เอกลักษณ์แท้ของคริสตจักร

คำเทศนา อ. ก้องภพ ณ. คจ.ใจสมานสมุทรสงคราม                                                                         

16 ต.ค. 2011

คำเทศนาเรื่อง เอกลักษณ์แท้ของคริสตจักร

         

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะคำของพระเจ้า จากพระธรรม 1คร.1:10-17 และจากหนังสือ กจ. 2:43-47 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังและผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า เอกลักษณ์แท้ของคริสตจักร ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

มีเรื่องเล่าว่า มีสมาชิกของคริสตจักรแห่งหนึ่ง ได้ถามศิษยาภิบาลของตนว่า อาจารย์ครับ แก่นของความเป็นคริสตจักรแท้นั้นเขาวัดกันที่ตรงไหน

ศิษยาภิบาลท่านนี้เขาไม่ได้ตอบคำถามนี้ให้กับสมาชิกของเขาแต่อย่างใด

แต่เขากับพูดขึ้นว่า คำถามนี้เป็นคำถามที่ดีมากและถามกลับไปว่า แล้วคุณคิดว่าเขาวัดกันที่ตรงไหนละ เออ...และเราจะเอาเครื่องมือชนิดไหนหรือประเภทอะไรมาวัดว่าคริสตจักรนั้นแท้หรือไม่แท้

โดยส่วนตัวพี่ - น้องที่รักครับ ผมคิดว่าอันนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก และโดยส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าเราจะค้นหาคำตอบที่ว่านี้อย่างแท้จริงแล้วละก็ ผมคิดว่าเราควรที่จะกลับไปค้นหาคำตอบ จากพระคำของพระเป็นเจ้าด้วยกันหน่อยดีไหม

พระคำของพระเจ้าในหนังสือ 1คร.1:10-17 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าคริสตจักรยุคแรกในเวลานั้นต่างก็มีปัญหาอยู่แทบจะทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นปัญหา

1. ปัญหาเรื่องเพศ                               2. ความไม่สัตย์ซื่อ              3. การทะเลาะเบาะแว้งกัน              

4. การใช้ของประทานในทางที่ผิด  5. เรื่องของความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง   

6. เรื่องผู้เชื่อหลงไปในทางของโลก               7. เรื่องคำสอนผิดหรือคำสอนเทียมเท็จ

8. เรื่องการดูถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า และรวมทั้งปัญหาอื่นๆอีกมากมาย

อาจจะกล่าวได้ว่าคริสตจักรยุคแรกในเวลานั้นเป็นคริสตจักร

1)ที่มีความไม่สมบูรณ์ 2)ที่เราไม่สามารถที่จะลอกเลียนแบบให้เป็นคริสตจักรต้นแบบได้

จะว่าไปแล้วคริสตจักรยุคแรกในเวลานั้น ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรไปจากคริสตจักรในยุคนี้เลยก็ว่าได้

ผมเคยคุยกับผู้เชื่อคนหนึ่งที่มาโบสถ์บ้าง ไม่มาโบสถ์บ้าง ผมถามเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง หายไปไหนมา เขาบอกผมว่าอาจารย์ ผมแวะไปนมัสการที่โบสถ์อื่นมาผมอยากหาโบสถ์ที่มีความ ( Perfect ) สมบูรณ์เพื่อจะได้สมัครเข้าเป็นสมาชิก

ผมคำถามเขาว่าแล้วเธอหาได้หรือยัง เขาบอกผมว่ายังไม่เจอเลย

ผมก็เลยบอกเขาไปว่าถ้าน้องหาโบสถ์ที่สมบูรณ์ที่ว่านั้นได้แล้ว น้องช่วยกลับมาบอกผมด้วยนะ ผมอยากจะขอสมัครเป็นสมาชิกด้วยคน

ในเช้าวันนี้ ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อว่า ไม่มีคริสตจักรใดในโลกใบนี้ที่มีความสมบูรณ์พร้อม     รวมทั้งคริสตจักร ฮาเลลูยา คอมมูนิตี้ เชิชร์ ที่เมือง Yatab Dong ที่ผมมีโอกาสได้เดินทางไปร่วมสัมมนาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ การที่มีคริสเตียนบางคนชอบพูดในทำนองที่ว่า คริสตจักรในยุคแรกนั้น เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้า แต่คริสตจักรในปัจจุบันนี้มีแต่ปัญหานั้น ผมคิดว่าคำพูดนี้ มีความจริงอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นเอง

ในขณะเดียวกันผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่พูดอย่างนี้ อาจจะกำลังทำให้คนที่ฟังนั้นเข้าใจว่า คริสตจักรในยุคแรกนั้นไร้ปัญหาแต่คริสตจักรในยุคนี้มีแต่ปัญหา หรืออาจจะทำให้คนฟังเข้าใจว่าคริสตจักรในยุคแรกนั้นมีฤทธิ์อำนาจของพระเป็นเจ้าแต่ในปัจจุบันนี้นั้นไม่มีฤทธิ์อำนาจของพระเป็นเจ้า

ซึ่งถ้าคนที่ฟังคนนั้นมีสถานะภาพเป็นผู้เชื่อใหม่ และถ้าเขามีความเข้าใจอย่างที่ผมได้พูดไปเมื่อสักครู่นี้ ก็ถือได้ว่าคำพูดของคริสเตียนคนนั้นเป็นคำพูดที่อันตรายมาก

เพราะอะไรครับ ? เป็นความจริงพี่ - น้องที่รักครับ ที่คริสตจักรในยุคแรกนั้นมีฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้าอยู่ แต่ก็มีปัญหาไหมครับ ?

พระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้เชื่อของคริสตจักรเมืองโครินทร์ในเวลานั้น ได้แยกออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกัน

สมาชิกกลุ่มที่หนึ่งพูดว่า

พวกผมขอตามอพอลโล เพราะในบรรดานักพูดนั้น อพอลโลมีวาทศิลป์ดีที่สุด

สมาชิกกลุ่มที่สองพูดว่า

พวกเขาขอตามเคฟาส เพราะชอบคนที่ Practical เปาโลนั้นแก่หลักคำสอนมากเกินไป

สมาชิกกลุ่มที่สามพูดว่า

ผมอยู่ฝ่ายเปาโล พวกผมขอเป็นศิษย์เปาโลในบรรดาผู้นำแล้วสมาชิกกลุ่มนี้ชอบที่จะเดินตามเปาโล

สมาชิกกลุ่มที่สี่พูดว่า

ตนเองไม่ติดตามใครทั้งสิ้นนอกจากพระเยซู และพวกคุณก็ไม่ใช่พวกที่ติดตามพระเยซูด้วย มีแต่พวกเราพวกเดียวเท่านั้นแหละ พวกนี้เขาพูดเหมือนกับว่าคนอื่นนั้นไม่ได้เป็นของพระคริสต์อย่างไรอย่างนั้นและพวกนี้ยังมีอยู่ไหมครับในปัจจุบัน

ถ้าพี่ - น้อง ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาของคริสตจักรยุคแรกที่เกิดขึ้นให้ดีๆ พี่ - น้องก็จะพบว่า พวกเขานั้นไม่ได้ทะเลาะกันเพราะความแตกต่างทางความเชื่อเลย และพวกเขาก็ไม่ได้มีการทะเลาะกันในปัญหาทางหลักศาสนศาสตร์แต่อย่างใด

แต่พวกเขาทะเลาะกันในเรื่องของ Persanality Cult หมายถึง พวกเขาต่างมีความชื่นชมในบุคลิกภาพและทักษะของการเป็นผู้นำ ที่มีความโดดเด่นที่แตกต่างกัน

เวลานี้คริสตจักรในต่างประเทศหลายๆประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ต่างก็มีปัญหานี้อยู่ ในอดีตประเทศไทยของเราเองก็เคยมีปัญหานี้ และในปัจจุบันนี้ก็ยังมีปัญหานี้อยู่

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก อ. เปาโล จึงเขียนเอาไว้ใน 1 โครินทร์ว่า พระคริสต์แตกแยกแล้วหรือและผู้นำเหล่านั้นได้ตายเพื่อไถ่บาปให้กับท่านอย่างนั้นหรือ

และด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก อ.เปาโล จึงเขียนเอาไว้ใน 1คร.1:12 เพื่อให้คนที่เชื่อในพระคริสต์ต่างที่จะมองและได้ติดตามที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ไม่ใช่มองที่มนุษย์

ดังนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า ศิษยาภิบาลที่ดี ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ดี ผู้นำคริสตจักรที่ดีและคริสเตียนที่ดีนั้น จะต้องทำตัวเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่จะชี้ให้มนุษย์ทุกคน ได้ก้าวเดินไปในทิศทางขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า หรือเหมือนกับยอห์นบัพติสมาที่ชี้ให้มนุษย์นั้นได้เห็นถึงพระเมสสิยาห์ โดยข้าพเจ้านั้นจะต้องด้อยลงแต่พระเจ้านั้นจะต้องยิ่งใหญ่ขึ้น

ดังนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า ศิษยาภิบาลที่ดี ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ดี ผู้นำคริสตจักรที่ดีและคริสเตียนที่ดีนั้น จะต้องไม่เรียกให้ผู้เชื่อนั้นติดตามเขาหรือเป็นสาวกของเขา แต่หน้าที่ของเขา คือ เรียกร้องให้ผู้เชื่อทุกคนติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก อ.เปาโล จึงเขียนเอาไว้ใน 1 โครินทร์ ว่าให้เรานั้น 1. อย่ามาโต้เถียงกันในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องว่าใครเป็นศิษย์ของใคร แต่ให้เรานั้นมาปรองดองกัน

2. มาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

3. มารับใช้พระเป็นเจ้าร่วมกัน

มีเรื่องเล่าว่าผู้ที่พิชิตภูเขาเอเวอร์เรส คือ เชอร์ปา เทนสิง และ เซอร์ แอดมัน ฮิลลาลี่ นักข่าวสัมภาษณ์ว่าใครแตะยอดเขาได้ก่อน เขาตอบว่า ตลอดเส้นทางไม่ว่าขึ้นหรือลงเราประคองกัน เราช่วยกันและไม่มีใครนำใครเพราะเราเป็น Partnership กันคือเป็นผู้ร่วมงานกัน

