อาภรณ์ของคริสเตียน

     คำเทศนาเรื่อง อาภรณ์ของคริสเตียน

        

                ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม คลส.3 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ คลส. 3:12-17 แล้วอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า อาภรณ์ของคริสเตียน ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

                พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ที่ผ่านมามีพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรของเราหลายคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ ได้มีโอกาสไปร่วมงาน เทิดไท้องค์ราชันย์ ที่ทางวัฒนธรรม จังหวัดเป็นผู้จัดขึ้น ณ.ห้องประชุม อบจ.สมุทรสงคราม ในขณะเดียวกันก็มีพี่ - น้องของเราบางคนได้พูดกับผมในทำนองที่ว่าไม่เคยเห็นอาจารย์ใส่เครื่องแบบ ศาสนจารย์ อย่างนี้ในคริสตจักรบ้างเลย

สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องก็คือว่า คนเรานั้นเมื่อได้ดำรงตำแหน่งอะไรก็ตามเราจำเป็นอย่างเหลือเกินที่จะต้องแต่งกายหรือว่าสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์นั้นให้ถูกต้องเหมาะสมกับตำแหน่งหรือให้เหมาะสมกับกาลเทศะ

ในทำนองเดียวกันผมก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้า ที่ในงานนี้ผมไม่เห็นพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรของเราสักคน ที่ประแป้งแต่งตัวแล้วนุ่งกางเกงแพรหรือใส่กางเกงขาสั้นมาในงานนี้ ซึ่งก็ทำให้ผมทราบว่าพี่ - น้องของเรานั้น เรียนรู้จักการสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ในการเข้าสู่สังคมภายนอกได้อย่างถูกต้องเหมาะสมด้วยเช่นกัน

พี่ - น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ปฐก.2:7 บอกกับเราว่าเมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างเราขึ้นมาจากผงคลีดินเราจึงบังเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์

มนุษย์ที่ว่านี้ เป็นมนุษย์ฝ่ายร่างกายหรือเป็นมนุษย์ในฝ่ายเนื้อหนังนะครับ

ดังนั้นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ผมได้กล่าวมาในตอนต้น จึงเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ในฝ่ายร่างกายหรือในฝ่ายเนื้อหนังทั้งสิ้น

ในขณะเดียวกันพระวจนะคำของพระเจ้าในหนังสือ ปฐก.2:7 ก็ยังได้บอกกับเราต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อพระเจ้าได้ทรงระบายลมปราณหรือจิตวิญญาณของพระองค์ลงไป มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิต

ดังนั้นเสื้อผ้าอาภรณ์ในชุดที่ 2 นี้จึงเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ในฝ่ายอะไรครับพี่ - น้อง ? เป็นอาภรณ์ฝ่ายจิตวิญญาณ

ดังนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า คริสเตียนนั้นมีเสื้อผ้าอาภรณ์อยู่ 2 ชุดด้วยกัน และคนที่เป็นผู้เชื่อหรือเป็นคริสเตียนทุกๆคน ก็จะต้องสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณนี้ไปในคราวเดียวกันด้วยโดยที่เราไม่สามารถที่จะเลือกสวมใส่อาภรณ์ อย่างหนึ่งอย่างใดได้เลย

อย่างไรก็ตามถ้าพี่ - น้องได้อ่านในพระคำของพระเจ้า แล้วถ้าพี่ - น้องยังไม่ลืม พี่ - น้องก็จะพบว่ายังมีพระคำของพระเจ้าอีกตอนหนึ่งอยู่ในหนังสือ อฟ. 6ที่สอนให้เราสวมอาภรณ์ที่เป็นยุทธ์ภัณฑ์ของพระเจ้าเอาไว้ทั้งชุด ซึ่งอาภรณ์ประเภทนี้มักจะเป็นของที่หนักและแข็ง เช่น ทับทรวงและหมวกเหล็ก เป็นต้น

การที่เราจะต้องสวมใส่อาภรณ์ประเภทนี้เอาไว้ก็เพราะอะไรครับ ? เพราะเราจะต้องใช้อาภรณ์พวกนี้ในการทำสงครามต่อสู้กับศัตรู

แต่อาภรณ์ในหนังสือ คลส.3:12-17 ที่เราได้อ่านร่วมกันนั้นเป็นอาภรณ์ที่สอนให้เรานั้นสวมใส่ต่อกันและกัน

ดังนั้นอาภรณ์ทั้ง 2 ชนิดนี้จึงต่างกันอันหนึ่งใช้กับศัตรู อันหนึ่งใช้กับคริสเตียนด้วยกัน

