อันดรูว์อัครทูตผู้มีเสน่ห์ในการนำวิญญาณ

คำเทศนา อ.ก้องภพ                                                                                                                           

26 / 8 / 12

๑๑๑๑๑๑๑๑๑      ๑๑๑๑๑๑๑๑๑

คำเทศนาเรื่อง อันดรูว์อัครทูตผู้มีเสน่ห์ในการนำวิญญาณ

     

สวัสดีครับพี่ - น้องที่รัก ในเช้าวันนี้ก่อนที่ผมจะแบ่งปันพระวจนะคำของพระเจ้าให้กับพี่ - น้องได้รับฟังกันนั้น ผมเคยบอกกับพี่ - น้องว่าผมจะพยายามที่จะแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของสาวก ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้กับพี่ - น้องได้รับฟังกันครบทั้ง 12 คน พี่ - น้องยังพอจำกันได้ไหมครับ ? ถ้าพี่ - น้องยังพอจำกันได้

คำถามของผมก็คือว่า มีพี่ - น้องที่นี่กี่คนครับ ที่ยังพอจำกันได้ว่าผมได้แบ่งปันชีวิตสาวกของพระเยซูคริสต์ไปแล้วกี่คน ? คำตอบคือ 6 คนประกอบไปด้วยเรื่องราวของยอห์น เปโตร ยากอบ มัทธิว ฟิลิปและยูดาสอิสคาริโอท

ดังนั้นในเช้าวันนี้ ผมจะแบ่งปันชีวิตสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกคนหนึ่งเป็นคนที่ 7 ให้กับพี่ - น้องได้รับฟังกัน เพื่อที่พี่ - น้องจะได้รู้จักสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนนี้มากขึ้น

โดยผมจะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรม ยน.1 :35 - 42 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่พระคำของพระเจ้าใน ยน.1 : 35 - 42 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “อันดรูว์อัครทูตผู้มีเสน่ห์ในการนำวิญญาณ” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อพี่ - น้องจะต้องตกเป็นที่ 2 รองใคร เช่น

การที่เราสอบได้ที่ 2 ซึ่งพี่ - น้องทราบไหมครับว่า บางคนคะแนนที่เขาสอบได้ที 2 นั้นห่างจากคนที่ได้ที่ 1 เพียงไม่กี่คะแนน พี่ - น้องคิดว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรครับ ?

หรือเมื่อพี่ - น้องจะต้องตกเป็นที่ 2 รองใคร เช่น ตำแหน่งหน้าที่การงานที่พี่ - น้องจะต้องดูแลหรือรับผิดชอบอยู่ในเวลานี้นั้น ก็มักจะต้องตกอยู่ภายใต้ใครคนหนึ่งอยู่เสมอๆ

คำถามของผมก็คือว่า ถ้าพี่ - น้องจะต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ พี่ - น้องรู้สึกอย่างไรครับ ? บางคนอาจจะตอบว่ารู้สึก

1) ปลง 2) ท้อใจ 3 ) ลำบากใจ เพราะว่าเราอยู่มานานกว่าเขา แต่เขากับได้ดีกว่าเรา 4) รับไม่ได้ เพราะเรามีความอาวุโสมากกว่าเขา และคนนั้นเขาก็เด็กกว่าเรา เราจึงไม่สามารถที่จะรับหัวหน้าที่เด็กกว่าได้ด้วยความเต็มใจ และสุดท้ายคนที่จะต้องตกเป็นที่ 2 รองใครบางคน อาจจะตอบคำถามนี้ในลักษณะที่เชิงประชดประชันตัวเองในทำนองที่ว่า ใช่สิพ่อแม่ฉันเป็นคนฐานไม่ดีบารมีไม่สูง เกิดมาไม่ได้มีนามสกุล ณ.อยุธยา ติดตัวมาด้วยนิ เป็นต้น

พี่ - น้องที่รักครับ ไม่ว่าคนที่จะต้องตกอยู่ในสภาพเป็นที่ 2 รองใครจะตอบคำถามนี้อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวผมคิดว่าความรู้สึกของคนที่จะต้องตกเป็นรองหรือเป็นที่ 2 เช่น การเป็นนักไวโอลินมือ 2

เช่น การเป็นนักบินหรือกัปตันมือ 2 เช่น การเป็นผู้ช่วยศิษยาภิบาล   เช่น การเป็นรองหรือผู้ช่วยผู้จัดการ เช่น นายช่างโยธาระดับ 2 เป็นต้น

ผมคิดว่าคนเหล่านี้ เขาน่าจะอยู่ในความรู้สึกที่มีความกระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย ที่เขานั้นจะต้องคอยเชื่อฟังและทำตามศิษยาภิบาลตัวจริงหรือนักบินมือ 1 และหรือนักไวโอลีนมือ 1 นายช่างโยธามือ 1 เป็นต้น

ความกระอักกระอ่วนใจนี้มาจากไหนครับพี่ - น้อง ? ความกระอักกระอ่วนใจนี้มาจากการที่เขานั้น ใกล้จะถึงความสำเร็จแล้วหรือเกือบที่จะเป็นเบอร์หนึ่งแล้วและหรือใกล้จะเป็นตัวจริงแล้ว.......แต่ก็ยังเป็นไม่ได้สักที

และการปฎิบัติหน้าที่ในสถานภาพอย่างนี้หล่ะครับพี่ - น้องที่รัก ที่ดูจะเป็นเรื่องที่ยาก จึงก่อให้เกิดความกระอักกระอ่วนใจ ด้วยเหตุนี้คนทำงานหลายคนจึงแสวงหาทางออกด้วยการลาออกจากงาน

                จากพระวจนะของพระเจ้าใน ยน.1 :35 - 42 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบว่าอันดรูว์นั้นเป็นอัครทูตที่พอใจในสภาพของตน

                พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนนะครับว่า อันดรูว์นั้นเขาได้มีโอกาสพบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก่อนพี่ชายของเขา

คำถามของผมก็คือว่า พี่ชายของอันดรูว์คือใครครับ คือซีโมนเปโตร มีพี่ - น้องคนไหนอ่านผิดแปลกแตกต่างไปจากนี้มีไหมครับ ?