พี่ - น้องได้อะไรจากเรื่องเล่านี้ไหมครับหรือพี่ - น้องได้รับอะไรจากคำตอบของเรื่องเล่านี้ไหมครับ ? นี่คือภาพของคริสตจักร นี่คือภาพของพระกายเดียวกัน พี่ - น้องที่รักครับ

ในพระกายเดียวกันจึงไม่มีใครสูงกว่าใคร

ในพระกายเดียวกันนั้นไม่มีใครนำหน้าใคร

ในพระกายเดียวกันนั้นไม่มีใครสำคัญก็ใคร

ในพระกายเดียวกันนั้นไม่มีใครใหญ่กว่าใคร

ในพระกายเดียวกันนั้นไม่มีใครไปไกลกว่าใคร

ในพระกายเดียวกันนั้นไม่มีใครจบปริญญาตรีไม่มีใครจบ ป. 4

ในพระกายเดียวกันนั้นมีเพียงตำแหน่งเดียวกันนั่นคือทาสของพระคริสต์

ดังนั้นขอพี่ - น้องอย่าได้สำคัญผิด คิดว่าตัวเองนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าคนนั้นคนนี้

ภายหลังจากที่ท่าน อ.เปาโล ได้ให้สติหรือได้ให้ภาพกับพี่ - น้องผ่านพระคำของพระเจ้าในหนังสือ 1 โครินทร์แล้ว และถ้าพี่ - น้องได้อ่านพระคำของพระเจ้ากลับไปกลับมา

พี่ - น้องก็จะพบว่า พวกเขาได้ทำในสิ่งที่เขาควรทำ

พี่ - น้องก็จะพบว่า เอกลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้ได้เกิดขึ้นแล้ว

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่หนังสือ กจ.2:1 , 2 : 43 - 47 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกัน เราพบว่าในคริสตจักรนั้นมีคนหลายชาติหลายฐานะและหลายประเภทอยู่ร่วมกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในขณะเดียวกัน พวกเขาไม่เพียงแต่จะถวายตัวแก่พระคริสต์ หรือเป็นขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น

แต่พวกเขาได้ให้ชีวิตแก่กันและกันรวมทั้งได้ให้ชีวิตแก่ผู้เชื่อด้วยกันเองด้วยอันนี้เป็น Spirit ที่แรงมาก

คำถามคือว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? สิ่งนี้เกิดขึ้นจากการที่ อ.เปาโล ได้ให้ผู้เชื่อในยุคแรกได้ย้ายการจดจ่อของตนจากมนุษย์ไปจดจ่ออยู่ที่พระเป็นเจ้า เหมือนกับคนไทยของเราในอดีตที่ผ่านมาที่เราจดจ่ออยู่กับใครครับ ? อยู่กับที่พระเจ้าอยู่หัว

ซึ่งในอดีตนั้น Spirit ในการรักสถาบันพระมหากษัตริย์ของคนไทยเรานั้นแรงมาก แต่เวลานี้ไม่ใช่แล้วนะครับ ผมไปอยู่ที่เกาหลี 6 วัน 7 คืน ผมพบว่ามี Web Site ที่ใช้คำไม่สุภาพอย่างมากๆในการก้าวล่วงต่อสถาบันนี้

กลับมาที่พระวจนะคำของพระเจ้า สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องก็คือว่า น่าเสียดายตรงที่ว่าเวลานี้มีคริสตจักรไทยในหลายที่ หลายแห่ง ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ เหมือนกับคริสตจักรในยุคแรก ผมขออนุญาตที่จะพูดตรงๆและขอให้พี่ - น้องใจกว้างที่จะรับฟังด้วยนะครับนั่นก็คือ คริสตจักรไทยในหลายที่ หลายแห่ง ยังถือพวก ยังถือคณะกันอยู่

เช่นเดียวกันกับคริสเตียนไทยหลายๆคน ที่ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำด้วยเช่นกัน คริสเตียนไทยบางคนพี่ - น้องทราบไหมครับว่า

1 ) กับพี่ - น้องด้วยกันเองเขายังชอบทำเรื่องเล็กน้อยให้เป็นเป็นเรื่องใหญ่

2 ) กับพี่ - น้องด้วยกันเองเขากับทำเรื่องขี้หมูลาขี้หมาแห้งให้เป็นเรื่องที่คอขาดบาดตาย

3 ) กับพี่ - น้องด้วยกันเองเขาแก้ปัญหาด้วยการเอาปืนไรเฟิลไร่ยิงผีเสื้อหรือเอาปืนใหญ่ไร่ยิงแมลงวันซึ่งคริสเตียนที่ดีเขาไม่ทำกัน

เพราะฉะนั้นให้เราได้ร่วมกันสร้างเอกลักษณ์ ของความเป็นคริสตจักรแท้ให้เกิดขึ้นในคริสตจักรใจสมานสมุทรสงคราม นั่นก็คือ ผูกพันเข้าหากัน ทอจิตทอใจของเราให้เป็นผืนเดียวกัน