อ.เปาโล ท่านได้เขียนจดหมายฝากฉบับนี้ ตอนนี้ขึ้นมาจากภาพของการถอดเสื้อคลุมชุดเก่าทิ้งและสวมเสื้อคลุมชุดใหม่ กล่าวคือ ในสมัยก่อนนั้นเวลาคริสเตียนใหม่จะเข้ารับบัพติสมาในน้ำนั้น พวกเขาจะต้องถอดเสื้อคลุมชุดเก่าออกก่อนรับบัพติสมาในน้ำ

พี่ - น้องที่รักครับ การถอดเสื้อคลุมชุดเก่าออกนั้น อ.เปาโล ได้ให้ภาพเอาไว้ในหนังสือ คลส. 3 : 1 - 11 ว่ามันควรจะเล็งถึงภาพที่เราได้ถอดซึ่งโลกียวิสัยของตนออกจากชีวิตของเราและเมื่อเสร็จพิธีแล้วเขาจึงใส่เสื้อคลุมชุดใหม่

และในคลส. 3 : 12 - 17 อ.เปาโล ยังได้ให้ภาพกับเราต่อไปอีกด้วยว่า การถอดเสื้อคลุมชุดเก่าออกนั้นมันน่าจะเล็งถึง จริยธรรมและคุณธรรมในฝ่ายจิตวิญญาณทั้ง 9 ประการนี้แหละเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกๆคนนั้นจะต้องสวมใส่ อ.เปาโล บอกกับเราว่าผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกๆคนจำเป็นที่จะต้องสวมใส่อาภรณ์ชิ้นนี้เอาไว้

เหตุเพราะ สถานภาพของเรานั้นถูกเปลี่ยนไป เราเป็นพวกที่ถูกเรียกว่าบริสุทธิ์ เราเป็นพวกที่ถูกเรียกว่าพระเจ้าทรงรัก ดังนั้นเราควรที่จะมีชีวิตที่คล้ายคลึงกับชีวิตของพระเยซูผู้ทรงฟื้นขึ้นจากความตาย

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบคำว่า จงสวมใจเมตตาหรือสวมความเมตตาและหรือใจเมตตาภาษาอังกฤษใช้คำว่า Commpassion

พี่ - น้องที่รักครับ อาภรณ์นี้หมายถึง ใจที่สงสารคนที่อดทนสู้ชีวิต ใจที่เข้าใจความทุกข์และความรู้สึกของผู้อื่น (ใจเมตตา ใจสงสารจะมีลักษณะแบบที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้)

องค์พระเยซูคริสต์เจ้า เมื่อพระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปในที่ใดๆก็ตาม เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรและแลเห็นคนที่อดทนสู้ชีวิต พระองค์มักจะพูดคำหนึ่งอยู่เสมอนั่นก็คือคำว่า หญิงเอ๋ย ตามด้วยการสงเคราะห์หรือการช่วยเหลือจากพระองค์ ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์สามารถที่จะซับความรู้สึกของคนๆ นั้นได้เป็นอย่างดี

คำถามที่ผมอยากจะถามพี่ - น้องในเช้าวันนี้ก็คือว่า สังคมไทยที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เราเดินสวนกับคนมากขึ้นหรือน้อยลงครับพี่ - น้อง ? แต่สีหน้าตอนเราเดินสวนกันเป็นอย่างไรครับพี่ - น้อง ? เรากับนิ่งเฉย เรากับแสดงความสนใจใยดีกันในลักษณะแบบขอไปที ( ใช่หรือไม่ ) เช่น ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม ขอตัวนะ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้นี่เองพี่ - น้องที่รักเราจึงไม่สามารถที่จะดูดซับความรู้สึกของคนๆนั้นได้ (จริงหรือไม่จริงครับพี่ - น้อง) ด้วยเหตุนี้เราไม่สามารถที่จะซับความรู้สึกของคนๆนั้นได้จนกว่าเราจะนำตัวของเรา นำใจของเราไปวางใกล้ๆใจของเขา

และเมื่อใดก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ ที่เราเห็นคนที่มีความทุกข์ใจความไม่สบายใจและเราได้นำตัวของเรา นำใจของเราไปวางไว้ใกล้ๆกับใจของเขาได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นล่ะครับพี่ - น้องที่รัก ที่เขาจะระบายถึงความทุกข์ใจของเขาให้กับเรานั้นได้รับฟัง

ซึ่งจริยธรรมหรือคุณธรรมในข้อนี้ จะว่าไปแล้วก็ไม่ค่อยจะเป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก ในสมัยกรีกโบราณ เหตุเพราะคนกรีกโบราณมักจะคิดว่าคุณธรรมข้อนี้นั้น เป็นคุณสมบัติของคนที่อ่อนแอ นักรบกรีกโบราณในสมัย (ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จมา) จึงมีลักษณะที่โหดร้าย กักขฬะ กล่าวคือ เป็นคนที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ กับใครทั้งสิ้น สีหน้าเขาจะนิ่งเฉย ขาดความเมตตา ซึ่งคนกรีกคนไหนที่ทำได้อย่างนี้ เขาถือได้ว่าเป็นวีรบุรุษดังนั้นผู้ชายกรีกโบราณทุกคนจึงชอบที่จะมีชีวิตแบบนี้