แต่ภายหลังจากที่อันดรูว์ ได้พาซีโมนเปโตรไปพบกับพระเมสสิยาห์หรือที่เรียกว่าพระคริสต์แล้ว ชีวิตของอันดรูว์นั้นเขาดูเหมือนจะถูกรัศมีของพี่ชายบดบังเสียสิ้น ซึ่งถ้าพี่ - น้องได้อ่านในพระกิตติคุณของพระเจ้าทั้ง 4 เล่ม อย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณาให้ดีๆ พี่ - น้องก็จะพบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

พี่ - น้องที่รักครับ ภายหลังจากอันดรูว์ที่ได้พาพี่ชายของเขานั้นมาพบกับพระเมสสิยาห์หรือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว ซีโมนเปโตรนั้นดูจะมีชื่อเสียงมากกว่าเขา อีกทั้งชื่อของเขาในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็มักจะเรียกเขาว่า อันดรูว์น้องชายซีโมน อันดรูว์จึงเป็นอัครทูตที่เป็นรองจากซีโมนเปโตรตลอดกาล

อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ เราก็ไม่พบว่าอันดรูว์คนนี้นั้นเขามีความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนใจกับการเป็นที่ 2 รองจากเปโตรแต่อย่างใด

ในทางตรงกันข้ามเรากับพบว่า อันดรูว์นั้นเขากับมีความเต็มใจที่จะดำรงชีวิตอยู่ภายใต้ร่มเงาของชื่อเสียงของพี่ชายที่เขานั้นได้เป็นผู้นำมารู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่สำคัญอันดรูว์เขาเต็มใจที่จะรักษาสถานภาพนี้เอาไว้ตลอดชีวิตของเขาด้วยความถ่อมใจ

ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่าอันดรูว์นั้น 1 ) เขามีความพึงพอใจในสภาพของตน 2 ) เขาคิดถึงพระราชกิจหรือแผ่นดินของพระเจ้าและหรืองานรับใช้มากกว่าเกียรติยศหรือชื่อเสียงที่เขาควรจะได้รับ

อาจจะกล่าวอักนัยหนึ่งก็ได้ว่า อันดรูว์นั้นเขาเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้รับใช้ที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อสนับสนุนให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งในที่นี้นั่นก็คือ ซีโมนเปโตรพี่ชายของเขานั้น ได้ทำงานได้อย่างเต็มที่หรือได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและหรือได้ทำงานอย่างเต็มสรรพกำลัง

ซึ่งในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ก็ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยนะครับว่า (กจ.2 : 41) เปโตรเทศนาครั้งแรกนั้นมีคนรับเชื่อถึง 3000 คน และในครั้งที่ 2 ที่เปโตรเทศนา(กจ.4:4) นั้นก็มีคนมารับเชื่อถึง 5000 คน

และนี่คือแบบอย่างที่ดีของผู้รับใช้ที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อสนับสนุนให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่อยู่เบื้องหน้า ได้ทำงานได้อย่างเต็มที่หรือได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและหรือได้ทำงานได้อย่างเต็มสรรพกำลัง

และคนเช่นอันดรูว์นี้แหละครับพี่ - น้องที่รัก ที่พระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเวลานี้ต้องการ รวมทั้งโลกใบนี้ด้วยพี่ - น้องที่รัก เพราะถ้าไม่มีคนเช่นนี้ ผู้นำก็ไม่สามารถที่จะทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและหรือทำงานได้อย่างเต็มสรรพกำลัง

ขอวิญญาณจิตของอันดรูว์น้องชายซีโมนเปโตรในตอนนี้ ดำรงอยู่ท่ามกลางพี่ - น้องคริสเตียนไทยและดำรงอยู่ท่ามกลางพี่ - น้องคริสตจักรใจสมานสมุทรสงครามด้วยเช่นกัน

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านรวมกันเราพบอะไร ?

ประการที่2 เราพบว่าอันดรูว์เขาเป็นคนที่มีใจกว้างในการเสาะหาความจริง

                จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกัน ทำให้เราทราบว่าอันดรูว์นั้นเขาเป็นศิษย์ของยอห์นผู้ให้บัพติสมา ซึ่งยอห์นผู้ให้บัพติสมาในเวลานั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เตรียมมรรคาของพระเจ้า

ถามว่ายอห์นบัพติสมาสำคัญมากไหม ? คำตอบก็คือ สำคัญมากเขาเป็นนักเทศน์ที่หลายคนรู้จักและมีผู้คนมากมายติดตามเขา

แต่ต่อมาในภายหลัง เมื่ออันดรูว์เขาได้ยินยอห์นผู้ให้บัพติสมา พูดถึง

พระเมษโปดกของพระเจ้าในข้อที่ 36 อันดรูว์กับเพื่อนจึงได้ตัดสินใจที่จะติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้าไป และเมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงทราบว่า