ซึ่งในพระคัมภีร์ใหม่นั้นก็มีคำว่า ทุกคน ผูกพัน ร่วมกัน น้ำหนึ่งใจเดียวกัน ปรากฏอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเราจะต้องสนใจที่จะทำให้สิ่งนี้บรรลุผล เพราะนี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า แน่นอนครับเรามีเบื้องหลังที่ต่างกันและเราไม่สามารถที่จะเข้ากันได้แต่เมื่อเราทุกคนต่างมีใจปรารถนาที่จะให้เอกลักษณ์แท้เกิดขึ้นในคริสตจักรของพระเป็นเจ้าที่นี่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะปรับแต่งเราทุกคน

คอนกรีตมันจะแข็งแรงได้ย่อมเกิดจากปูนและน้ำ คือ มันต้องยินดีอ่อนต่อน้ำเมื่อนำมาผสมกลมกลืนกันมันถึงจะแข็งแกร่งได้ สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องนั่นก็คือว่า

ถึงแม้ว่าเราจะมีที่มาที่แตกต่างกัน แต่เราก็สามารถที่จะกลมกลืนกันได้อย่างน่าประหลาดใจ และความกลมกลืนนี้แหละจะเป็นขุมพลัง ที่ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้านั้นเสด็จมาอวยพระพรเรา และคริสตจักรของพระองค์

เพราะฉะนั้น เครื่องมือวัดสัญลักษณ์หรือเอกลักษณ์ ของความเป็นคริสตจักรแท้ ประการที่หนึ่ง นั่นคือ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

เครื่องมือวัดเอกลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้

ประการที่ 2 อยู่ใน กจ.2:42 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เขาทั้งหลายได้ขะมักขะเม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรมกัน ทั้งขะมักขะเม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน

เครื่องมือวัดเอกลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้ประการที่ 2 นั่นคือ การมีสามัคคีธรรมที่แน่นแฟ้นผ่านพิธีมหาสนิท ซึ่งผมขอที่จะขีดเส้นใต้ตรงนี้เอาไว้สักครู่หนึ่ง และขออนุญาตที่จะพาพี่ - น้องกลับไปที่หนังสือปฐมกาล

ในหนังสือปฐมกาลนั้นเราทราบว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ผู้หนึ่งขึ้นมานั่นก็คือ อาดำ และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้อาดำนั้นได้มีการสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์

อย่างไรก็ตามพระคำของพระเจ้าอีกข้อหนึ่งก็ได้ตรัสว่ามิควรที่ชายผู้นี้จะอยู่ลำพังเพียงคนเดียวพระองค์จึงทรงสร้างคู่อุปถัมภ์ให้กับเขา

ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าต้องการที่จะให้มนุษย์นั้นได้มีการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า และพระเจ้าต้องการที่จะให้มนุษย์นั้นมีการสามัคคีธรรมกับมนุษย์ด้วยกันเอง

กลับมาที่พิธีมหาสนิท พี่ - น้องที่รักครับ พิธีมหาสนิทมิได้ถูกสถาปนาขึ้นมา เพื่อให้คริสตจักรในยุคแรกนั้นได้มีโอกาสสามัคคีธรรม หรือรำลึกนึกถึงพระองค์เท่านั้น แต่ลึกลงไปกว่านั้นก็คือว่า พระองค์ทรงสถาปนาพิธีนี้ให้เป็นเหมือนกับมงคลทองคล้องใจพวกเราทุกคนผ่านการสามัคคีธรรมหรือผ่านการอยู่ร่วมกัน

เมื่อคริสตจักรในยุคแรกต่างรู้แล้วว่า พวกเขาไม่ใช่เป็นของพระคริสต์เท่านั้น แต่ในเวลานั้นเขาต่างเป็นของกันและกันด้วย เราเป็นของกันและกัน ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกิ่งกับตา เหมือนศิลากับตึก เหมือนอวัยวะกับกาย

เพราะฉะนั้นเมื่อพี่ - น้องแนบแน่นกับพระคริสต์แล้ว พี่ - น้องก็ควรที่จะต้องแนบแน่นกับพี่ - น้องในพระกายเดียวกัน หรือแนบแน่นกับคนของพระคริสต์ด้วย อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า การสามัคคีธรรมกับพระคริสต์ สำคัญไม่แพ้สามัคคีธรรมกับคนของพระคริสต์

เมื่อพี่ - น้องแนบแน่นหรือสามัคคีธรรมกับพระเจ้ามากขึ้น พี่ - น้องก็จะบริสุทธิ์หรือมีความชอบธรรมมากขึ้น เช่นเดียวกันเมื่อพี่ - น้องมีการสามัคคีธรรมที่แนบแน่นกับคนของพระเจ้ามากขึ้น เราก็จะรู้จักซึ่งกันกันมากขึ้น เติบโตไปด้วยกันมากขึ้น และนี่เป็นสิ่งที่พระเป็นเจ้าปรารถนา ที่จะเห็นเราอยู่ในบริบทแบบนี้

พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า ถ้าพี่ - น้องเลือกที่จะแนบแน่นกับพระเจ้า แต่พี่ - น้อง ปฏิเสธความแนบแน่นหรือการสามัคคีธรรมกับคนของพระเจ้าด้วยกันและหรือพี่ - น้องไม่ชอบความแนบแน่นชนิดนี้นั่นก็เท่ากับว่าพี่ - น้องได้ปฏิเสธงานของพระเจ้า ผมขอหนุนใจพี่ - น้องทุกท่านว่า

1 ) เมื่อพี่ - น้องได้ให้ชีวิตของเราแด่พระเจ้าแล้ว พี่ - น้องก็ควรที่จะให้ชีวิตของเราแด่พี่ - น้องในคริสตจักรด้วย

2 ) อย่าให้สังคมสมัยใหม่หรือ Modernization ได้ทำลายกาวใจที่พระเป็นเจ้าปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายนั้นมีให้แก่กันและกัน นั่นก็คือ การมีสามัคคีธรรมที่แน่นแฟ้นกับพี่ - น้องในพระกายเดียวกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อนั่นก็คือว่าในสังคมของคนที่ไม่ได้รู้จักกับพระเป็นเจ้านั้น เขามีการสามัคคีธรรมกันหลายๆรูปแบบ

พี่ - น้องเคยเห็นไหมครับว่า คนที่ไม่ได้รู้จักกับพระเจ้านั้น เขานั่งจิบกาแฟ เขานั่งรับประทานขนม Cake สักชิ้นหนึ่งหรือ Cookie สัก 4 - 5 ชิ้น และเขาก็นั่งคุยกันไปซึ่งใครๆก็ทำได้

แต่การสามัคคีธรรมหรือการ Fellowship ของคริสเตียนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้าสถิตและอยู่ด้วยนั้น มันไม่ได้เพียงแค่ผู้เชื่อนั่งจิบกาแฟและทานขนม Cake หรือ Cookie 4-5 ชิ้นเท่านั้น แต่มันมีสารประโยชน์และมันมีความลึกซึ้งที่มากกว่าความเป็นเพื่อน อาเมนไหมครับพี่ - น้อง

เพราะฉะนั้นการสามัคคีธรรมของคริสเตียน ที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงสถิตและอยู่ด้วยนั้นมันจึงไม่มีหน้ากาก ดังนั้นเราจึงเปิดใจของเราต่อพระเป็นเจ้าและเราจึงเปิดใจต่อพี่ - น้องคริสเตียนด้วยกัน ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก

1 ) การสามัคคีธรรมของคริสเตียนจึงมีการตอบสนองซึ่งกันและกัน

2 ) การสามัคคีธรรมของคริสเตียนจึงมีการหนุนใจให้แข็งแกร่ง เติบโตและงอกงามได้

3 ) การสามัคคีธรรมของคริสเตียน จึงมีการ Share & Care ชีวิตที่ลึกซึ้งต่อกันและกัน และการที่เรา Share & Care ชีวิตที่ลึกซึ้งต่อกันและกันนี้ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนมากมายได้มารู้จักกับพระเป็นเจ้า

และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้มารู้จักกับพระเจ้า ด้วยการที่เห็นคริสเตียนที่ดีนั้นเขาได้แบ่งปันชีวิตต่อกันและกัน พี่ - น้องเคยได้ยินคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน พูดในทำนองนี้บ้างไหมครับว่า ดูพวกคริสเตียนสิเขารักกันดีเนอะ พี่ - น้องเคยได้ยินบ้างไหมครับ

โดยส่วนตัวผม ผมคิดว่าคริสเตียนไทยจะประกาศหรือเป็นพยานได้ดีมิใช่เพราะการอบรมให้มีการประกาศหรือเป็นพยานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ผมมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า คริสเตียนไทยจะสามารถประกาศหรือเป็นพยานได้ดี ถ้าเรา Share & Care ชีวิตของเราต่อคนที่ไม่ได้เป็นผู้เชื่อด้วย

หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่าเมื่อเรา Share & Care ชีวิตของเรากับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าในที่ทำงานของเรา ในชุมชนที่เราอาศัยอยู่ ชีวิตของการเป็นคริสเตียนที่ดีนั้นจะมีพลัง จะเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดคนที่ไม่เชื่อให้มารู้จักกับพระเจ้าได้ด้วยเช่นกัน

ซึ่งนั่นหมายความว่า คนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้านั้นเขาสามารถที่จะสัมผัสความรักพระคริสต์หรือความจริงของพระเป็นเจ้า ไม่ใช่เพียงแค่เรามานั่งฟังคำเทศนาในเช้าวันนี้เฉยๆเท่านั้น แต่จากการที่เราฟังแล้วเรานำไปปฏิบัติในชีวิตจริงหรือในชีวิตประจำวันของเราด้วย

คำถามที่สำคัญก็คือว่า คริสตจักรแห่งนี้ มีการสามัคคีธรรมที่แน่นแฟ้นต่อพระเป็นเจ้าและกับพี่ - น้องในพระกายเดียวกันมากน้อยแค่ไหน เรามีความห่วงใยกันมากน้อยแค่ไหน เราแบกรับภาระของกันและกันมากน้อยแค่ไหน เราได้เสริมสร้างซึ่งกันและกันแค่ไหน เรามีการหนุนใจซึ่งกันและกันมากน้อยแค่ไหน