แต่ ท่าน อ.เปาโล สอนเราว่าคนที่เดินกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะต้องไม่ใช่เป็นคนแบบนั้น เขาจะต้องเป็นคนที่สวมคุณธรรมหรืออาภรณ์อันใหม่เป็นอาภรณ์ที่มีใจเมตตาสงสารกับทุกคนโดยเฉพาะคนที่อดทนสู้ชีวิต อาจจะกล่าวได้ว่า คนที่ขาดใจเมตตานั้น เป็นคนที่ไม่เต็มคน และถ้าหากเป็นคริสเตียนก็อาจจะเป็นคริสเตียนที่ไม่เต็มตัว ก็ว่าได้

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 เราพบคำว่า ใจปราณี ภาษาอังกฤษใช้คำว่า ( Kindness )

ใจปราณี คือ จิตใจที่รู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับเรา

โดยแท้จริงแล้วผมไม่ทราบว่าพี่ - น้องคิดกับผมอย่างไรกับผมนะครับ แต่สิ่งที่ผมคิดกับพี่ - น้องในคริสตจักรอยู่ตลอดเวลาเสมอนั่นก็คือ ผมคิดว่าพี่ - น้องคือคนในครอบครัวเดียวกันกับผม

ใจปราณี คือ จิตใจที่รู้สึกว่า มันเป็นเรื่องที่มากกว่าความรู้สึกที่เกิดจากหน้าที่ๆเราจะต้องทำ ศิษยาภิบาลหลายคนรู้ว่าพี่ - น้องสมาชิกนั้นมีปัญหา ศิษยาภิบาลหลายคนมักจะอธิษฐานเผื่อภาระปัญหาที่พี่ - น้องมีเพราะนั่นเป็นหน้าที่ แต่ในบางภาระปัญหาที่พี่ - น้องมีนั้น ศิษยาภิบาลจะต้องทำมากกว่าที่เป็นหน้าที่หรือมากกว่าอธิษฐานเผื่อ

เช่น การไปเป็นเพื่อน เช่น แบ่งปันปัญหาที่พี่ - น้องมีให้กับคนอื่นได้ทราบเพื่อจะได้ช่วยกันอธิษฐานเผื่อหรือให้ได้มาซึ่งการช่วยเหลือเป็นต้น

พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ และสิ่งที่ผมจะพูดนั่นก็คือว่า

1 ) คนที่ทำหน้าที่เพราะสำนึกในหน้าที่นั้นก็ดีอยู่ แต่อาจจะไม่เกี่ยวกับความรู้สึกกับใจปราณีแต่อย่างใด

2 ) คนที่ทำงานดี คนที่ทำงานเก่ง คนที่ทำงานเอาจริงเอาจัง แต่เขาอาจจะไม่มีใจปราณีเลยก็ได้ เช่น เจ้าหน้าตำรวจบางคน ที่จับคนเก็บขยะของกทม. ที่เอาแผ่น CDเก่าไปขาย เป็นต้น

พี่ - น้องที่รักครับ ใจปราณีจะสะท้อนให้เราเห็นได้จากการที่คนๆนั้น มีความคิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่นหรือปัดเป่าความทุกข์ให้กับผู้อื่น และหรือทำให้คนที่มีความทุกข์นั้นกลายเป็นคนที่มีความสุข ตัวอย่าง เช่น ท่านพล.ต.อ. พงศ์พัศ พงศ์เจริญ เป็นต้น นายตำรวจคนนี้ถือได้ว่าเป็นคนที่มีจิตใจดี

ในขณะเดียวกันคนที่มีใจปราณี บางครั้งก็อาจจะถูกมองว่าเป็นคนที่โหดร้ายร้ายก็เป็นได้เพราะเราไปบังคับให้คนๆนั้นจะต้องรับผลประโยชน์ของตัวของเขาเอง

เช่น ศัลยแพทย์ เป็นต้น ที่อาจจะต้องทำให้คนๆนั้นต้องได้รับการเจ็บปวดบ้าง แต่นั่นหมายได้หมายความว่า ศัลยแพทย์ชอบทำให้คนต้องเจ็บปวด แต่ศัลยแพทย์จะมีความสุขมากที่เห็นผู้ป่วยหายและสบายดีภายหลังความเจ็บปวดนั้นต่างหาก