อันดรูว์กับเพื่อนติดตามพระองค์ไป

                องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงตรัสถามอันดรูว์ว่า“ท่านหาอะไร”

อันดรูว์ตรัสตอบพระเยซูว่า “ท่านพักที่ไหน”

พี่ - น้องที่รักครับ นี่เป็นคำสนทนาคำแรกและเป็นการสนทนาครั้งแรกระหว่างองค์พระเยซูคริสต์เจ้ากับอันดรูว์ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงได้ตรัสตอบอันดรูว์ไปว่า “มาดูเถิด”และเขาก็ได้ติดตามพระองค์ไป

คำถามที่สำคัญ ที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะถาม พี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า พี่ - น้องได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสกับพี่ - น้องซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกนะครับเพราะพี่ - น้องอาจจะจำไม่ได้แล้ว แต่เป็นครั้งสุดท้ายหรือครั้งล่าสุดเมื่อไหร่

และพระองค์ทรงตรัสกับพี่ - น้องว่าอย่างไร ? พี่ - น้องยังจำได้ไหมอันนี้เป็นคำถามที่พี่ - น้องไม่ต้องตอบผม แต่ให้พี่ - น้องตอบตัวของพี่ - น้องเอง

พี่ - น้องที่รักครับ การที่อันดรูว์เขาติดตามยอห์นผู้ให้บัพติสมานั้นนั่นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่การที่อันดรูว์เขายอมที่จะผละจากการเป็นสาวกของยอห์นให้ผู้บัพติสมา และมาดำเนินชีวิตติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่น่าคิดนะครับ

ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร แอนดรูว์เขาจะต้องได้พบกับสิ่งที่ดีและมีคุณค่ามากกว่าอย่างแน่นอน เขาถึงกล้าที่จะทำอย่างนั้นได้ ในขณะเดียวกันสิ่งที่อันดรูว์ได้ทำต่อไป นั่นก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน

พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราว่า เมื่ออันดรูว์เขาได้เสาะหาความจริงพบแล้ว สิ่งแรกสุดที่อันดรูว์ได้กระทำ ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน นั่นก็คือ การที่อันดรูว์นั้นเขาไปบอกความจริงนี้ให้กับซีโมนเปโตรพี่ชายของเขาได้รับรู้ด้วย

อันดรูว์ได้บอกกับพี่ชายของเขาว่า “เราได้พบกับพระเมสสิยาห์หรือพระคริสต์แล้ว” ภาษาอังกฤษพูดว่า “We have found him”

พี่ - น้องที่รักครับ คำว่า found คำนี้ตรงกับภาษาต้นฉบับว่า“ยูริสโก้”มาเป็นคำว่า“ยูริก้า” ในภาษากรีก ซึ่งเขาจะใช้คำนี้ก็ต่อเมื่อมีใครก็ตามได้ค้นพบสิ่งของที่มีค่ามาก เช่น พบทองคำ เป็นต้น

เมื่ออันดรูว์เขาได้พบกับพระคริสต์แล้ว อันดรูว์จึงได้บอกกับพี่ชายของเขาว่าเขาได้พบกับพระเมสสิยาห์หรือพระคริสต์แล้ว พระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้เพียงแค่นี้ใช่หรือไม่ครับพี่ - น้อง ? ไม่ใช่

พระคำของพระเจ้ายังได้ตรัสต่อไปอีกด้วยว่า อันดรูว์เขาเป็นคนพาพี่ชายของเขานั้นได้ไปพบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยตัวของเขาเอง

เราขอบพระคุณพระเจ้านะครับพี่ - น้อง ที่ในวันนี้พี่ - น้องและผมต่างได้พบกับความจริงที่ว่า องค์พระเยซูคริสต์นั้นทรงเป็นพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกัน เราอาจจะไม่ได้มีท่าทีอย่างเดียวกันกับอันดรูว์ในตอนนี้ นั่นก็คือ ได้กลับไปบอกกับใครต่อใครว่า เราได้พบกับความจริงที่ว่านี้แล้ว และความจริงที่ว่านี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งที่สุดในชีวิตของมนุษย์ทุกๆคน

สิ่งที่ผมอยากจะแบ่งปันกับพี่ - น้องเพิ่มเติมนั่นก็คือว่า แท้ที่จริงแล้วผมพบว่ามีพี่ - น้องคริสเตียนในประเทศไทยหลายต่อหลายคน ที่ในฝ่ายกายภาพของเขานั้นอาจจะดูไม่ได้ร่ำรวยอะไร พื้นฐานทางการศึกษาก็ไม่ได้มากมีมายอะไร

แต่เมื่อเราได้มองเข้าไปในอีกมิติหนึ่งนั่นก็คือมิติของฝ่ายจิตวิญญาณ เราก็พบว่าเขาเป็นคนที่นำ Non Christian หรือคนที่ยังไม่ได้รู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามาพบกับความรอดอย่างมากมาย

ด้วยเหตุนี้พี่ - น้องที่รักครับ ผมจึงขอหนุนใจพี่ - น้องใจสมานสมุทรสงครามทุกๆท่านในเช้าวันนี้ว่า ให้เรานั้นได้มีวิญญาณจิตเช่นเดียวกับอันดรูว์สาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าในตอนนี้นั่นก็คือนำคนมารู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นการส่วนตัวด้วย

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านรวมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 เราพบว่าอันดรูว์เป็นคนที่มีเสน่ห์ในการนำวิญญาณ

