ฟป.2:8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน
มธ.16:24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เรื่องของไม้กางเขนนั้นเป็นเรื่องของความสมัครใจที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นสมัครใจที่จะเดินทางไปในเส้นทางนี้
เริ่มตั้งแต่ที่ไหนครับ ? สวนเกทเสมนี จนถึงภูเขาที่มีชื่อว่า “โกละโกธา” ซึ่งที่นั่นเปรียบเหมือน ลานประหาร ถ้าพี่น้องได้ดูภาพยนตร์เรื่อง The Passion of The Christ
พี่น้องก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนว่า ระหว่างการเดินทางไปถึงที่ลานประหารนั้น องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงผ่านความเจ็บปวดรวดร้าวมากเพียงไร พระองค์ทรงผ่านความทุกข์ทรมานอย่างหนักหนาสาหัสมากแค่ไหน
อสย.53:4-6 แน่ทีเดียวท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลายและหอบความเจ็บปวดของเราไป กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ 5 แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลายท่านฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายสมบูรณ์นั้น ตกแก่ท่านที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี 6 เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง และพระเจ้าทรงวางลงบนท่าน ซึ่งความบาปผิดของเราทุกคน
พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงผ่านความเจ็บปวดรวดร้าวมากหรือน้อย ? พระองค์ทรงผ่านความทุกข์ทรมานอย่างหนักหนาสาหัสมากหรือน้อย ?
แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ทรงสมัครใจที่จะเดินทางไปที่ลานประหารนั้นด้วยความยินดีและเต็มใจ
คำถามคือว่า สาเหตุที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงยอมที่จะเดินไปยังลานประหารด้วยความสมัครใจนั้น เพราะสาเหตุใดครับ
เมื่อวันพุธที่ผ่านมาท่าน ผป.วงศ์พัชร ได้บอกกับเราแล้วว่าสาเหตุมาจากความบาปที่อาดำ - เอวา ได้ทำไว้ด้วยการที่เขาทั้ง 2 คนนั้นไม่เชื่อฟังพระเจ้าแต่กับไปเชื่อฟังมาร ซาตานแทนพระเจ้า
การไม่เชื่อฟังพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้ที่สร้างเขาขึ้นมานั้น ถือว่าเป็นความบาป มนุษย์ทุกคนจึงได้รับสายเลือดหรือได้รับ DNA ของความบาปนั้นมาจากทางอาดำ-เอวา
ขออนุญาตยกตัวอย่าง เพื่อให้พี่น้องจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น เช่น เมื่อพ่อแม่ได้นำบ้านไปจำนองกับธนาคาร ครั้นเมื่อครบกำหนดและไม่มีเงินไปไถ่ถอนผลเป็นอย่างไรครับ ? พ่อแม่ต้องออกจากบ้าน ลูกต้องออกจากบ้านด้วยไหมครับ ? แม้ว่าลูกจะไม่รู้ไม่เห็นการกระทำนั้นก็ตาม
พี่น้องทราบไหมครับว่า ท่านนายกรัฐมนตรีของไทย ไม่ว่าจะเป็นนายกฯคนไหนก็ตาม ถ้านายกท่านใดก็ตามไปเซ็นสัญญาอะไรไว้ นั้นก็เท่ากับประชาชนประเทศนั้นๆได้เซ็นด้วย เพราะท่านนายกฯไปเซ็นในฐานะตัวแทนประเทศไทย
ดังนั้นเมื่ออาดำ-เอวา ทำบาปมนุษย์จึงได้รับผลจากการทำบาปนั้นด้วยแม้ว่าเราจะไม่ได้ทำบาปนั้นก็ตาม
เมื่ออาดำ-เอวา ทำบาป ภายหลังจากนั้นอะไรเกิดขึ้นครับ ?
ปฐก.3:15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ
โลกถูกสาปแช่ง , มนุษย์ถูกสาปแช่ง งู เป็นสัญลักษณ์ของ มาร ซาตาน วิญญาณชั่ว
พงศ์พันธุ์ของหญิง เล็งถึงองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เนื่องจากถือกำเนิดเกิดจากโดยฤทธิ์เดชแห่งองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ผ่านนางมารี หญิงพรหมจารี ส่วนมนุษย์คนอื่นๆทั้งโลกเป็นพงศ์พันธุ์ของชายหรือผู้ชายเป็นคนทำขึ้นมา
พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลกและเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ พระวจนะตอนนี้ พยากรณ์ถึงองค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่จะเสด็จมาเพื่อทำลายอำนาจของมาร ซาตาน วิญญาณชั่ว
เมื่ออาดำ-เอวา ทำบาป ภายหลังจากนั้นอะไรเกิดขึ้นครับ ?