เช่น ศิษยาภิบาล เป็นต้น ที่อาจจะต้องทำให้พี่ - น้องสมาชิกบางคนในคริสตจักรรู้สึกถึงการเจ็บปวดบ้าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ศิษยาภิบาลชอบที่จะทำให้พี่ - น้องสมาชิกนั้นเจ็บปวด แต่ศิษยาภิบาลมีความจำเป็น ที่จะต้องกรีดหรือผ่าตัดบาดแผลในฝ่ายวิญญาณให้กับพี่ - น้องสมาชิกบางคน ด้วยการพูดความจริงแห่งพระคำของพระเจ้าให้กับเขาฟังเพื่อที่จะนำเขากลับมาสู่พันธกิจแห่งชัยชนะ

ดังนั้นคริสเตียนที่มีอาภรณ์ประเภทนี้จะมี ใจปราณี อย่างเดียวนั้นคงจะไม่ได้แต่เขาจะต้องมีปัญญาและมีความรอบรู้ด้วยเช่นกัน

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 เราพบคำว่า ใจถ่อม ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่า อวดตัว

พี่ - น้องที่รักครับ คริสเตียนทุกคนจะต้องมีอาภรณ์ประเภทนี้อยู่ในชีวิตของเขา พระคำของพระเจ้าในหนังสือ มีคาห์ 6 : 8 บอกกับเราว่า ให้เราเดินด้วยความถ่อมใจต่อพระพักตร์ของพระเจ้า และในพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม เศฟันยาห์ 2 : 3 บอกกับเราว่า ผู้ที่ถ่อมใจลงคือผู้ที่กระทำตามพระบัญชาของพระองค์ ซึ่งพระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้ได้ชี้ให้เราเห็นว่า ความถ่อมใจ นั้นมันเป็นจริยธรรม มันเป็นคุณธรรมของมนุษย์ที่มีมาช้านานแล้ว

ในภาษากรีกปัจจุบัน คือ ภาษากรีกที่ใช้งานกันอยู่ในชีวิตประจำวันนะครับ ไม่ใช่ภาษากรีกในพระคัมภีร์ เราจะไม่พบคำว่า ใจถ่อมหรือถ่อมใจ เหตุเพราะคนกรีกในสมัยโบราณไม่นิยมคนที่มีใจถ่อม เขาถือว่าคนที่มีใจถ่อมนั้นเป็นคนที่ไม่สู้คนและเขาถือว่าคนที่มีใจถ่อมนั้นเป็นคนที่อ่อนแอเกินไป

เฉกเช่นเดียวกับคนไทยในสมัยหนึ่ง ที่มักจะสอนลูกของตนเองให้ทำไมครับ ?เป็นคนที่สู้คน พอลูกคนไหนถูกเพื่อนต่อยและกลับบ้านมาฟ้องพ่อก็จะถูกพ่อของตนเองนั่นแหละด่าว่า ไอ้หน้าตัวเมีย ไม่สู้คน เองไม่ใช่ลูกพ่อ เป็นต้น ซึ่งมีคนเป็นจำนวนมากที่คิดแบบนี้

พี่ - น้องที่รักครับ คำว่า ใจถ่อมหรือถ่อมใจ ในที่นี้หมายถึง

1 ) ใจที่ไม่คิดหยิ่งผยอง

2 ) ใจที่ไม่คิดว่าเราสูงกว่าคนนั้นหรือคนนั้นเขาต่ำกว่าเรา

ซึ่งคนที่มีใจถ่อมอย่างนี้ละครับพี่ - น้องที่รัก จะเป็นคนที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงโปรดยกขึ้น ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ. 23 : 12 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ ? เพราะฉะนั้นขอให้พี่ - น้องเป็นคนที่ถ่อมใจลงในทุกๆ วันใหม่

ในขณะเดียวกันในความใจถ่อมนั้น เราก็จะต้องประเมินให้ถูกต้องตามกาลเทศะด้วย ไม่ใช่ถ่อมใจกันแบบผิดๆ เช่น นักธุรกิจคริสเตียนบางคนที่ได้รับการท้าทายจากผู้รับใช้ของพระเจ้าโดยการให้ถวายพิเศษเพื่อสนับสนุนพระราชกิจของพระเจ้า

นักธุรกิจคริสเตียนบางคนบอกว่า อาจารย์ผมเป็นคนถ่อมใจ ผมขอถวายสนับสนุนงานของพระเจ้าแค่นี้พอแล้ว

พี่ - น้องคิดว่าการถ่อมใจแบบนี้ถูกต้องไหมครับ ? เพราะฉะนั้นการถ่อมใจจะต้องนำมาซึ่งการประเมินที่ถูกต้องต่อกาลเทศะด้วย

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 4 เราพบคำว่า ใจอ่อนสุภาพ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Meekness

พี่ - น้องที่รักครับ ใจอ่อนสุภาพ นั้นเป็นอาภรณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของชีวิตคริสเตียน สิ่งที่เราจะต้องเข้าใจให้ตรงกันนั่นก็คือว่า ใจอ่อนสุภาพ กับ ใจอ่อนแอนั้นเหมือนกันไหมครับพี่ - น้อง ?  ใจอ่อนสุภาพไม่ใช่ใจอ่อนแออะไรเลย ใจอ่อนสุภาพ