                พระคำของพระเจ้าใน ยน. 1 : 41 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เมื่ออันดรูว์เขาได้พบกับพระมาซีฮาแล้ว อันดรูว์เขาได้ไปหาพี่ชายของเขาก่อน ซึ่งคำว่าก่อนคำนี้มี 2 ความหมายด้วยกัน

                ความหมายแรก นั่นก็คือ อันดรูว์เป็นอัครทูตคนแรกที่ได้นำคนแรกนั่นก็คือซีโมนเปโตรมาถึงพระมาซีฮา

                ความหมายที่ 2 นั่นก็คือ อันดรูว์เป็นอัครทูตคนแรกที่มักจะประกาศหรือเป็นพยานและหรือชอบที่จะนำคนมาถึงองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอยู่เสมอๆ ซึ่งถ้าพี่ - น้องได้อ่านในพระกิตติคุณของพระเจ้าทั้ง 4 เล่มอย่างกลั่นกรองใคร่ครวญและพิจารณาให้ดีๆ

พี่ - น้องก็จะพบว่า อันดรูว์นั้นเขาได้นำซีโมนเปโตรพี่ชายของเขามาพบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ซึ่งพระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ใน ยน.1 อีกทั้งอันดรูว์เขาได้นำเด็กคนหนึ่ง ที่มีขนมปังข้าวบาร์เลย์ 5 ก้อนกับปลาเล็กๆ2 ตัวมาหาพระเยซูใน ยน. 6 และ ใน ยน.12 ทำให้เราทราบว่าอันดรูว์เขาได้พาชาวกรีกบางคนไปพบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

อาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าเราอ่านคำว่าอันดรูว์เจอในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ตอนไหน อาจจะทำให้เราคิดได้ว่าน่าจะมี 1 คนได้รับความรอดตอนนั้น

และด้วยท่าทีของอันดรูว์ ตามที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้นทำให้เราทราบว่าอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนนี้ เขารักในการที่จะประกาศหรือการเป็นพยาน อาจจะกล่าวได้ว่า ทัศนคติของอันดรูว์นั้นเขาเห็นว่า การประกาศแผ่นดินของพระเป็นเจ้านั้น เป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วพันธกิจต่างๆของพระเป็นเจ้านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่สำคัญทั้งสิ้นพี่ - น้องที่รักครับ แต่พันธกิจในการประกาศ , การเป็นพยาน ถือได้ว่าเป็นหัวใจของการทำพันธกิจทั้งมวล

หัวใจสำคัญไหมครับพี่ - น้อง ? ถ้าหยุดเต้นถึงตาย ค่ารักษาพยาบาลแพงไหมครับ ? ลิ่มเลือดอุดตันที่หัวใจนี่ค่าใช้จ่ายเป็น 100,000 เลยนะครับ และอันดรูว์เขาเลือกที่จะทำพันธกิจที่สำคัญนี้โดยการเป็นพยานโดยส่วนตัวไม่ใช่ประกาศหรือเป็นพยานโดยส่วนรวม

                ซึ่งในเดือนหน้าพี่ - น้องที่รัก ประเทศไทยของเรานั้น จะมีโอกาสต้อนรับผู้รับใช้ของพระเจ้าระดับโลกถึง 2 ท่านด้วยกัน ซึ่งเขาจะเดินทางมาในประเทศไทยของเราเพื่อประกาศเป็นพยานซึ่งก็เป็นสิ่งที่สำคัญ

แต่สิ่งนั้นจะมาทดแทนการประกาศหรือการเป็นพยาน โดยส่วนตัวของพี่ - น้องหรือของผมไม่ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่พวกเราจะต้องเข้าใจให้ตรงกันและก็เป็นสิ่งที่ผมอยากจะย้ำกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้

อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รัก ผู้ที่จะประกาศหรือเป็นพยานโดยส่วนตัวได้ดีนั้น เขาก็จะต้องมีคุณลักษณะพิเศษหรือมีเสน่ห์อะไรบางอย่าง ถึงจะดึงคนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าให้มารู้จักกับพระเจ้าได้ และคนที่เสน่ห์หรือมีคุณลักษณะพิเศษนี้ ต่างก็เป็นที่ต้องการของคนในทุกๆสาขาอาชีพพี่ - น้องว่าจริงไหม ? รวมทั้งในงานของพระเป็นเจ้าด้วย

และคุณลักษณะพิเศษหรือเสน่ห์อะไรบางอย่าง ที่ผมกล่าวถึงนี้นั่นก็คือชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของผู้เชื่อคนนั้นนั่นเอง เมื่อกล่าวพระคำของพระเจ้ามาถึงตรงนี้ทำให้ผมคิดถึง สุภาษิตกรีกตอนหนึ่งซึ่งได้กล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจ เขาได้กล่าวเอาไว้อย่างนี้ครับว่า “ผู้ที่ถือใต้ย่อมเป็นผู้ส่งผ่านความสว่างต่อไปได้”

พี่ - น้องที่รักครับ อันดรูว์เมื่อเขาได้พบกับความสว่างและเมื่อเขาได้มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว เขาจึงเป็นผู้ที่สามารถส่งผ่านความสว่างไปสู่คนอื่นได้

อาจจะกล่าวได้ว่า อัครทูตอันดรูว์นั้นเขานำคนจำนวนมากหลายมาถึงความรอดในองค์พระเยซูคริสตเจ้าได้ โดยการที่อันดรูว์เขานำทีละ ทีละคนมาหาพระเยซู ( ไม่ใช่นำคนมาหาพระเยซูแบบทีละหน่อย ทีละหน่อย เหมือนกับพวกเราในเวลานี้นะครับพี่ - น้อง ) และในเช้าวันนี้พระวจนะคำของพระเจ้าต้องการที่จะถามพี่ - น้องว่า วันนี้ท่านได้พบกับความสว่างโดยการมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงใหม่แล้วหรือยัง