ถ้าคำตอบภายในจิตใจของท่านคิดว่า ระหว่างพี่ - น้องซึ่งเป็นพระกายเดียวกันนั้นมีน้อยไป ก็ขอให้เราทั้งหลายได้ช่วยกันสร้างเอกลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้นี้ขึ้นมา

เครื่องมือชี้วัดเอกลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้

ประการที่ 3 นั่นคือ ต้องไม่แร้นแค้นความรัก

พี่ - น้องที่รักครับ การมีสามัคคีธรรมที่แน้นแฟ้นกับพระเจ้า การมีสามัคคีธรรมที่แน่นแฟ้นกับพี่ - น้องในพระกายเดียวกันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่เครื่องมือชี้วัดในการเป็นคริสตจักรแท้อีกประการหนึ่งนั่นก็คือ การไม่แร้นแค้นความรัก คำถามก็คือว่า เราต้องไม่แร้นแค้นความรักกับใคร ?

พี่ - น้องที่รักครับ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้า ได้ทรงปลูกต้นรักของพระองค์เอาไว้ภายในจิตใจของเราทั้งหลาย และพระองค์ทรงรอวันและคืนที่พวกเราทั้งหลายนั้นจะมีความรักของพระองค์อยู่ในชีวิตของเราที่มากพอในการที่เราทั้งหลายนั้นจะออกไปนำคนที่หลงหายนั้นให้มารู้จักกับพระเป็นเจ้า

ซึ่งคริสเตียนเราอาจจะเรียกการกระทำเช่นนั้นว่า การประกาศ การเป็นพยาน การเป็นเกลือ การเป็นแสงสว่าง การเกิดผล หรือพี่ - น้องอาจจะเรียกการกระทำเช่นนั้นว่าอย่างไรก็ตามแต่ แต่ผมขอเรียกว่า แทรก ก็แล้วกัน

พี่ - น้องที่รักครับ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะให้คริสเตียนนั้นได้ก้าวออกไปหรือเข้าไปแทรกตรง 1. รอยปริแตกของสังคม 2. กลิ่นแห่งความอับชื้นในชุมชนที่เราอาศัยอยู่

ซึ่งถ้าพี่ - น้องไม่ลืม พี่ - น้องก็จะพบว่า เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเรียกสาวกทั้ง 12 คน ให้อยู่กับพระองค์ ก็มิใช่เพื่อที่จะให้อัครทูตเหล่านั้นดำรงอยู่กับพระองค์ตลอดไป แต่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่ชัดเจน ในการที่จะส่งบางคนนั้นกลับเข้าไปแทรกหรือส่งบางคนนั้นออกไปแทรกรอยปริแตกของสังคมชาวยิวในเวลานั้น

คำถามคือว่า มากขนาดไหน ? คำตอบก็คือมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า คริสตจักร ฮาเลลูยา คอมมูนิตี้ เชิชร์ ที่พระเจ้าทรงเมตตาและทรงอนุญาตให้ผมได้เดินทางไปสัมมนา เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเฉพาะ คริสตจักรฮาเลลูยา เพียงคริสตจักรเดียวนะครับพี่ - น้องที่รัก เขาได้ส่ง Missionnary ออกไปมากกว่า 50 - 60 คน อาจจะกล่าวได้ว่านี่คือ คริสตจักรที่มีเอกลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้ก็ว่าได้

                ถ้าพี่ - น้องปรารถนาที่จะให้คริสตจักรแห่งนี้มีเอกลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้ พี่ - น้องต้องสนใจหลักการที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ให้กับเราเอาไว้ นั่นก็คือ

เรามานมัสการเราก็ต้องออกไปรับใช้ เรามาสามัคคีธรรมเราก็ต้องออกไปประกาศและเป็นพยานอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า เมื่อเราหลุดพ้นจากความบาป เราก็จะต้องหลุดพ้นหรือออกจากโบสถ์เพื่อไปประกาศเป็นพยานด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า

1 ) ถ้าพี่ - น้องถือว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของท่าน องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ถือว่าพี่ - น้องเป็นผู้รับใช้ของพระองค์

2 ) ถ้าพี่ - น้องถือว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงเป็นพระบิดาของเรา พระองค์ก็ถือว่าพี่ - น้อง เป็นคนที่ถูกเลือกให้ไปเกิดผล เหมือนกับพระคำของพระเป็นเจ้าใน ยน.20:21 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า พระบิดาทรงใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านไปฉันนั้น

น่าเสียดายตรงที่ว่า คริสตจักรไทยโดยส่วนมาก

1. คิดแต่ฐานที่มั่นของตัวเอง  

2. ไม่เคยคิดที่จะแทรกตรงรอยปริแตกของสังคมกันสักเท่าไหร่

3. ซึ่งผมคิดว่ามีมากกว่าร้อยละ 75% ที่คริสตจักรไทยโดยส่วนมากนั้นมักจะพูดถึงองค์การ , องค์กรและคริสตจักรของตัวเอง อาคารของเขาเอง โครงสร้างของคริสตจักรของเขาเอง การเงินของเขาเอง ซึ่งบางที่บางแห่งนั้นก็มีมากอยู่แล้วโดยไม่ค่อยที่จะพูดถึงเรื่องของการ แทรก ตัวเข้าไปมีบทบาททางสังคมกันเท่าที่ควร (เป็นพยานเล็กน้อย) น่าเสียดายตรงที่ว่าคริสเตียนไทยโดยส่วนมาก  

