยได้ไหม ? คำนี้หมายความว่าอย่างไรครับ ?

จากคนที่เคยต่อต้านเราแต่ตอนนี้กับมาขออาศัยไหว้วาน ขอให้เราช่วย อธิษฐานเผื่อให้หน่อย ขอบคุณพระเจ้าที่พี่น้องบางนางลี่ต่างได้รับประสบการณ์ที่ว่านี้แล้วและ นี่คือความหมายของคำว่า “จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้”

ขอพระเจ้าเมตตาที่เราจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ยอมถูกเพาะหรือถูกปลูกและยอมเปื่อยเน่าลงในไร่นาของพระเจ้าเพื่อที่เราจะเติบโตขึ้นเป็นต้นไม่มหัศจรรย์ของพระเจ้า

สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้

ประการที่ 1 เราพบคำว่า "แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดพืช”

ประการที่ 2 เราพบเงื่อนไข เพาะตนเองลงใน 2.1 คริสตจักร 2.2 ครู , ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ 2.3 ในพระคำของพระเจ้า

ประการที่ 3 เราพบการ “เกิดผลมาก” และต้องเป็นอย่างสมดุลคือทั้งในฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตวิญญาณ

Green City