หลักชัยของชีวิต

คำเทศนาเรื่อง “หลักชัยของชีวิต”

ฟป.3:14-15 “ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบนให้เราไปรับในพระเยซูคริสต์เหตุฉะนั้นให้เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วมีใจคิดอย่างนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะทรงโปรดสำแดงสิ่งนี้ให้แก่ท่านด้วย”และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “หลักชัยของชีวิต”

พี่น้องที่รักครับ ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า มนุษย์เราทุกคนไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาแล้วล้วนต่างที่อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น

ในที่ประชุมนี้มีใครบ้างไหมครับ? ที่เกิดมาแล้วไม่อยากที่จะประสบกับความสำเร็จในชีวิตบ้างมีไหมครับ ? ทุกคนล้วนแต่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยกันทุกคน

แต่การที่เรายังล้มลุกคลุกคลาน ยังมีชีวิตที่ซวนเซหรือสั่นคลอนและหรือการที่เรายังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตกันเป็นเพราะอะไรครับ ?

เพราะหลายคนต่างใช้ชีวิตแบบ 1) เรื่อยเปื่อย 2) ไปวันๆ 3) ไม่ค่อยได้บากบั่น มันจึงทำให้ชีวิตของเราจึงไม่ค่อยไปไหนกันสักเท่าไหร่ มันจะมีประโยชน์อะไรครับพี่น้องที่รัก ที่นักฟุตบอลเลี้ยงลูกบอลอยู่ในสนามโดยที่ไม่รู้ประตูอยู่ตรงไหน ?

ดังนั้นคนที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นจะต้องเป็นคนที่มีเป้าหมายและเป้าหมายนั้นจะต้องเป็นเป้าหมายที่มีความชัดเจนด้วยครับพี่น้องที่รัก เขาจึงจะสามารถที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้

สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจให้ตรงกันอย่างหนึ่งนั่นก็คือว่า เป้าหมาย โลกนี้สอนเราให้มีเป้าหมาย เมื่อมีเป้าหมายแล้วโลกนี้สอนให้เราต้องมีความฝัน ต้องมีความปรารถนา

Ex.การมีบ้าน การมีรถ การมีทรัพย์สินเงินทองและสิ่งของอื่นๆ และถ้าเรามีสิ่งต่างๆเหล่านี้แล้ว เขาก็จะบอกว่าเนี่ยแหละคือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

ด้วยเหตุผลนี้เองเป้าหมายของหลายๆคนจึงไปจดจ่ออยู่กับเรื่องของ 1) การทำมาหากิน 2)การครอบครองทรัพย์สินเงินทองเป็นจำนวนมากให้ได้

ซึ่งผู้เชื่อก็ต้องมีอาชีพ ต้องทำมาหากิน ต้องหาเงินด้วยนะครับแต่คุณจะต้องถือรักษาสะบาโตมากกว่าหาเงินแต่เราจะต้องไม่โลภอีกทั้งคริสเตียนเราสามารถที่จะประสบความสำเร็จในการครอบครองทรัพย์สินสิ่งของเหล่านี้ได้นะครับไม่ใช้ไม่ได้

แต่พระคำของพระเจ้าใน ยน.6:63 ได้ตรัสเอาไว้ดังนี้ว่าจิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต”

คำว่า ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด หมายความว่า เกียรติ ลาภยศ คำสรรเสริญ ทรัพย์สินเงินทองไม่สามารถที่จะทำให้เรานั้นประสบความสำเร็จหรือทำให้เรานั้นได้รับรางวัลในทางของพระเจ้าได้

ซึ่ง อ.เปาโล ได้วางเป้าหมายเอาไว้ให้กับเรา 2 ประการในการที่เราจะประสบความสำเร็จหรือไปถึงหลักชัยในการที่จะเข้ารับรางวัลจากพระเจ้าได้

เป้าหมายประการที่ 1 คือ การเป็นผู้ใหญ่

คนหนุ่มคนสาวหรือคนรุ่นใหม่หลายคนมักจะแซวผู้ใหญ่หลายๆคนที่ไม่ค่อยเข้าท่า พูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องในทำนองที่ว่า ผู้ใหญ่พวกนี้โตเพราะกินข้าวบ้าง แก่เพราะอยู่นานบ้าง พี่น้องเคยได้ยินบ้างไหมครับ ?

สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือคำว่า “เป็นผู้ใหญ่” ในความหมายของ อ.เปาโล ในที่นี้ ไม่ได้มีความหมายในฝ่ายกายภาพหรือฝ่ายเนื้อหนังแต่อย่างใด แต่หมายถึง มีความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณ

ให้เราอ่านจาก อฟ.4:13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์

ระคำของพระเจ้าใน อฟ.4:13 ทำให้เราทราบว่าการเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณนั้นมี Level ของมัน ให้ถามคนข้างซ้าย ข้างขวาว่าตอนนี้คุณอยู่ Level ไหน ?

คริสเตียนหลายคนนะครับ ที่ชอบพูดกับผู้เชื่อใหม่ในทำนองที่ว่า ผมเชื่อพระเจ้ามาเท่านั้นเท่านี้ปี ซึ่งผมอยากจะบอกกับพี่น้องที่ชอบพูดในทำนองอย่างนี้ให้กับผู้เชื่อใหม่ฟังว่า โดยแท้จริงแล้วคุณไม่รู้หรอกว่าคุณกำลังพูดอะไร

เมื่อเรากำลังบอกคนอื่นว่า เราเชื่อพระเจ้ามาเท่านั้นเท่านี้ปี นั่นหมายความว่า คุณกำลังบอกเขาว่าคุณมีความลึกซึ่งกับพระคำของพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน

คนที่เชื่อในพระเจ้ายิ่งนาน ชีวิตของผู้เชื่อคนนั้นยิ่งจะต้องเติบโตในทางของพระเจ้ามาก คนที่เติบโตในทางของพระเจ้ามาก

1.ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม นั่นคือ ความรัก การยกโทษ การให้อภัยหรือการอดทนต่อผู้คนในชีวิตของคุณนั้นต้องมากตามไปด้วย

2.การเสียสละของพระเจ้าจะต้องอยู่ภายในชีวิตของเราต้องมากตามไปด้วย คุณอยู่เพื่อคนอื่นมากน้อยแค่ไหน ชีวิตของคุณเป็นสายน้ำไหลผ่านหรือเป็นพระพรกับคนมากน้อยแค่ไหน

สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นดัชนีชี้วัดวุฒิภาวะหรือระดับของความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณของผู้เชื่อ และนี่ก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งของสังคมไทยรวมถึงเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของสังคมคริสเตียนด้วย

ปัญหาของสังคมไทย คือ พูดได้ สอนได้ แต่ปฎิบัติกันไม่ค่อยได้

ปัญหาของสังคมคริสเตียน คือ พูดพระคำให้คนอื่นฟังแต่ตัวเองไม่ค่อยฟัง พูดธรรมบัญญัติให้คนอื่นปฎิบัติแต่ตัวเองไม่ค่อยปฎิบัติ

1 คร.13:11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเชื่อในพระเจ้านานไหมครับ ? ยิ่งเชื่อพระเจ้านานเรายิ่งต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและเข้าใจผู้อื่นให้มากขึ้นด้วย

อฟ.3:20 “บัดนี้ ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์สามารถกระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา”

            คนที่เชื่อพระเจ้ามานาน คนที่เติบโตในความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณ เขาจะทำทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนการรับใช้ คำพูด การแต่งกาย เขาจะมุ่งไปที่การถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น ไม่สนใจว่าจะมีใครจะมาชมเขาหรือไม่และหรือต่อให้มีคนด่าเขาก็ยังคงรับใช้พระเจ้าต่อไป เพราะเขาตระหนักว่าคนที่ให้รางวัลหรือบำเหน็จแห่งสวรรค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้นขอหนุนใจและท้าทายพี่น้องที่จะมีการวางเป้าหมายในประการที่ 1 นี้เอาไว้ในชีวิตของพี่น้องด้วย

จากพระคำของพระเจ้าใน ฟป.3:14-15 อ.เปาโล ได้วางเป้าหมายเอาไว้ให้กับเรา 2 ประการในการที่เราจะประสบความสำเร็จหรือไปถึงหลักชัยในการที่จะเข้ารับรางวัลจากพระเจ้าได้