1) คิดแต่เรื่องของตัวเอง

2) ไม่ค่อยที่จะชอบพูดเรื่องของพระเจ้าให้กับมนุษย์ฟัง แต่มักที่จะจะพูดเรื่อง

ของมนุษย์ให้กับมนุษย์ฟัง

3) ชอบไปรับการเติมพลังฝ่ายวิญญาณตามงานฟื้นฟูต่างๆ  ไกลแค่ไหนก็ดั้นด้น

ดิ้นรนกันไปไปเพื่อที่จะไปบริโภคพระพร กลับมาจากงานฟื้นฟู กลับมาจากงานรับฤทธิ์เดชก็ไม่เคยคิดที่จะไป แทรก ตรงรอยปริแตกทางสังคมตรงไหนเลย นอกจากจะมาแทรก หรือมา แซง กันเองในคริสตจักร ทำให้ศิษยาภิบาลหลายคนต้องปวดหัวใจจน ศิษยาภิบาลบางคยจะกลายเป็น ศพหรือกลายเป็น ศพ กันหมดอยู่แล้ว

                ผมขอเรียนกับพี่ - น้องอีกครั้งหนึ่งว่า โลกใบนี้ต้องการพระเจ้าและสังคมไทยในเวลานี้ก็ต้องการพระเจ้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นขอหนุนใจให้เราทั้งหลายยืนอยู่ตรงรอยปริแตกของสังคมและในชุมชนที่เราอาศัยอยู่ และเป็นความจริงพี่ - น้องที่รักครับที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงรักคริสตจักรแต่พระเจ้าทรงรักมนุษย์และรักโลกด้วยเช่นกัน

คำถามคือว่า

คริสตจักรและพี่ - น้องสมาชิกใจสมานสมุทรสงคราม 1. ต่างรักพระมหาบัญชาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้ามากน้อยแค่ไหน 2. ต่างมีความห่วงใยหรือมีความใยดีต่อคนที่หลงหายกันมากน้อยเพียงไรและนี่เป็น Measurement หรือเครื่องมือที่ใช้ชี้วัดความเป็นเอกลักษณ์ของการเป็นคริสตจักรแท้

เครื่องมือชี้วัดเอกลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้

ประการที่ 4 ประการสุดท้าย นั่นก็คือ เต็มล้นด้วยความชื่นชมยินดี

พี่ - น้องที่รักครับ คริสเตียนในยุคแรกหรือคริสตจักรในยุคแรกนั้น เขาอาจจะยากจนในด้านวัตถุ แต่เขาร่ำรวยความชื่นชมยินดี เพราะถ้าเขาไม่ได้ร่ำรวยในความยินดีนี้แล้ว พระคัมภีร์ใหม่ในหนังสือลูกา 1:14 , ยอห์น 17 : 3 และในหนังสือกิจการ 2 : 46 - 47 และรวมทั้งหนังสือเล่มอื่นๆก็คงจะไม่มีการบันทึกคำว่า Joy & Gladness ชื่นชมยินดี นี้เอาไว้อย่างมากมาย

สิ่งที่เราจะต้องเข้าใจอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า ในความชื่นชมยินดีนั้น ไม่ได้หมายความว่า คริสเตียนในยุคแรกหรือคริสตจักรในยุคแรกนั้น เขาไม่ได้มีเรื่องที่ทุกข์ยากลำบากใจนะครับ เขามีไหมครับพี่ - น้อง ?

อ.เปาโลกับสิลาสถูกจำคุก เสื้อผ้าขาดวิ่น หลังเลือดไหล ขาติดอยู่ในขื่อ ถูกด่า ถูกดูถูก ถูกทารุณกรรม แต่พอเที่ยงคืนเขากับร้องเพลงสรรเสริญพระเป็นเจ้า

ดังนั้นคำถามเมื่อสักครู่นี้ ที่ถามว่าในความชื่นชมยินดีนั้น คริสเตียนหรือคริสตจักรในยุคแรกนั้นเขามีความทุกข์ยากลำบากใจไหม ? คำตอบก็คือ มี

คำถามต่อไปก็คือว่า ในระหว่างที่เรามีความทุกข์ยากลำบากใจนั้น แล้วความชื่นชมยินดีนั้นมากจากไหน

พระคำของพระเจ้าใน คลส.3:16 ตรัสดังนี้ว่า จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการและเพลงสรรเสริญด้วยใจโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า

พระคำของพระเจ้าอีกข้อหนึ่งอยู่ใน อฟซ.5:19 ตรัสดังนี้ว่า จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการและเพลงสรรเสริญ คือ ร้องเพลงสรรเสริญและสดุดีจากใจของท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า