ถ้าพี่ - น้องตอบว่า พี่ - น้องได้พบกับ 1 ) ความสว่างแล้ว 2 ) องค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว แต่พี่ - น้องยังมีชีวิตที่เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ผมคิดว่าต่อให้พี่ - น้องมีชื่อจริงว่า เสน่ห์ นามสกุล หอมสนิท ผมก็คิดว่าชีวิตของพี่ - น้องก็ยังขาดเสน่ห์ในการที่จะนำคนมาถึงแผ่นดินของพระเจ้าอยู่ดี

ดังนั้นขอพระเจ้าช่วยเรา ซึ่งพระเจ้าช่วยเราอย่างแน่นอน แต่พี่ - น้องก็จะต้องช่วยตัวเองด้วยนะครับ ในการที่พี่ - น้องจะมีความพรั่งพร้อมในการที่จะรับการเปลี่ยนแปลงใหม่นี้อย่างแท้จริงแล้วพี่ - น้องจะกลายเป็นคนที่มีเสน่ห์ในการนำดวงวิญญาณ เหมือนกับอันดรูว์สาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนนี้

ในขณะเดียวกัน ผมก็อยากให้พี่ - น้องลองช่วยผมพิจารณาดูทีนะครับว่า ถ้าคริสตจักรฯของพระเจ้าในประเทศไทย ในแต่ละที่ ในแต่ละแห่ง ต่างมีคนที่นำดวงวิญญาณที่มีคุณลักษณะ ที่มีเสน่ห์อย่างอันดรูว์เป็นจำนวนมาก คำถามของผมก็คือว่า คริสตจักรฯ นั้นๆจะอยู่ในสภาวะเช่นใดพี่ - น้องลองนึกภาพดูสิครับ

และในคำถามที่กลับกัน คำถามของผมก็คือว่า แล้วในเวลานี้เรามีอันดรูว์ที่มีคุณลักษณะที่มีเสน่ห์ในการนำดวงวิญญาณนี้ อยู่ในคริสตจักรของพระเป็นเจ้าในประเทศรวมทั้งมีอยู่ในคริสตจักรแห่งนี้กี่คน ? น้อยหรือมาก (น้อย : ภาพมันจึงออกมาอย่างนี้ไง)

พี่ - น้องที่รักครับ โดยส่วนตัวผมมีความเชื่ออย่างนี้นะครับว่าถ้าคริสตจักรใดก็ตามในโลกใบนี้มีพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักร ที่มีวิญญาณจิตอย่างอันดรูว์นี้มากๆ ซึ่งเป็นวิญญาณจิตที่ดีนะครับพี่ - น้อง ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าคริสตจักรนั้นๆจะเติบโตอย่างแบบเบรกไม่อยู่อย่างแน่นอน Ex. เช่น คริสตจักรความหวังกรุงเทพเมื่อในอดีตที่ผ่านมา เป็นต้น

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 4 เราพบว่าอันดรูว์เขาเป็นมิชชันนารีคนแรก ที่ทำงานกับคนชาติเดียวกันได้อย่างเกิดผล

พี่ - น้องที่รักครับ เมื่ออันดรูว์เขาได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว อันดรูว์เขาเริ่มประกาศ เขาเริ่มเป็นพยานกับบุคคลในครอบครัวของเขาก่อน ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Frist ซึ่งหมายถึง เป็นสิ่งแรก , เป็นอันดับแรก

และอันดรูว์เขาประสบกับความสำเร็จไหมครับพี่ - น้อง ? พระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พี่ชายของอันดรูว์คือซีโมนเปโตรนั้นได้ตัดสินใจที่จะติดตามพระเมสสิยาห์หรือพระคริสต์

ซึ่งนั่นหมายความว่า อันดรูว์เขาประสบความสำเร็จในการเป็นมิชชันนารีในครอบครัวของเขา ซึ่งดูแล้วง่ายไหมครับพี่ - น้อง ? ง่ายมาก

เหตุเพราะสังคมของชาวยิวในเวลานั้น ทุกๆคนต่างรอคอยพระเมสสิยาห์ด้วยกันทั้งสิ้น หรือต่างต้องการที่จะรู้ว่าใครคือพระมาซีฮา ดังนั้นถ้าการพบพระเยซูของบุคคลในครอบครัว จะเป็นเหตุทำให้บุคคลในครอบครัวได้รับประโยชน์จึงเป็นเรื่องง่าย

ในทางตรงกันข้าม ความคิดของพี่ - น้องเกี่ยวกับการที่เราจะไปประกาศหรือเป็นพยานส่วนตัว กับบุคคลในครอบครัวนี้เป็นไงครับ ถือว่าเป็นเรื่องง่ายเหมือนกับอันดรูว์ไหมครับ ? เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุด ถึงแม้ว่าเราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ - น้องภายในครอบครัวของเราขนาดไหนก็ตามแต่ พี่ - น้องว่าจริงหรือไม่จริง ?

                เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ในสังคมไทยของเรานั้น มันมีการสอนที่ผิดอยู่เยอะมาก เช่นถ้าตาของพี่ - น้องกระตุก เขาก็จะบอกว่าขวาซ้ายร้ายดี อันนี้เป็นความเข้าที่ไม่ถูกต้อง ในเรื่องของศาสนาก็เช่นเดียวกัน เมื่อบุคคลในครอบครัวของเรานั้นเห็นว่า เราได้มาเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือมาเป็นคริสเตียน บุคคลคนในครอบครัวก็รู้สึกว่า เรานั้นมานับถือศาสนาของพวกฝรั่ง

ด้วยเหตุนี้แหละครับพี่ - น้องที่รักบุคคลในครอบครัวของเราเขาจึงรู้สึกสูญเสีย และยิ่งเมื่อพี่ - น้องยืนยันในความเชื่อที่เรามีต่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างหนักแน่นมั่นคงด้วยแล้ว ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวนี้จึงถูกกระทบกระเทือนไปอย่างสิ้นเชิง

ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว “คริสต์” นั้นไม่ใช่ศาสนา ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ศาสนาของฝรั่งแต่อย่างใด แต่ “คริสต์” โดยความหมายที่ถูกต้องแล้ว คือ พวกที่ติดตามพระเจ้าหรือพระเยซู นี่คือสิ่งที่พี่ - น้องจะต้องเข้าใจนะครับ

แต่พอเราไปทำบัตรประจำตัวประชาชนที่เขตหรือที่อำเภอ เจ้าหน้าที่เขาก็มักจะถามพวกเราว่า คุณนับถือศาสนาอะไร ? เราจะไปตอบกับเขาได้ไหมละครับว่า ? เราคือผู้ที่ติดตามพระเจ้า เราก็ตอบอย่างนั้นไม่ได้

สมมตินะครับว่า ถ้าเราตอบอย่างนั้น เขาก็จะต้องถามเราต่อไปอีกว่าแล้วพระเจ้าของคุณคือใคร ? เราก็จะต้องตอบว่า เรานับถือพระเยซูเจ้าหน้าที่ทางราชการเขาก็จะบอกว่า อ๋อ นับถือศาสนาคริสต์

ซึ่งเราจะค้านกับเขาอย่างนี้ได้ไหมครับว่า ? ไม่ใช่ “คริสต์” ไม่ใช่ศาสนา ถ้าเราไปค้านกับเขาอย่างนี้ นั่นก็เท่ากับว่า เรากำลังจะไปขัดแย้งกับเขาอีก ดังนั้นเราก็เลยต้องละเอาไว้ในฐานที่เข้าใจเป็นการส่วนตัว

กลับมาที่พระคำของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง พระคำของพระเจ้าสอนเราเอาไว้อย่างไรครับ ? ให้เราประกาศโดยเริ่มต้นจากเยรูซาเล็มหรือบ้านของชาวยิวก่อน ต่อไปจึงไปที่ยูเดียซึ่งคือเพื่อนบ้านของพวกเขา ต่อไปที่พระคำของพระเจ้าสอยเราคือไปที่ไหนต่อครับ ? ชาวสะมาเรียซึ่งเป็นคนที่พวกเขาไม่ค่อยจะชอบ และสุดท้ายที่พระคำของพระเจ้าสอนเรานั่นก็คือ จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก ซึ่งผู้เชื่อหลายคนทำได้ดีมากใน Concept นี้

แต่พอถึงคราวที่เขาจะต้องประกาศหรือเป็นพยานกับบุคคลคนภายในครอบครัวของเขาแล้ว หลายคนเขาเกิดอาการจุกอก บางคนเกิดอาการลิ้นคับปาก คือ พูดไม่ออกหรือไม่ก็ต้องขอให้คนอื่นช่วยมาพูดแทน พี่ - น้องเป็นอย่างนั้นด้วยไหมครับ ? ผมก็เป็นคนหนึ่งด้วยเหมือนกันพี่ - น้องที่รักที่เป็นอย่างนั้น แต่อันดรูว์ไม่ใช่คนนั้น ขอพระเจ้าช่วยพี่ - น้องและผมที่เราจะไม่ใช่คนนั้นเหมือนกับอันดรูว์

                และด้วยท่าทีในการรับใช้พระเจ้าของอันดรูว์นี้เอง เป็นเหตุทำให้องค์การคริสเตียนแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาคือBilly Graham Evangelistic Assocication ได้ตั้งหน่วยงานหนึ่งขึ้นมาในคริสตจักรของท่าน มีชื่อเรียกว่าOperation Andrew

คำถามคือว่า หน่วยงานนี้มีหน้าที่อะไร ? คำตอบก็คือหน่วยงานนี้มีหน้าที่ในการที่จะหนุนใจและท้าทายให้พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรของท่านนั้นที่จะเป็นเหมือนอันดรูว์มากขึ้นและมากขึ้น

อันดรูว์เขาเป็นอย่างไร ?