เป้าหมายประการที่ 2 คือ ความคิด

ชีวิตของเราจะประสบความสำเร็จและไปถึงหลักแห่งชัยชนะในการที่เราจะเข้ารับรางวัลจากองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ไม่เพียงแต่เราจะต้องเติบโตในฝ่ายจิตวิญญาณเท่านั้น แต่เราจะต้องมีความคิดในทางของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาเสมอ

เมื่อใดก็ตามที่เราหลุดออกจากความคิดของพระเจ้า เราจะเป็นคนที่คิดลบในทันที และพระคำของพระเจ้าก็ได้มีการบันทึกเอาไว้ในหนังสือปฐมกาล เป็นเรื่องราวของอาดำ-เอวา ซึ่งคริสตชนก็ฟังมาเรื่องนี้กันมาเยอะแล้ว ซึ่งนั่นคือ สงครามฝ่ายวิญญาณ

สงครามฝ่ายวิญญาณ คือ สงครามความคิด ส่งผลมาถึงสงครามของการดำเนินชีวิต ซึ่งมาร ซาตาน มันไม่ได้ทำอย่างนั้นเพียงครั้งเดียวนะครับ มาร ซาตานมันพยายามเสาะหาที่จะใส่ความคิดลบอย่างนี้ให้กับมนุษย์ทุกครั้งเมื่อมันมีโอกาส

พระคำของพระเจ้าในมัทธิวก็บอกกับเราด้วยว่า เปโตร ก็เป็นคนหนึ่งที่มาร ซาตาน มันใช้ให้คิดลบ ให้เราดูด้วยกันในมธ.16:23 พระองค์จึงหันพระพักตร์ตรัสกับเปโตรว่า "อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา เพราะเจ้ามิได้คิดตามพระดำริของพระเจ้า แต่ตามความคิดของมนุษย์"

และในปัจจุบันนี้มาร ซาตาน มันได้ใส่ความคิดลบนี้ให้กับเราผ่านคำสอนต่างๆอยู่โดยตลอด เช่น ใครดีมา เราดีตอบ ใครร้ายมา เราร้ายตอบ , บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระและอื่นๆอีกมาก ซึ่งคนของพระเจ้าต้องคิดอย่างไรครับ ใครดีมาเราดีตอบ ใครร้ายมาเรายิ่งดีตอบเป็น 2 เท่า , บุญคุณต้องทดแทน การแก้แค้นมอบให้กับพระเจ้าแต่เนื้อหนังของเรามันบอกกับเราว่า เราต้องจัดการเอง

ด้วยเหตุนี้จึงมีคำพูดหนึ่ง ที่เขาชอบพูดกันนั่นก็คือคำว่า “ความคิด” กำหนด “ชีวิต” ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรขึ้นกับว่าเราคิดอย่างไร

มนุษย์เราสนใจมันทุกศาสตร์ ดาราศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ วารสารศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ แต่ศาสนศาสตร์เรากับไม่สนใจ

ศาสนศาสตร์ เป็น ศาสตร์ ที่กำหนดชีวิตของมนุษย์

ความคิดแบบพระเจ้า เป็น ศาสตร์ที่กำหนดชีวิตของเรา

คำถามคือว่า คิดแบบพระเจ้าคิดอย่างไร ?

อะไรที่ไร้สาระเราอย่าไปสนใจ Ex.ที่นาซาเร็ธ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่เถียงและพระองค์ไม่เสียเวลาที่จะคิดในเรื่องนี้ด้วยซ้ำไปว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เชื่อพระองค์

คำถามคือว่า บทเรียนนี้ให้อะไรกับเราครับ ? ความคิดแม้ว่ามันไม่ได้ออกแรง แต่ถ้าคุณคิดแล้วทำให้คุณโง่คุณก็ไม่น่าไปเสียเวลากับมัน

คำถามคือว่า บทเรียนนี้ให้อะไรกับเราครับ ? คนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ คนที่มีความคิดแบบพระเจ้าเขาจะไม่หวั่นไหวกับคนพูดของคน

อฟ.4:14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไปถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง

คำพูดใดก็ตามที่เข้ามากระทบชีวิตของเราแล้วเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ คนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ คนที่มีความคิดแบบพระเจ้า เขาจะนำคำแนะนำนั้นมาปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขและพัฒนาชีวิตของเขาขึ้นใหม่

ส่วนคำพูดใดก็ตามที่ไม่สร้างสรรค์ ไร้ค่า ไม่มีประโยชน์ เป็นคำพูดที่ไม่จริง เราก็อย่าโง่ เต้นไปกับคำพูดของคนพูดพรรค์อย่างนั้นเราอย่าไปหวั่นไหว

ภายหลังจากนั้นพระองค์ทรงเดินหน้าต่อไป บทเรียนนี้ให้อะไรกับเราครับ ?