ไม่ใช่เรื่องกล้าหรือไม่กล้าแต่อย่างใด

                พระคริสตธรรมคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาเดิมนั้นเราพบว่า โมเสส นั้นเป็นผู้นำชนชาติอิสราเอลให้ออกจากประเทศอียิปต์ โมเสส นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์เยอะไหมครับพี่ - น้อง ? เป็นแสนๆ คน ในขณะเดียวกัน โมเสส เขายังได้รับโอกาสและสิทธิพิเศษในการเข้าเฝ้าพระเยโฮวาห์เป็นการส่วนตัว เพื่อรับธรรมบัญญัติหรือบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้าด้วย

แท้ที่จริงแล้วในฝ่ายเนื้อหนังนั้น โมเสส มีสิทธิที่จะกร่างได้ไหมครับพี่ - น้อง ?  แต่พระคำของพระเจ้าใน กดว. 12:3 ก็ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า โมเสสเขาก็เป็นผู้นำที่มีความอ่อนสุภาพมากๆด้วยเช่นกัน

บทเรียนนี้จึงเป็นบทเรียนที่สอนให้เรารู้ว่า เมื่อพระเจ้าทรงใช้เรามากขึ้นเมื่อไหร่ หรือเมื่อพระเจ้าทรงอวยพระพรให้เราประสบความสำเร็จมากขึ้นเมื่อไหร่ เราก็จะต้องเป็นคนที่มีใจที่อ่อนสุภาพมากขึ้นเท่านั้นด้วยเช่นกัน

                พระคริสตธรรมคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาใหม่นั้น เราพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยมหิทฤทธานุภาพ ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์ทรงแข็งแกร่งที่สุดในโลกนั้น พระองค์ยังทรงแสดงความแข็งแกร่งนั้นออกมาด้วยความแข็งกร้าว หรือด้วยความอ่อนสุภาพครับพี่ - น้อง ?

พระคำของพระเจ้าใน มธ. 11:29 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงแสดงความแข็งแกร่งนั้นออกมาด้วยความอ่อนสุภาพ เพราะฉะนั้นขอให้เราทั้งหลายได้มีจิตใจที่อ่อนสุภาพเหมือนกับพระอาจารย์ของเรา อาเมน

                จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

                ประการที่ 5 เราพบคำว่า ใจอดทน เท่านั้นใช่ไหมครับพี่ - น้อง ? (ไม่ใช่) มีคำอะไรต่อท้ายด้วยครับ ? มีคำว่า นาน ต่อท้ายด้วย

มีเรื่องเล่าว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งเป็นคู่ที่รักกันมากอยู่กินกันมามากกว่า 30 ปี แต่สามีไม่ค่อยที่จะชอบนิสัยภรรยาของตนอยู่เรื่องหนึ่ง และเขาได้เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจตลอดมา

วันหนึ่งภรรยาถามผู้เป็นสามีว่า เราอยู่กินกันมากกว่า 30 ปี มีอะไรบ้างไหมที่เธอรู้สึกไม่ชอบใจฉัน

สามีตอบว่ามี ฉันไม่ชอบที่เธอแกะก้อนน้ำแข็งในตู้เย็นออกไปกินแล้วไม่ชอบเติมน้ำไว้ในตู้เย็นเหมือนเดิม

ภรรยาถามกลับไปว่า : แล้วทำไมเธอถึงไม่พูดล่ะ เก็บเอาไว้ได้ตั้ง 30 กว่าปี

สามีตอบกลับไปว่า : ก็เธอทำดีมาตั้งมากมายในชีวิต ทำไมเรื่องอย่างนี้ฉันถึงจะทนเธอไม่ได้ละ

พี่ - น้องที่รักครับ คริสเตียนจะต้องมีอาภรณ์ชิ้นนี้ประดับกายอยู่ในชีวิตด้วยเสมอ การมีใจอดทนนานในที่นี้ หมายถึง การที่เรานั้นจะต้องมีพลังมากพอที่จะอดทนกับคนต่างๆเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี เช่น เราสามารถที่จะอดทนนาน

1 ) ต่อคนที่กวนเราเสมอ

2 ) ต่อคนที่ยั่วเราได้เสมอ

3 ) ต่อคนที่ขาดสามัญสำนึก

4 ) ต่อคนที่เฉิ่มเบอะอยู่เสมอ

5 ) ต่อคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

6 ) ต่อคนที่ทำอะไรชักช้าร่ำไรอยู่เสมอ

7 ) ต่อคนที่ทำอะไรตรงข้ามกับเราเสมอ

และไม่ว่าพี่ - น้องหรือผมจะเป็นคนอย่างไรก็ตาม ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า คนที่จะอดทนต่อความไม่น่ารัก หรือคนที่จะอดทนต่อความงี่เง่าเหลาเหย่