ปฐก.3:6-7 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นน่ากิน และน่าดูด้วย ทั้งเป็นต้นไม้ที่มุ่งหมายจะให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีกินด้วย เขาก็กิน 7 ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้น จึงสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่ ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้
เมื่ออาดำ-เอวา ทำบาป เขาทั้ง 2 จึงเสื่อมไปจากพระสิริของพระเจ้า เขาจึงนำ “ใบมะเดื่อ” มาปกปิดร่างกาย
“ใบมะเดื่อ” เล็งถึงศาสนา เล็งถึง “ปรัชญา” ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อที่จะนำมนุษย์ไปถึงพระเจ้า แต่ “ใบมะเดื่อ” มีโอกาสที่จะเหี่ยวแห้งและเฉาลงไหมครับ ?
กจ.4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า"
คำว่า “ในผู้อื่น” หมายถึงทุกนามที่ไม่ใช่นามว่าพระเยซูนั้น ไม่มีความรอดให้ในมนุษย์
แต่ “ในผู้อื่น” มีความดี และทุกศาสนาก็สอนคนให้เป็นคนดี
แต่ “ในผู้อื่น” มีพร มนุษย์จึงไปบนบานศาลกล่าว แต่เมื่อคุณได้รับการอวยพรแล้วคุณลองไม่ไปแก้บนดูสิ ดูว่าคุณจะถูกรบกวนหรือไม่
แต่ “ในผู้อื่น” มีฤทธิ์เดช มีการอัศจรรย์ แต่ถ้าคุณไม่ยอมอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของซาตานดูสิ ดูว่าคุณจะถูกรังความหรือไม่ ?
แต่ “ในความรอด” มีอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เององค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงได้ทำ “หนังสัตว์” แทนใบ ”มะเดื่อ” มาให้กับเขาทั้ง 2 คน เพื่อทำการปกปิดร่างกาย
“หนังสัตว์” อยู่ได้นานกว่าใบมะเดื่อไหมครับ ? แต่มันหมายถึง มันต้องมีสัตว์ตัวหนึ่งต้องตาย เป็นการบอกนัยยะของพระเจ้ามาสู่มนุษย์ว่า วันหนึ่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะต้องมาตายเพื่อไถ่บาปแทนมวลมนุษย์ชาติ
ฮบ.9:11-14 แต่เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐ ซึ่งมาถึงแล้ว {สำเนาต้นฉบับบางฉบับว่า ซึ่งจะมาถึง} พระองค์ก็ได้เสด็จเข้าไปสู่เต็นท์อันใหญ่ยิ่งกว่าแต่ก่อน (ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ คือไม่ใช่เต็นท์แห่งโลกนี้) พระองค์เสด็จเข้าไปในวิสุทธิสถานเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และพระองค์ไม่ได้ทรงนำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร 13 เพราะว่าถ้าเลือดแพะและเลือดวัวตัวผู้ และเถ้าของลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนบาปสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้
14 พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ผู้ได้ทรงถวายพระองค์เอง แด่พระเจ้าโดยพระวิญญาณนิรันดร ให้เป็นเครื่องบูชาอันปราศจากตำหนิ ก็จะทรงชำระได้มากยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด เพื่อให้จิตใจของคนที่หมกมุ่นในการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย หันไปรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
พระคำของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิม ในหนังสือ ลนต.16:15-16 บอกกับเราว่า มนุษย์ต้องนำแพะ แกะหรือวัวที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี มาถวายเพื่อชำระความผิดบาปของเรา
