อาณาจักรที่มองไม่เห็น

คำเทศนาเรื่อง อาณาจักรที่มองไม่เห็น

        1 คร.2:9-10 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยินและสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่เราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า

        2 คร.16-18 เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะว่าการทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้น จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้ 18 เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์

ฮบ.11: 3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น

        เมื่อเราหยิบสิ่งนี้ขึ้นมานี่เราเรียกว่า “ผล” ไม่ว่าจะเป็นน้อยหน่า แตงโมหรือจะเป็นอะไรก็ตาม คำถามคือว่า เรามองเห็นเมล็ดในผลนั้นไหมและเรานับจำนวนเมล็ดในผลนั้นได้ไหมครับ ?

แต่สิ่งที่เราไม่มีวันที่จะได้เห็น ไม่มีวันที่เราจะได้รู้นั่นก็คือ การนำหนึ่งเมล็ดของผลนั้นมาปลูก มันจะได้กี่ต้น และแต่ละต้นมันจะออกกี่ผล สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราไม่มีวันที่จะรู้ได้เลย

        เรื่องแผ่นดินของพระเจ้าหรืออาณาจักรของพระองค์ก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่รักที่เรามองไม่เห็น แต่ผลของมันนั้นเยอะแยะมากมายเลยทีเดียวครับพี่น้องที่รัก

        พระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันทั้ง 3 ข้อ ก็ได้กล่าวถึงอาณาจักรหนึ่งที่มีอยู่จริงแต่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นด้วยสายตาของมนุษย์ได้นั่นคืออาณาจักรของพระเจ้า

        ถ้าเราบอกใครต่อใครว่า เราเป็นคริสเตียน ฉันเป็นลูกของพระเจ้า นั่นหมายความว่า เรากำลังบอกเขาว่า “เรารู้ เราเข้าใจ เราเข้าถึงและเรามองเห็นอาณาจักรนี้”

        สิ่งที่พี่น้องจะต้องรู้และพี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า อาณาจักรที่มองไม่เห็นหรืออาณาจักรของพระเจ้านั้นว่าด้วยเรื่องราวของ 1 ) จิตวิญญาณ 2 ) ศีลธรรม 3 ) คุณธรรม 4 ) จริยธรรม 5 ) ความเชื่อ 6 ) ความยำเกรงในพระเจ้าและอื่นๆ

        2 ทมธ.3:5 ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ

        พระคำของพระเจ้าใน 2 ทมธ.3:5 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า คนของพระเจ้าแท้ คริสเตียนแก่นแท้เท่านั้น ที่จะรู้และเข้าใจถึงอาณาจักรนี้ได้ ส่วนคนที่เป็นคริสเตียนแต่ปาก แม้เปลือกนอกจะดูสวยงามแต่จะเข้าถึงอาณาจักรนี้ได้ไหมครับ ?

        ปฐก.19:15-17 ครั้งเวลารุ่งเช้า ทูตสวรรค์จึงชักชวนโลทว่า "ลุกขึ้นพาภรรยาของเจ้า และบุตรหญิงทั้งสองของเจ้าผู้อยู่ที่นี่ไปเสีย เกรงว่าเมื่อเมืองนี้ถูกลงอาชญาให้พินาศ เจ้าจะเสียชีวิตไปด้วย" 16 แต่โลทยังรีรอ ดังนั้นชายทั้งสองจึงคว้ามือเขาและภรรยา และบุตรหญิงทั้งสอง ด้วยพระกรุณาคุณของพระเจ้าที่มีต่อเขา ท่านทั้งสองนำเขาออกมาเสียนอกเมือง

17 เมื่อท่านทั้งสองพาเขาออกมาแล้ว ท่านพูดว่า "หนีเอาชีวิตรอดเถิด อย่าเหลียวหลังหรือหยุด ณ. ที่ใดในลุ่มน้ำ หนีไปที่เนินเขา มิฉะนั้นเจ้าจะเสียชีวิต"

        เมื่อพระเจ้าจะทรงพิพากษาเมือง โสดอม-โมราห์ ด้วยไฟ พระเจ้าได้ให้ฑูตสวรรค์ของพระเจ้าไปบอกกับโลทและครอบครัวว่าให้วิ่งไปข้างหน้าอย่าเหลียวหลัง