คำตอบก็คือ อันดรูว์เขาเป็นพยานแบบธรรมชาติ ภาษากรีกใช้คำว่าออยคอส หรือ คอยนัวเนีย กล่าวคือ เขาเป็นพยานตามสายสัมพันธ์ส่วนตัว

มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาของ ชาร์ล สเปอร์เจียน เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้ครับว่า วันหนึ่งเพื่อนรักของชาร์ลที่เป็นเศรษฐีคนนี้ แต่เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนนะครับ เขาได้เชิญชาร์ล สเปอร์เจียนไปพักที่บ้านของเขาในตอนสุดสัปดาห์

ซึ่ง ชาร์ล สเปอร์เจียน เขาปรารถนาที่จะเป็นพยานกับเพื่อนรักของเขาคนนี้เป็นอย่างมาก แต่เขาก็เกรงว่าเพื่อนรักคนนี้จะคิดว่า เขาให้มาพักแล้วยังฉวยโอกาสอย่างนี้อีก และแล้วชาร์ลก็จากไป

แต่เขาก็ได้เขียนข้อความหนึ่งเอาไว้ ที่กระจกในห้องนอนของตนด้วยแป้ง ชาร์ลเขียนคำว่า “เพื่อน... เพื่อนยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังขาดอยู่” และแล้วเพื่อนของชาร์ลก็โทรกลับไปหาเขาและถามชาร์ลว่าเขายังขาดอะไรอีกหรือ

ภายหลังจากนั้นชาร์ลก็ได้มีโอกาส ที่จะเป็นพยานให้กับเพื่อนรักของเขาได้รับฟัง คำถามคือว่า เรื่องนี้ให้ข้อคิดอะไรกับเรา ? เรื่องนี้ให้ข้อคิดกับเราว่า ในบางครั้งเรานั้นไม่รู้ที่จะพูดเรื่องขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้เป็นธรรมชาติได้อย่างไร

แต่อันดรูว์เขารู้ , ชาร์ล สเปอร์เจียนรู้ และผมก็มีความเชื่ออย่างมั่นใจด้วยว่าพี่ - น้องที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกคนก็รู้ด้วยว่า วิถีในการที่เราจะเป็นพยานโดยธรรมชาตินั้นเราจะต้องทำอย่างไร ? นั่นก็คือเราต้องรักเขา

และความรักที่เรามีให้กับเขานั่นแหละ จะเป็นพลังที่เราจะเสาะหาวิถีทางในการที่เราเป็นพยานเพื่อเขา

ถ้าพี่ - น้องสังเกตในพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันให้ดีๆ พี่ - น้องก็จะพบว่าไม่มีใครออกคำสั่งให้อันดรูว์นั้นไปเป็นพยานให้กับพี่ชายของเขาเกี่ยวกับเรื่องของพระคริสต์ที่เขาได้พบ

แต่ด้วยความรักของพระคริสต์ ซึ่งเป็นอำนาจที่เหนือธรรมชาติที่มีอยู่ภายในจิตใจของอันดรูว์นั่นเอง ทำให้อันดรูว์เขาต้องการที่จะเป็นพยานส่วนตัวกับพี่ชายของเขา ด้วยเหตุนี้การสนทนาเรื่องราวของพระเมสสิยาห์หรือพระคริสต์จึงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติในวิถีของพวกเขา

ผมคิดว่าสิ่งที่อันดรูวได้กระทำ นั่นก็คือการนำ 1 ดวงวิญญาณมาถึงพระคริสต์ ผมคิดว่าอันดรูว์เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่า มันจะส่งผลให้พี่ชายของเขานั้น จะต้องมาเป็นศิลาหรือมาเป็นหลักให้กับคริสตจักรยุคแรกในเวลานั้น

มีเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมาที่มีนักเทศน์คณะแบ๊บติสต์คนหนึ่ง ที่มีชื่อว่า J.B. Hodge ซึ่งได้ไปเทศนากลางแจ้งเป็นเวลานาน 2 สัปดาห์แล้วแต่ยังไม่มีใครรับเชื่อเลยสักคนหนึ่งเลยซึ่งทำให้เขานั้นท้อใจมาก

แต่วันสุดท้ายของการประกาศกลางแจ้งพี่ - น้องที่รักครับ ปรากฏว่า มีเด็กน้อยที่คงแก่เรียนคนหนึ่งชื่อว่า A.T. Robertson ได้เปิดใจของเขาออกในการที่จะติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ปรากฏว่าเด็กน้อยคนนี้เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้น เขากลายเป็น ศ.ดร. A.T. Robertson ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากรีกที่หาตัวจับได้ยากมากๆซึ่งสอนอยู่ที่สถาบันพระคริสตธรรมหลุยส์วิล

มีเรื่องที่เกิดขึ้นจริงอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือว่ามีการประชุมใหญ่ประจำปีของคณะแบ๊บติสต์ที่ประเทศสก๊อตแลนด์ ที่ประชุมได้รายงานว่าตลอดในปีที่ผ่านมานั้น มีคนรับเชื่อเพียงคนเดียว นั่นก็คือ Robert Moffet

ซึ่งต่อมาภายหลังชายคนนี้ เขาได้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐคนแรกทั่วทวีปแอฟริกา และเขายังเป็นผู้จุดไฟแห่งพันธกิจของพระเป็นเจ้าให้สว่างไสวไปทั่วทวีปแอฟริกา อีกทั้งเขายังเป็นพ่อตาของ ลีฟวิ่งสตันมิชชันนารีผู้ยิ่งใหญ่ของแอฟริกาอีกด้วย

ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมครับพี่ - น้องที่รัก ที่การเป็นพยานโดยส่วนตัวโดยการนำ 1 ดวงวิญญาณมาถึงองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น จะส่งผลต่อแผ่นดินของพระเจ้าหรืออาณาจักรของพระองค์มากมายขนาดนี้

ผมเชื่อว่าอันดรูว์เขาก็คงไม่ได้คิดมาก่อนเช่นเดียวกันว่าวันหนึ่งพี่ชายของเขานั้นจะกลายมาเป็นอัครทูตที่ยิ่งใหญ่อาจจะกล่าวได้ว่าถ้าไม่มีอันดรูว์ก็ไม่มีเปโตรที่เทศนาในวันเพ็นเทคอสต์