1 ) ซึ่งเปรียบไปก็ไม่แตกต่างอะไรจากบางศาสนาที่เมื่อมีเคราะห์มีโศก ก็ต้องไปทำการปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่าเพื่อจะพ้นเคราะห์ พ้นโศก แต่ถ้าอยากจะได้บุญก็ต้องปล่อยให้มาก
2) ซึ่งนั่นหมายความว่า มันจะต้องมีฝูงแพะแกะและหรือฝูงวัวที่จะต้องตายเป็นจำนวนมากในทุกๆปี
กลับมาที่พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ฮบ.9:11-14
พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราว่า ถ้าเราเชื่อว่าเลือดแพะและเลือดวัวตัวผู้และเถ้าของลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนบาปสามารถชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ได้ พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ผู้ได้ทรงถวายพระองค์เองก็สามารถที่จะถวายเป็นเครื่องบูชาอันปราศจากตำหนิที่ชำระความผิดความบาปของมนุษย์ได้ไหมครับ ? ก็ทรงชำระได้
พระคำของพระเจ้าใน ฮบ.9:11-14 ยังพูดถึงอีก 2 เรื่องด้วยกัน นั่นคือ ระดับของการถวายเครื่องบูชาชำระความผิดบาป และเรื่องของวิสุทธิสถาน
ในข้อที่ 13 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เพราะว่าถ้าเลือดแพะและเลือดวัวตัวผู้และเถ้าของลูกโคตัวเมีย นี่คือระดับของการถวายเครื่องบูชาในการชำระความผิดบาป
เพราะฉะนั้นถ้าเราทำบาปมาก เครื่องสัตว์บูชาที่มนุษย์จะต้องถวายเพื่อชำระความผิดบาปก็ต้องมาก ถ้าไม่มากก็ต้องเป็นเครื่องสัตว์บูชาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นทดแทนปริมาณที่มากน้อย
แต่การที่องค์พระเยซูคริสต์ต้องเสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่อเป็นเครื่องไถ่บูชาแทนมวลมนุษย์ชาติ นี่ไม่ใช่บาปส่วนตัวแต่เป็นความบาประดับโลก เพราะฉะนั้นจะเอาหมูเห็ด เป็ดไก่ ฝูงแพะแกะหรือฝูงวัว มาทดแทนความบาปของมวลมนุษย์ชาติมันพอไหมครับ ?เพราะฉะนั้นเครื่องถวายบูชานั้นต้องเหมาะสมด้วย
อีกเรื่องหนึ่งที่พระคำของพระเจ้าใน ฮบ.9:11-14 ได้พูดถึงนั่นก็คือ เรื่องของวิสุทธิสถาน พี่น้องที่รักครับ ในพระคัมภีร์เดิมพระวิหารที่ซาโลมอน สร้างถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ภายนอกคือ ลานพระวิหารที่ซึ่งสัตว์ที่จะถวายเป็นเครื่องบูชาถูกฆ่า แล้วก็มีอาคารพระวิหาร ส่วนแรก คือ ห้องวิสุทธิสถาน ห้องนี้อนุญาตให้เฉพาะปุโรหิตเท่านั้นที่เข้าไปได้
ส่วนที่สองคือ อภิสุทธิสถาน แยกจากส่วนแรกโดยม่านที่หนามาก ขณะที่ปุโรหิตปรนนิบัติในห้องวิสุทธิสถาน มหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในห้องอภิสุทธิสถาน และเข้าได้ปีละครั้งเท่านั้นและการที่จะเข้าไปในห้องอภิสุทธิสถาน
มหาปุโรหิตต้องถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าสำหรับตนเองและสำหรับผู้อื่น จะเข้าไปได้ต้องมีเลือดของสัตว์ (ฮีบรู 9:6-8) ยิ่งกว่านั้นเมื่อครบหนึ่งปี เครื่องบูชาก็หมดอายุ ต้องถวายเครื่องบูชาใหม่อีกครั้ง
คำถามคือว่า ชนชาติอิสราเอลยอมรับพระองค์เป็นปุโรหิตย์หรือเป็นมหาปุโรหิตย์ไหมครับ ? และพระองค์ทรงเข้าไปที่วิสุทธิสถานได้อย่างไร ?
พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า พระองค์ทรงเป็นมหาปุโรหิตย์ พระองค์ทรงอยู่ในสถานที่อภิสุทธิสถานอยู่แล้ว พระองค์ถวายตัวของพระองค์ถึงแม้ว่ากายภายนอกจะอยู่บนไม้กางเขน แต่อีกมิติหนึ่งพระองค์ทรงอยู่ในที่อภิสุทธิสถาน
เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ผ้าม่านในพระวิหารจึงฉีกขาดออกจากกัน สองสิ่งนี้มีความสัมพันธ์กัน นั่นหมายถึง การที่พระเจ้าทรงรับเครื่องถวายบูชานี้ ความชอบธรรมของมนุษย์จึงถูกปกคลุม ณ.จุดนี้
กลับมาตรงที่ ก่อนที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงสิ้นพระชนม์นั้น พระองค์ทรงตรัสว่า “สำเร็จแล้ว”
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรง ”สมัครใจ” เดินไปที่ลานประหาร
เพื่อเป็นค่าไถ่บาปนิรันดรแทนมวลมนุษย์ชาติ พระโลหิตทุกหยดที่หลั่งออกจากพระกายของพระองค์นั้นเพื่อที่จะแลกเอาชีวิตของเรามาจากซาตาน
ก่อนที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงตรัสว่า สำเร็จแล้ว คำนี้มีความหมายว่า
1.พระองค์ได้ทรงใช้หนี้เวรกรรมแทนมวลมนุษย์ชาติหรือแทนมนุษย์ทั้งโลก ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้ายของโลกเรียบร้อยแล้ว
2.คำสาปแช่งที่มีมาในสมัยของอาดำ-เอวา ได้ทุกยกเลิกแล้ว สิ่งนี้เป็นผลมาจากการที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงสมัครใจเดินไปทางกางเขน ดังนั้นทุกๆพื้นที่ๆเราก้าวเดินจากนี้ไปจะไม่เป็นภัยแต่จะเป็นพระพรต่อชีวิตของเราเสมอ
- เมื่ออำดำ-เอวา ถูกพระเจ้าสาปแช่ง วันนั้นไม่ใช่เป็นวันซวยของอาดำ-เอวา เท่านั้นแต่เป็นวันซวยของโลกด้วย แต่การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าและพระองค์ทรงตรัสว่า สำเร็จแล้ว มีความหมายว่า จากวันซวยเป็นวันสวย ทุกวันเป็นวันดี อาเมานไหมครับ ?
มธ.16:24 ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา
เราจะสมัครใจแบกไม้กางเขนในการติดตามแบบเดียวองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ไหม ? ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ให้เราไปรับรอยแผลเฆี่ยนแบบเดียวกันกับพระองค์นะครับ ?
แต่ให้เราสมัครใจแบกไม้กางเขนในการติดตามพระองค์โดย
- นำคนผิดคนบาปให้รับการคืนดีกับพระเจ้า มธ.28 :19-20
- ไม่ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เหมือนดังที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงไม่ทำให้พระบิดาเสียพระทัย
เวลานี้คริสเตียนไทยทำให้พระเจ้าเสียพระทัยนอกจากไม่ประกาศหรือเป็นพยานแล้ว หลายคนยังไหว้รูปเคารพ นมัสการรูปเคารพ
คนไม่เชื่อพระเจ้าทำให้พระเจ้าเสียพระทัย เพราะไปไหว้รูปเคารพที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมีตาไหม แต่มองเห็นไหมมีปากไหมแต่พูดได้ไหมครับ มีขาแต่เดินได้ไหมครับ
ส่วนคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าทำให้พระเจ้าเสียพระทัยเพราะมีรูปเคารพในใจ คือ รักอาชีพการงาน รักลูก รักสามี รักภรรยาและอื่นๆมากกว่าถือรักษาวันสะบาโต ในพระคัมภีร์เดิมใช้คำว่าอย่าเหยียบย่ำวันสะบาโต
พระเจ้าทรงปลดปล่อยเราให้มีอิสรเสรีภาพมีความเป็นไทแล้ว แต่หลายคนไม่มั่นใจ จึงไปดูหมอ ไปดูดวง และไปเปลี่ยนนามสกุลเป็น “ชูดวง” ซึ่งนั่นเท่ากับ
1.คุณไม่ได้สมัครใจที่จะแบกไม้กางเขนใน การติดตามพระองค์
2.คุณปฎิเสธพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวาทะของพระเจ้า ซึ่งพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า
พี่น้องจำไว้นะครับว่า เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ดีนั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับดวง แต่ขึ้นอยู่กับความขยันในการทำมาหากิน
การสมัครใจแบกกางเขนของตน คือ ความศรัทธาในการเดินตามพระคำของพระเจ้า แต่เรื่องของความศรัทธาเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้
ยน 11:40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า"
ขอหนุนใจให้เราสมัครใจที่จะแบกกางเขนของตนในการเดินกับพระเจ้าผ่านทางพระคำของพระเจ้าแล้วพี่น้องจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของเรา ไม่ใช่ผ่านชีวิตของคนอื่น