1.ถ้าชีวิตเปรียบเหมือนการเดินทาง และถ้าการเดินทางนี้เป็นการเดินทางที่ไกล ตัวเรานั้นจะต้องเบาเราถึงจะเดินทางไกลได้ อย่าว่าแต่ขยะที่เป็นวัตถุเลยครับขยะทางความคิดเราก็เอาเดินทางไปด้วยไม่ได้

2.ต้องคิดแบบอย่างบูรณาการหรือคิดแบบโดยภาพรวม Ex. เช่น ถ้าเรามองดูป่า เราต้องมองดูผืนป่าทั่วทั้งประเทศ , CP ที่เขาเป็นยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจได้ในเวลานี้เพราะเขาไม่ได้มองแค่ประเทศไทยประเทศเดียวนะครับแต่เขามองธุรกิจทั้งโลก

คำถามคือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีความคิดแบบบูรณาการหรือทรงมีความคิดแบบโดยภาพรวมนั้นพระองค์ทรงคิดอย่างไร ? คำตอบอยู่ใน มธ.28:19-20

ด้วยเหตุนี้อ.เปาโล จึงมีความคิดแบบเดียวกับองค์พระเยซูคริสต์ ท่าน อ.เปาโล จึงมีเป้าหมายและเป็นเป้าหมายในการทำพันธกิจ ที่ชัดเจนทั้งด้านการประกาศ เป็นพยาน ตั้งกลุ่ม ตั้งคริสตจักร ตั้งศูนย์เสริมสร้างพัฒนาสาวก

ดังนั้นคนที่มีความคิดแบบพระเจ้าจะต้องไม่เอาชีวิตของเขาไปฝากไว้กับคำพูดของใครหรืออย่าเอาอนาคตของเราตกเป็นทาสคำพูดของใคร

สังคมไทยมีขยะทางความคิดเยอะแยะมากมายเห็นได้จากละครโทรทัศน์ , เกมส์โชว์และการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้คนในบ้านเมืองตามรายการที่มีการสัมภาษณ์บุคคล ซึ่งคริสเตียนเราฟังบางเรื่องเอาไว้บ้างก็ดีและบางเรื่องไม่ต้องเสียเวลาฟังเลยก็ดี Ex.เช่น เรื่องหวย 30 ล้าน , ร่างทรง 4 G เป็นต้น

อฟ.3:18-19 ท่านก็จะหยั่งรู้ได้ว่าอะไรคือความกว้าง ความยาว ความลึกและความสูงพร้อมกับบรรดาวิสุทธิชนทั้งปวง
และให้เข้าใจถึงความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม

พระคำของพระเจ้าใช้คำว่า “ความกว้าง ความยาว ความลึกและความสูง” ในที่นี้คือ การสังเคราะห์หรือแยกแยะให้ได้ว่ามันเป็นประโยชน์ต่อตัวเราหรือไม่

ดังนั้นคนที่มีความคิดแบบพระเจ้าจะต้องไม่เอาชีวิตของเขาไปติดอยู่ไว้กับคำพูดของใครหรืออย่าเอาอนาคตของเราตกเป็นทาสคำพูดของใคร

ถ้าเราไม่เอาชีวิตของเราไปติดอยู่กับคำพูดของใคร ผลสุดท้ายคือ เราจะเดินต่อไปข้างหน้าได้สง่างาม ประสบความสำเร็จ ถึงหลักชัยแห่งการรับบำเหน็จรางวัลจากองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

สรุป ชีวิตที่จะไปถึงหลักชัยแห่งการรับบำเหน็จรางวัลจากองค์พระเยซูคริสต์

ประการที่ 1 คือ ต้องมีเป้าหมายและเป้าหมายที่ควรวางไว้นั่นคือการเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณ

ประการที่ 2 คือ ต้องมีความคิด และความคิดที่เราควรมีนั่นคือความคิดแบบพระเจ้า

Green City