ของเราได้นานมากที่สุดนั่นก็คือ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา และนั่นเป็นการอัศจรรย์อย่างหนึ่งที่พระองค์ทรงกระทำอยู่ในเวลานี้

พี่ - น้องที่รักครับ ใจอดทนนาน ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ให้เรานั้นอดทนนานเฉพาะคนภายในครอบครัวของเราเท่านั้น ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัวของเราแล้วเราไม่จำเป็นที่จะต้องอดทนมัน พระคำของพระเจ้าไม่ได้สอนเราอย่างนั้นนะครับพี่ - น้อง

พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 13 มีคำหนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือคำว่า ซึ่งกันและกัน ซึ่งนั่นหมายความว่า ให้เรานั้นได้มีใจที่จะอดทนต่อกันและกันด้วย อาเมน

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 6 เราพบคำว่า จงยกโทษเหมือนพระเยซูยกโทษ

พี่ - น้องที่รักครับ การที่เราอธิษฐานตามอย่างองค์พระเยซูคริสต์เจ้าใน มธ. 6:12ว่า ขอทรงโปรดยกโทษข้าพระองค์ เหมือนดังที่ข้าพระองค์ยกโทษคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น ดูเป็นเรื่องง่าย แต่แท้ที่จริงแล้วภายในเราต่อสู้มากไหมครับ ? ต่อสู้มาก

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก คริสเตียนบางคนจึงต้องใช้เวลานานพอสมควรในการที่จะให้อภัยแก่ผู้อื่น ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ถูกต้องนะครับที่เราทำอย่างนั้น เพราะอะไร

เพราะทุกครั้งที่เราอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงยกโทษให้แก่เรา แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับการยกโทษนั้น ถ้าเรายังไม่ยกโทษให้แก่คนอื่น เพราะฉะนั้นเราไม่เพียงแต่จะเรียนรู้การได้รับยกโทษจากพระเยซูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เราจะต้องเรียนรู้ในการที่จะให้อภัยแก่ผู้อื่นด้วยเช่นกัน

และเมื่อผมแบ่งปันมาถึงตรงนี้ ผมก็เชื่อว่าพี่ - น้องหลายคนคงจะคิดถึงคำถามที่เปโตรถามพระเยซูว่า แล้วเขาจะต้องยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อเขากี่ครั้ง 7 ครั้งพอหรือไม่

ซึ่งพระเยซูทรงตอบว่า 7 * 70 แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า พระเยซูต้องการที่จะให้เรานั้นให้อภัยผู้อื่นเป็นจำนวนทั้งสิ้น 490 ครั้ง ( ไม่ใช่ )

คำตอบที่แท้จริง ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าต้องการที่จะสื่อกับเรา ในมิติของฝ่ายวิญญาณนั่นก็คือ ให้เรานั้นให้อภัยแก่ศัตรูของเราอย่างไม่มีขีดจำกัด

อย่างไรก็ตามเบื้องหลังของคำถาม ที่เปโตรถามพระเยซูนั้นก็เพราะว่า อาจารย์หรือพวกรับบีของชาวยิวนั้นสอนว่า การให้อภัยคน 3 ครั้ง ก็ถือว่ามากพอต่อวัฒนธรรมของชาวยิวแล้ว ถ้ายกโทษให้ได้ถึง 7 ครั้งก็ถือว่ามากเกินพอ

แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่สนใจคณิตศาสตร์ของพวกชาวยิว และพระองค์ก็ไม่ได้สนใจในคณิตศาสตร์ของเปโตรด้วยเช่นกัน พระเยซูทรงสอนว่าเราต้องเต็มใจที่จะยกโทษให้แก่คนที่ทำผิดต่อเราโดยไม่มีขีดจำกัด เพราะฉะนั้นนี่เป็นอาภรณ์อีกชิ้นหนึ่งที่เราจะต้องสวมใส่เอาไว้ในชีวิตของเราด้วยเช่นกัน

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 7อยู่ในข้อที่ 14 ให้เราอ่านพร้อมๆ กันด้วยเสียงที่ดัง เชิญครับ

พี่ - น้องที่รักครับ คนเอเซียในสมัยก่อนนั้นมักจะคาดเสื้อผ้าอาภรณ์ของตัวเองด้วยสายรัดอะไรบางอย่างแต่ในปัจจุบันนี้เราใช้อะไรรัดหรือรั้งระหว่างเสื้อกับกางเกงครับ ? เข็มขัด

เพื่ออะไรครับ ? เพื่อให้เกิดความสะดวก เพื่อให้เกิดความกระชับ เพื่อให้เกิดคล่องตัวในการทำงาน อ.เปาโล เขียนพระคำของพระเจ้าในตอนนี้โดยที่ท่านเองก็มีภาพนี้อยู่ในความคิดของท่านด้วย