        ปฐก.19:26 ส่วนภรรยาของโลทผู้อยู่ข้างหลังโลทเหลียวกลับไปมองดู นางจึงกลายเป็นเสาเกลือไป

        คำถามคือ ภาพนี้ให้อะไรแก่เรา ภาพนี้คือ 1 ) คริสเตียนที่เอาพระคำของพระเจ้าแบบครึ่งๆกลางๆ 2 ) คริสเตียนเปลือกนอกแก่นแท้ไม่เอา 3 ) คริสเตียนครึ่งๆกลางๆ 4 ) ครึ่งโลกครึ่งสวรรค์ 5 ) คริสตพุทธ 6 ) ครึ่งผีครึ่งพระเจ้า คำถามคือว่า ผู้เชื่ออย่างนี้จะรู้ จะเข้าใจ จะเข้าถึงอาณาจักรของพระเจ้าที่มองไม่เห็นได้ไหมได้ไหมครับ ?

         2คร.4:18 เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร

        อาดำ-เอวา ทำบาปเพราะเชื่อคำพูดของซาตาน ซาตานพูดกับเอวาว่า ผลจากต้นไม้นั้นเจ้ากินได้ เอวาจึงมองผลจากต้นไม้นั้น คำถามภาพนี้ให้อะไรแก่เรา

        ในอดีตคือตั้งแต่สวนเอเดนจนถึงเวลานี้ซาตานมันให้มนุษย์มองที่ 1) วัตถุสิ่งของ 2) สิ่งที่จับต้องได้ 3) รูปรสกลิ่นเสียง (เอวากินแล้วอร่อยจึงส่งให้สามีกินด้วย) 4) ความสำเร็จ เราจึงอยากสำเร็จเหมือนเขา) ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมุ่งมั่นในการหาซึ่ง วัตถุสิ่งของ ทรัพย์สินเงินทอง รูปรสกลิ่นเสียงและอื่นๆ

        จนมนุษย์ได้ละเลยสิ่งที่มองไม่เห็น นั่นก็คือ มองไม่เห็นอาณาจักรของพระเจ้าไป ซึ่งอาณาจักรของพระเจ้าว่าด้วยเรื่องอะไรนะครับ 1 ) จิตวิญญาณ 2 ) ศีลธรรม 3 ) คุณธรรม 4 ) จริยธรรม 5 ) ความเชื่อ 6 ) ความยำเกรงในพระเจ้าและอื่นๆ

        ปฐก13:9-11 ที่ดินทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเจ้ามิใช่หรือ จงแยกไปจากเราเถิด ถ้าเจ้าไปทางซ้าย เราก็จะไปทางขวา หรือเจ้าจะไปทางขวาเราก็จะไปทางซ้าย" 10 โลทเงยหน้าแลดูที่ลุ่มแม่น้ำจอร์แดนทางทิศเมืองโศอาร์ เห็นว่ามีน้ำบริบูรณ์อยู่ทุกแห่งเหมือนพระอุทยานของพระเจ้า เหมือนแผ่นดินอียิปต์ นี่เป็นสภาพก่อนพระเจ้าทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ 11 โลทจึงเลือกที่ลุ่มแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดเป็นส่วนของตน โลทออกเดินทางไปทิศตะวันออกเขาทั้งสองจึงแยกกันไป

        ปฐก.12-13 ทำให้เราทราบว่าลูกน้องของอับรามกับลูกน้องของโลท มีการวิวาทะกัน ทั้งอับรามกับโลทต่างมีทั้งฝูงแพะแกะและลูกน้องเป็นจำนวนมาก ทำให้อับรามกับโลทพูดคุยกันว่าเราเป็นญาติกันไม่ควรจะมาขัดเคืองใจกันในเรื่องพวกนี้ให้เราแยกทางกันดีกว่า

        พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า อับรามให้โลทเลือกก่อน ส่วนอับรามเลือกทีหลัง โลทเลือกสิ่งที่ตามองเห็น โลทเลือกความเจริญรุ่งเรือง โลทเลือกโสดอมโกมาราห์