อาจจะกล่าวได้ว่า

ถ้าไม่มีสเตเฟนก็อาจจะไม่มีเปาโล

ถ้าไม่มีฆราวาสเมธอดิสต์ก็จะไม่มีชาร์ล สเปอรฺเจียน

ถ้าไม่มีกลุ่มคริสเตียนชาวโมเรเวียนก็จะไม่มียอห์น เวสเลย์

ถ้าไม่มีคุณแม่ที่รักพระเจ้าอย่างเช่นนางโมนิก้า ก็อาจจะไม่มีเซนต์ ออกัสติน

ถ้าไม่มีหญิงชาวสลัมแก่ๆคนหนึ่ง ก็อาจจะไม่มี ยอห์น บันยัน ซึ่งเป็นผู้เขียนวรรณกรรมคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ เช่น Pilgrim”s Progress เป็นต้น

ผมขอย้ำกับพี่นองอีกครั้งหนึ่งว่า การประกาศ การเป็นพยานโดยภาพรวมเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่สิ่งนั้นจะมาทดแทนการประกาศหรือการเป็นพยานโดยส่วนตัวของพี่ - น้องหรือของผมไม่ได้

ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ ด้วยเรื่องเล่าที่น่าประทับใจเรื่องหนึ่งซึ่งเล่าประกอบคำเทศนากันมานานหลายปี เรื่องมีอยู่ว่าท่าน Arnold Donซึ่งเป็นผู้อำนายการพระคริสตธรรมประเทศ Norway ท่านได้รู้จักกับนักศึกษาพระคัมภีร์คนหนึ่ง

นักศึกษาคนนี้ดูผิวเผินแล้วก็เป็นเด็กปกติ การเรียนก็อยู่ในระดับที่ปานกลาง เมื่อสอบไล่เสร็จนักศึกษาทุกคนก็จะต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาของตน นักศึกษาคนนี้ก็นั่งรถไฟกลับบ้านผ่านทุ่งหิมะที่หนาวเหน็บมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมง พอรถไฟวิ่งมาถึงสถานีรถไฟก็แวะจอดให้ผู้โดยสารได้ขึ้นลง

แต่ปรากฏว่าสถานีนั้น ก็ได้มีขี้มาคนหนึ่งขึ้นมาด้วย พอรถไฟออกตัวเท่านั้นแหละ ปากของขี้เมาที่เดินโซซัดโซเซคนนี้ ก็ได้ฟาดไปกับที่นั่งของสุภาพสตรีคนหนึ่งจนเลือดไหลกลบปากในขณะที่ไม่มีผู้โดยสารคนไหนเลยสักคนที่จะสนใจชายขี้เมาคนนี้

นักศึกษาพระคัมภีร์คนนี้ จึงลุกขึ้นจากที่นั่งของตนและเข้าไปประคองชายขี้เมาคนนี้ พร้อมกับใช้ผู้เช็ดหน้าของตัวเองเช็ดเลือดให้กับเขาและพาเขามานั่งในที่นั่งของตน แล้วสอบถามเขาว่าจะลงสถานีไหน เมื่อถึงสถานีดังกล่าวแล้ว นักศึกษาพระคัมภีร์คนนี้ก็ประคองชายขี้เมาลงจากรถไฟแล้วจึงเดินไปส่งเขาที่บ้าน ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟ 3 กม.

พี่ - น้องที่รักครับ ในขณะที่นักศึกษาประคองชายขี้เมาคนนี้กลับบ้านเขาต้องย่ำลงบนหิมะที่ขาวโพลนในเวลาที่หนาวเหน็บ นั่นก็คือประมาณตี 3

ในที่สุดก็มาถึงบ้านของชายขี้เมาคนนี้

และก่อนที่นักศึกษาพระคัมภีร์จะเดินหันหลังกลับ ชายขี้เมาได้กล่าวขอบคุณและถามเขาว่า“คุณทำกับผมอย่างนี้ทำไม”

นักศึกษาพระคัมภีร์ตอบว่า“เมื่อก่อนผมก็เป็นอย่างคุณแต่มีคนหนึ่งช่วยผมเอาไว้ผมจึงปรารถนาที่จะเป็นอย่างเขา”

ท่ามกลางแสงจันทร์ตอนตีสาม นักศึกษาพระคัมภีร์และชายขี้เมาคนนี้ได้คุกเข่าลงที่พื้นหิมะ เหตุเพราะชายคนนี้ได้ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิต และนักศึกษาพระคัมภีร์คนนั้น ก็เดินกลับไปที่สถานีรถไฟอีก 3 กม. เพื่อจะจับรถไฟเที่ยวต่อไปกลับบ้านของตน

ผมจะไม่ถามพี่ - น้องว่า เรื่องที่ผมเล่าให้ฟังนี้กินใจพี่ - น้องไหม แต่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อว่า ผมอยากเป็นเหมือนกับนักศึกษาพระคัมภีร์คนนี้ แล้วพี่ - น้องล่ะครับอยากเป็นเหมือนกับนักศึกษาคนนี้ไหมให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้

“การเป็นพยานโดยส่วนรวมเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่จะมาทดแทนการเป็นพยานโดยส่วนตัวไม่ได้ ดังนั้นขอให้เรามีทัศนคติหรือมีท่าทีเหมือนกับอันดรูว์ที่จะมีความตั้งใจในการที่จะนำ 1 ดวงวิญญาณที่พี่น้องมีตามสายสัมพันธ์มาถึงแผ่นดินของพระเจ้า”

Green City