คำตอบก็คือว่า ความชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากใจของเรานั้น มาจากพระเจ้า อาจจะกล่าวได้ว่าคริสเตียนเป็นคนที่มีความทุกข์ได้แต่ยังมีความยินดีอยู่ภายในจิตใจเสมอ

คริสเตียนบางคนที่ผมรู้จักนะครับพี่ - น้อง เขาสามารถที่จะหัวเราะหรือยิ้มทั้งน้ำตาได้ แม้ว่าในหัวใจของเขานั้นจะเต็มไปด้วยความกลัว หรือความทุกข์ยากลำบากใจก็ตาม

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก คริสเตียนจึงไม่ค่อยที่จะเผยแพร่ความโศกเศร้าเสียใจออกไปสักเท่าไหร่ แต่เผยแพร่พระรัศมีของพระเป็นเจ้าออกไปเพราะความชื่นชมยินดีนั้นมาจากการที่เรารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด

เพราะฉะนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า คริสเตียนในยุคแรกนั้นเขาไม่ได้จำทนหรือฝืนทนในการที่จะมาเป็นคริสเตียน แต่คริสเตียนในยุคแรกนั้นเขามีความชื่นชมยินดีต่อการมาเป็นคริสเตียน เขาจึงระบายความชื่นชมยินดีนั้นออกมาจนล้นไหลเป็นเหตุทำให้ผู้คนรอบข้างได้แลเห็น

ซึ่งตรงกันข้ามกับชีวิตเก่าของพวกเราใช่ไหมครับพี่ - น้องที่แสร้งทำไมครับ ? หน้าชื่นแต่อกตรม ซึ่งมันไม่ได้เป็นการไหลจากภายในสู่ภายนอกอย่างแท้จริง

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รักครับ คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเป็นเจ้าหลายคนจึงแปลกใจกับการที่คริสเตียนนั้นมีความทุกข์แต่กับมีความสุข มีความชื่นชมยินดีในพระเป็นเจ้า เป็นเหตุทำให้ผู้สนใจหลายคนอยากที่จะมาโบสถ์ อยากที่จะมาเป็นคริสเตียน เพราะว่าหน้าตาของคนที่มาโบสถ์ในวันอาทิตย์นั้นมีความสุข มีความชื่นชมยินดี

                น่าเสียดายตรงที่ว่าเวลานี้มีคริสเตียนไทยหลายคน ไม่ได้สะท้อนพระรัศมีภาพขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าออกมา เหมือนกับผู้เชื่อหรือเหมือนกับคริสตจักรในยุคแรก เหตุเพราะว่าเขาแบกปัญหาของตัวเองเอาไว้มากเกินไป หน้าตาของเขาจึงเศร้าหมอง ความชื่นชมยินดีในพระเป็นเจ้า จึงไม่สามารถที่จะไหลออกมาจากชีวิตของเขาได้

มีเรื่องเล่าว่า มีนักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง เขาเดินทางไปทำข่าวการกันดารอาหารที่ทวีปอัฟริกาพอถึงวันอาทิตย์เขาก็อยากดูว่าชาวอัฟริกานี้นมัสการพระเป็นเจ้ากันอย่างไร ซึ่งนั่นหมายความว่า เขายังไม่ได้เป็นคริสเตียนใช่ไหมครับ

แต่เมื่อเขาได้เข้าไปเห็นการนมัสการพระเจ้าและกลับออกมาเขาพูดว่าฉันเหมือน

กับนั่งอยู่ในสวรรค์ทีเดียว พี่ - น้องที่รักครับ นักข่าวคนนี้เขาเข้าไปทำข่าวในทวีปที่ได้ชื่อว่ามีความกันดารอาหารมากที่สุดแต่ครั้นเมื่อถึงวันอาทิตย์เขากับบอกว่าเขาเหมือนกับนั่งอยู่บนสวรรค์ คำตอบนี้ได้บอกหรือได้สอนอะไรกับเรา คำตอบนี้ได้บอกหรือได้สอนเราว่า

เขาได้เข้าถึง Spirit แห่งการนมัสการพระเจ้า

เขามีทัศนคติต่อเพลงนมัสการที่เขาร้องนั้นอย่างไร

เขาได้คิดใคร่ครวญถึงเพลงที่เขาร้องอย่างนั้นจริงๆ    

เขาไม่ได้สักแต่จะร้องให้มันจบๆไป แต่เขามีความเชื่ออย่างนั้นจริงๆ

และนี่เป็นเครื่องมือชี้วัด เอกลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้ ซึ่งผมอยากที่จะหนุนใจเรา ให้มีสิ่งนี้เกิดขึ้นในชีวิตของพี่ - น้องและเกิดขึ้นในคริสตจักรของพระเป็นเจ้าที่นี่ด้วย

สรุปเอกลักษณ์ของความเป็นคริสตจักรแท้

ประการที่ 1 มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจนหาตัวจับได้ยาก

ประการที่ 2 มีสามัคคีธรรมที่แน่นแฟ้น

ประการที่ 3 ไม่แร้นแค้นความรัก

ประการที่ 4 เต็มล้นด้วยความชื่นชมยินดี

               

Green City