        ซึ่งในที่สุดเมืองนี้ก็ได้นำความตายในฝ่ายวิญญาณมาให้กับโลทและครอบครัวก่อนเป็นอันดับแรก เพราะในเมืองนี้มีครอบครัวของโลทเท่านั้นที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า

        คำถามคือว่า อิทธิพลของคนในเมืองนี้ทำให้โลทกับครอบครัวอ่อนกำลังความเชื่อในพระเจ้าลงได้ไหมครับ ? เราเองก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก อย่าคิดว่าเราอยู่ตรงนั้นตรงนี้แล้วเราจะนำเขามาถึงแผ่นดินของพระเจ้าได้

                ตัวอย่าง

        ตรงกันข้ามเขาเองต่างหากที่จะมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ เขาเองต่างหากที่จะนำพี่น้องไปสู่สังคมของเขา ซึ่งจะเป็นการนำพี่น้องไปสู่ความตายในฝ่ายวิญญาณ

        ภายหลังจากโลทและครอบครัวตายในฝ่ายวิญญาณแล้วอะไรตามมาครับ ? ความตายในฝ่ายกายภาพเกิดขึ้นกับภรรยาของเขา พระเจ้าได้ส่งไฟลงมาเผาผลาญเมืองนี้

        พระเจ้าสั่งให้โลทกับครอบครัววิ่งไปโดยอย่าหันหลังกลับ ภรรยาของโลทไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับเขา นางจึงกลายเป็นเสาเกลือ ซึ่งถ้าพี่น้องมีโอกาสไปอิสราเอล พี่น้องจะพบว่าเสาเกลือนี้ยังคงอยู่เพื่อเตือนใจเรา

        สิ่งนี้บอกอะไรแก่เราอีก ทุกอาณาจักรในโลกนี้จะถูกพังทลายแต่อาณาจักรของพระเจ้าจะตั้งมั่นคงอยู่นิรันดร ทุกสรรพสิ่งที่ตามองเห็นจะถูกพังทลาย

        แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร เพราะฉะนั้นในยุคสุดท้าย ให้เราใช้ชีวิตอย่างรอบคอบ คือ ไม่ใช่ใช้ชีวิตกับสิ่งที่ตามองเห็น แต่ให้ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่ตามองไม่เห็น

        กลับมาที่เรื่องราวของอับรามกับโลท ส่วนอับรามนั้นจำใจต้องเลือกในที่ดินทำกินที่ไม่ดี  พี่น้องอ่านเรื่องราวชีวิตของอับรามแล้วพี่น้องพบอะไรบ้างไหมครับ ? อับรามเป็นคนที่ไปที่ไหนตั้งแท่นบูชาที่นั่น

        คำถามคือว่า ความชอบธรรมมีอยู่ในชีวิตของท่านไหมครับ ? คนชอบธรรมไปที่ไหนที่นั่นเจริญ คริสตจักรของเราไปตั้งอยู่ที่ไหนที่นั่นเจริญ คริสตจักรของเราย้ายออกไปจากที่ไหน ที่นั่นขาดความเจริญ

        พลังแห่งความชอบธรรม เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ เป็นเรื่องที่สายตาของมนุษย์มองไม่เห็น ทำให้อับรามได้รับพระพรในผืนดินที่ไม่ดี

          ในช่วงโควิดที่ผ่านมา เป็นช่วงที่หลายคนมักจะมีความหนักอกหนักใจในเรื่องเศรษฐกิจ แต่ในช่วงเวลาเช่นนั้นพี่น้องทราบไหมครับว่า พี่น้องเขาเราขายที่ดินได้ 5 แปลง พลังแห่งความชอบธรรม เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ เป็นเรื่องที่สายตาของมนุษย์มองไม่เห็น แต่ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจแบบนั้นเราได้รับพระพร

        1+1 = 2 นั่นหมายถึง เราเข้าใจถึงสิ่งที่มนุษย์รู้ สิ่งที่มนุษย์เข้าใจ แต่ 1+1 ในอาณาจักของพระเจ้าซึ่งเป็นอาณาจักรที่มองไม่เห็น เป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ มันไม่ใช่ 2

        1 มนุษย์ที่เป็นผู้เชื่อ + กับ 1 พระเจ้าผู้ทรงใหญ่ยิ่งสูงสุด = มากกว่าที่เราทูลขอ มากกว่าที่เราเข้าใจ มากกว่าสิ่งที่เราจะคิดได้