เพราะฉะนั้นอาภรณ์ในฝ่ายจิตวิญญาณของเราก็เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รัก ที่เราจำเป็นจะต้องมีสายรัดบางสิ่ง บางอย่าง เพื่อให้มันเกิดความกระชับในฝ่ายวิญญาณมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างเช่น ถ้าพี่ - น้องมีอาภรณ์แห่งใจเมตตาพี่ - น้องก็อาจจะน้ำตาไหลได้เมื่อพี่ - น้องฟังเขาแบ่งปันชีวิต แต่ถ้าพี่ - น้องมีอาภรณ์แห่งความรักนี้ด้วยมันก็จะแปรจากความรู้สึกเป็นการหยิบยื่น เป็นการช่วยเหลือ

ตัวอย่างเช่น ถ้าพี่ - น้องมีอาภรณ์แห่งใจปราณี พี่ - น้องก็อาจจะรู้สึกอยากที่จะช่วยเขา เพราะเขาเป็นญาติพี่ - น้องของเราหรือเป็นพวกของเรา แต่ถ้าพี่ - น้องมีความรัก ความรักจะทำให้เรานั้นปราณีคนได้ทั้งหมด ไม่จำกัดอยู่เฉพาะว่าคนนี้เป็นญาติของเรา หรือคนนี้เป็นพวกของเรา

เพราะฉะนั้นถ้าพี่ - น้องมีอาภรณ์ชนิดอื่นๆ แต่ถ้าพี่ - น้องไม่มีอาภรณ์ชนิดนี้มันมีประโยชน์อะไรไหมครับ ? ด้วยเหตุนี้พระวจนะคำของพระเจ้าใน 1 คร.13:13 จึงบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุด

ซึ่งนั่นหมายความว่า ความรักจะทำให้อาภรณ์ชนิดอื่นๆนั้น มีความกระชับตามไปด้วย

ซึ่งนั่นหมายความว่า ความรักจะทำให้ชีวิตคริสเตียนของเรานั้น ไปถึงความสมบูรณ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

                ประการที่ 8 อยู่ในข้อที่ 15

                พี่ - น้องที่รักครับ การแข่งขันกีฬาเทนนิสนั้นเมื่อกรรมการข้างสนามกางมือออกทั้ง 2 ข้างอย่างนี้หรือกรรมการกลางขานคำว่า OUT นั่นหมายความว่าอะไรครับ ? ซึ่งเป็นการชี้ขาดนั่นเอง

ท่าน อ.เปาโล ใช้ภาพของการแข่งขันกีฬาในสนามที่มีผู้ตัดสิน เป็นผู้ประกาศผลการตัดสิน ซึ่งถือว่าเป็นการชี้ขาดครั้งสุดท้าย มาเขียนพระวจนะคำของพระเจ้าในตอนนี้

                คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า อะไรคือตัวชี้ขาดครั้งสุดท้ายในชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา

คำตอบก็คือ สันติสุขขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า นั้นเป็นอาภรณ์หรือเป็นตัวตัดสินใจหรือเป็นตัวชี้ขาดในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเรา

เพราะฉะนั้นไม่ว่าพี่ - น้องจะมีปัญหาอะไรก็ตาม ขอให้พี่ - น้องได้คุกเข่าอธิษฐานกับพระเจ้าในทุกๆครั้ง แล้วแสวงหาสันติสุขที่มาจากเบื้องบน

คำถามคือว่า ทำไมเราต้องทำแบบนี้ ? ไม่ทำแบบนี้จะได้ไหม ? ได้ ไม่มีปัญหา

พี่ - น้องจะทำแบบไหนก็ได้ แล้วพระเจ้าก็ไม่ว่าอะไรแก่พี่ - น้องด้วย แต่คนที่จะชีช้ำกะหล่ำปีนั่นคือใคร ? คือตัวพี่ - น้องเองนั่นแหละที่นำหน้าพระเจ้า

เพราะฉะนั้นถ้าพี่ - น้องไม่อยากที่จะชีช้ำกะหล่ำปีในภายหลัง พี่ - น้องก็จะต้องคุกเข่าและอธิษฐานกับพระเจ้าและแสวงหาสันติสุขที่มาจากเบื้องบน

พี่ - น้องที่รักครับ ในพระวจนะคำของพระเจ้าในข้อนี้นั้น มีคำหนึ่งที่น่าสนใจมากนั่นก็คือ คำว่า ครอง ซึ่งนั่นหมายความว่า ให้สันติสุขของพระคริสต์หรืออาภรณ์ของพระเจ้าชิ้นนี้ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินในปัญหาที่พี่ - น้องมีหรือสิ่งที่พี่ - น้องกำลังคิดจะทำ