        เพราะฉะนั้นคนของพระเจ้าต้องมีความคิด 1+1 = 2 และมีความคิด 1+1 = มากกว่าที่เราทูลขออยู่ในความคิดของการเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วย

         1 พกศ.17:12-16  และนางตอบว่า "พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห บัดนี้ดิฉันกำลังเก็บฟืนเล็กน้อย เพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉัน และบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย" 13 และเอลียาห์บอกนางว่า "อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรของเจ้า 14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า "แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน"

15 นางก็ไปกระทำตามคำของเอลียาห์ นาง ตัวท่านและครอบครัวของนางก็รับประทานอยู่หลายวัน 16 แป้งในหม้อก็ไม่หมดน้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งตรัสทางเอลียาห์

      พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า หญิงม่ายชาวศาราฟัท มีอาหารที่จะกินเหลืออยู่เพียงมื้อเดียว เธอคิดว่านี้น่าจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของเธอกับลูกชาย

        พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เธอกำลังเตรียมอาหารมื้อนี้อยู่พอดี แต่เอลียาห์กับมาพูดเช่นนี้กับเธอ พี่น้องคิดว่าผู้รับใช้ของพระเจ้าเห็นแก่ตัวไหมครับ ? นี่คือการแทรกแซงของพระเจ้า นี่คืองานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ไม่อยากเห็นหญิงชาวศาราฟัทกับบุตรชายต้องตาย

        วันนี้มีคริสตจักรหนึ่งให้ผมไปเปิดบู๊ทขายเสื้อ แต่รถผมดันมาเสียและมาเสียในช่วงที่มีวันหยุดยาว ร้านอะไหล่ในสมุทรสงครามปิด ร้านอะไหล่ที่ดำเนินสะดวกปิด

        น้องจี้บอกว่าอาจารย์เอารถหนูไปก็ได้ ผมตอบว่าไม่ไปล่ะ เพราะผมเชื่อว่าพระเจ้าอยากให้ผมอยู่นมัสการพระเจ้าร่วมกับพี่น้อง

        ผมสั่งของจากพี่น้องคริสเตียนมาขาย แต่เขาส่งของมาให้ผิด ผมเขียนไปแจ้งเขาว่าส่งของมาให้ผิด เขาบอกว่าอาจารย์ส่งคืนมาก็ได้ ผมก็ตอบน้องเขาไปว่า พระเจ้าคงอยากให้ผมขายแบบนี้มั้ง

        ในฐานะผู้เชื่อบางครั้งเราต้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาแทรกแซงความคิด แทรกแซงในสิ่งที่เราทำบ้างเหมือนกับหญิงชาวศาเรฟัทคนนี้

        ท่ามกลางความแห้งแล้งของแผ่นดิน แต่นางไม่แล้งน้ำใจ นางเชื่อฟัง นางให้ด้วยใจยินดี หญิงชาวศาราฟัทกับลูกไม่เพียงมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่เขากับลูกมีกินไม่ขาดปาก

        นี่คือ ผลแห่งการกระทำตามหลักการที่ตามองไม่ ซึ่งเห็นกฎฝ่ายวิญญาณ เป็นอาณาจักรที่มองไม่เห็น ในยุคสุดท้ายถ้าเราจัดระเบียบชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเราถูกต้อง

        คือ ให้ความยำเกรงพระเจ้าก่อน ให้ความถูกต้อง ให้ศีลธรรม ให้จริยธรรม คุณธรรมของพระเจ้านำชีวิตเราก่อน ในที่สุดตัวเราจะมีพอและเหลือพอที่จะเป็นพร นี่คืออาณาจักรที่มองไม่เห็น

        คำว่า แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน ซึ่งนั่นหมายความว่า แท้จริงแล้วเอลียาห์ไม่ได้ตั้งใจที่จะขออาหารที่หญิงคนนี้มีทั้งหมด ตั้งแต่แรกแล้ว การขอเพียงเล็กน้อยแล้วหญิงชาวเศราฟัทคนนี้ให้เป็นกุญแจที่จะเปิดประตูไปสู่อาณาจักรที่มองไม่เห็น

 

Green City