พี่ - น้องยังจำเรื่องของ คุณหญิง จารุวรรณ เมณฑกา ที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้ใช่ไหมครับว่า คุณหญิง จารุวรรณนั้น เคยถูกอดีตนายกท่านหนึ่งเรียกเข้าไปพบที่บ้านพิษณุโลก

สุดท้ายท่านได้เข้าไปพบไหมครับ ท่านได้อธิษฐานกับพระเจ้าแล้วท่านขาดสันติสุขอย่างแรง ท่านจึงไม่ได้เข้าไปพบอย่างที่ได้ตกลงกันเอาไว้ ซึ่งก็เป็นผลดีสำหรับตัวของท่านเองจนถึงทุกวันนี้

                ในที่นี้ ถ้ามีพี่ - น้องคนไหนกำลังที่จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วถ้าเกิดว่าพี่ - น้องไม่มีสันติสุขขึ้นมาภายในจิตใจของเราแล้ว ผมหวังว่าพี่ - น้องคงจะพอรู้นะครับว่าผู้ตัดสินใจสูงสุดในชีวิตของเรานั้นกำลังจะบอกอะไรแก่เรา

                ในขณะเดียวกันอาภรณ์ชนิดนี้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องส่วนตัวแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายถึงเรื่องภายในครอบครัว หมายถึงเรื่องภายในคริสตจักร หมายถึงเรื่องที่เป็นส่วนรวมด้วย

                ตัวอย่างเช่น การย้ายคริสตจักรจากที่เก่ามาสู่ที่ใหม่ ถ้าผมมีสันติสุขอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่พี่ - น้องไม่ได้มีสันติสุขด้วยอย่างนี้ถือว่ามีสันติสุขไหมครับ ?

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เราต่างเป็นพระกายเดียวกันเพราะฉะนั้นสันติสุขนี้จะต้องมีความเป็นเอกภาพ และถ้าเรามีความเป็นเอกภาพ พระเจ้าถือว่านี่เป็นสังคมที่อยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า

เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ก็ให้สันติสุขของพระเจ้าที่ให้กับท่านเป็นการส่วนตัวนั้นเป็นตัวตัดสิน แต่ถ้าเป็นเรื่องของครอบครัวก็ให้สันติสุขที่พระเจ้าให้กับครอบครัวนั้นเป็นตัวตัดสิน แต่ถ้าเป็นเรื่องของคริสตจักรก็ให้สันติสุขที่พระเจ้าให้กับพี่น้องนั้นเป็นตัวตัดสิน

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 9เราพบคำว่า จงร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญด้วยใจโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า

หลายปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปนมัสการพระเจ้าร่วมกับพี่ - น้องของเราซึ่งเป็นคนผิวดำนะครับ ซึ่งตอนแรกผมก็รู้สึกตกใจมาก เหตุเพราะพอพวกเขาเข้ามาในห้องนมัสการได้เท่านั้นแหละพี่น้องเอ้ย เขาเต้นกระจาย ซึ่งเป็นการแสดงออกในการนมัสการสรรเสริญพระเจ้าอย่างหนึ่ง

แต่ อ.เปาโล สอนเราว่า การที่เราจะนมัสการสรรเสริญพระเจ้าได้ดีนั้น มันไม่ได้อยู่ที่เราเคลื่อนไหวร่างกายไปตามจังหวะของดนตรีนั้น แต่มันอยู่ที่ว่าเรานั้นมีพระคำของพระเจ้าฝังแน่นอยู่ในชีวิตของเรามากน้อยแค่ไหน

อ.เปาโล สอนเราอย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า พระคำของพระเจ้าที่มีอยู่ในชีวิตของเรานั่นแหละ จะส่งความหมายลงไปที่ในจิตใจของผู้ร้อง ซึ่งจะนำไปสู่การถวายเกียรติแด่พระเจ้าในเวลาต่อมา

ซึ่งนั่นหมายความว่า การร้องเพลงนมัสการของเราจะต้องมีความหมายต่อตัวเราเสียก่อน ก่อนที่จะไปมีผลต่อพระเจ้าหรือต่อคนอื่น อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า คนที่มีจิตใจห่างจากพระเจ้า จะร้องเพลงถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้ยาก

                ดังนั้นพี่ - น้องจะต้องเข้าใจอาภรณ์ชิ้นนี้หรือพี่ - น้องจะต้องเข้าในเรื่องการนมัสการนี้กันให้ดีๆ มิเช่นนั้นมันจะเป็นการกระทำๆไปโดยไร้ประโยชน์

ผมขออนุญาตที่จะสรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ด้วยวลี 3 ตอนคือ

ขอให้สันติสุขของพระคริสต์ครอบครองใจเรา

ขอให้พระคำของพระเจ้าดำรงอยู่ในตัวเรา และขอให้พระนามของพระคริสต์ครอบคุมชีวิตของเรานับแต่นี้ไป ขอพระเจ้าอำนวยพระพร

Green City