สูงขึ้นและเป็นประโยชน์มากขึ้น

คำเทศนาเรื่อง สูงขึ้นและเป็นประโยชน์มากขึ้น

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจาก ฉลธ.28:13 “ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเยโฮวาห์จะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัว ไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียว มิใช่ให้ต่ำลง”

มธ.5:13-16 “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก แต่ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ไม่มีผู้ใดจุดเทียนแล้วนำไปวางไว้ในถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงเทียนจะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น จงให้ความสว่างของท่านส่องไปต่อหน้าคนทั้งปวงอย่างนั้น เพื่อว่าเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ และจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “สูงขึ้นและเป็นประโยชน์มากขึ้น” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ? พี่น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้ทำให้เราได้เห็นถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีมาเหนือชีวิตของเราทั้งหลาย

น้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างแรกนั่นก็คือ ให้เราซึ่งเป็นผู้เชื่อในพระองค์นั้นได้สูงขึ้นในทางเดียว ซึ่งคำว่าสูงขึ้นในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ให้เรานั้นเป็นคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงหรือเป็นคนที่หัวสูงแต่อย่างใด

แต่พระคำของพระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายนั้นเป็นผู้มี(1) คุณธรรม (2) เป็นผู้มีชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณที่สูงขึ้น ภายหลังจากนั้นแล้วพระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายนั้น (1) เป็นผู้มีสติปัญญาที่สูงขึ้น (2) เป็นผู้มีวุฒิภาวะและความเข้าในชีวิตที่สูงขึ้น แต่คุณธรรมต้องมาก่อนปัญญา

เวลานี้ที่สังคมไทยมีปัญหาเพราะอะไร ? เพราะสังคมเอาปัญญานำศีลธรรม มนุษย์จึงสูงขึ้นในทางที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยของพระเจ้า

กลับมาที่พระคำของพระเจ้า พี่น้องที่รักครับ การที่เรามีศีลธรรม การที่เรามีจิตวิญญาณ ตามด้วยการที่เรามีสติปัญญา อีกทั้งการมีวุฒิภาวะและความเข้าในชีวิตที่สูงขึ้นนั้นจะนำมาซึ่งพระพรในฝ่ายกายภาพนั่นก็คือทรัพย์สิน สิ่งของที่ตามองเห็น

น้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างที่ 2 นั่นก็คือ เมื่อพี่น้องนั้นสูงขึ้นแล้ว เมื่อพี่น้องเป็นผู้ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้ว ได้รับการอวยพระพรจากพระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็ปรารถนาที่จะให้พี่น้องนั้นได้เป็นผู้สะท้อนถึงพระสิริของพระเจ้าผ่านการดำเนินชีวิตของเรา

โดยการที่พี่น้องนั้นจะต้องเป็นประโยชน์หรือเป็นผู้ที่อวยพรให้กับผู้อื่น ซึ่งการที่พี่น้องเป็นประโยชน์หรือเป็นผู้ที่อวยพรให้กับผู้อื่นเปรียบได้เหมือนกับการที่เราเป็น “ความสว่างของโลก” นี่คือเป้าหมายที่พระเจ้าได้ทรงวางเอาไว้ให้กับเรา

ด้วยเหตุนี้เองพี่น้องที่รักครับ ไม่ว่าคริสเตียนเรานั้นจะไปอยู่ที่แห่งหนตำบลใดก็ตาม ความคิดที่เราจะต้องเป็นผู้ทำหรือเป็นผู้สร้างประโยชน์ให้กับชุมชน สังคมและประเทศชาตินั้นจะต้องติดตามตัวของเราไปอยู่เสมอ

ซึ่งต่างกับคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าที่โดยส่วนมากนั้น เขาอยากที่จะสูงขึ้นทางเดียว บางคนรู้ทั้งรู้นะครับว่า 1)มันผิด 2 )มันไม่ถูกต้อง เขาก็ยังทำและเมื่อเขาสูงขึ้นแล้วเขาทำไมครับ ? นอกจากที่จะไม่แบ่งปันอะไรไปให้กับใครแล้ว บางคนนั้นอย่างนำสิ่งที่สูงขึ้นนั้น ไปกร่างกับใครต่อใครอีกด้วยพี่น้องว่าจริงไหม ?

ดังนั้นให้พี่น้องขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงสัญญาเอาไว้กับเราว่า พระองค์นั้นจะให้เรานั้นสูงขึ้น เพื่อที่เราทั้งหลายนั้นจะได้เป็นผู้ที่มีประโยชน์และเป็นผู้ที่อวยพระพรแก่ผู้อื่นและนี่คุณค่าของการเป็นมนุษย์ที่แท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า

คำถามที่น่าสนใจและเป็นคำถามที่สำคัญนั่นก็คือว่า ขบวนการที่จะนำชีวิตของเราทั้งหลายให้สูงขึ้นและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นนั้นเราจะต้องทำอย่างไร ?

ประการที่ 1 คือ เราต้องมีเป้าหมายในชีวิต

มีคำคมของนัก Golf คนหนึ่งเขากล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า “ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ แม้นพลาดก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว” ผมว่าคำคมคำนี้ได้ให้ข้อคิดอะไรกับเราอย่างน่าสนใจ

คำคมคำนี้ได้บอกกับเราว่า การที่เราตั้งเป้าหมายสูงๆเอาไว้นั้น ซึ่งถ้าพลาด...มันก็เพียงไปไม่ถึงที่ดวงจันทร์....แต่มันก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว....ซึ่งมันมีคุณค่ามากกว่าตั้งอยู่บนพื้นดิน ผมคิดว่าคำคมของนัก Golf คำนี้น่าคิดมากเลยทีเดียว

ฟลป. 3:12 “มิใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาตามอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว
3:14 ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลซึ่งพระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบนให้เราไปรับในพระเยซูคริสต์”

พี่น้องที่รักครับ อ.เปาโล ซึ่งใครๆก็ดูเหมือนว่าท่านนั้นเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งในทางโลกและในทางธรรมแล้ว แต่ท่านกับบอกว่าท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น

แต่ท่าน อ.เปาโล คิดอย่างนี้ ท่านคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่สูงขึ้นอย่างแท้จริงแล้วนั้น คือ คนที่หมายเอาองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นเป็นแบบอย่าง

ดังนั้นพระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้จึงทำให้เราทราบถึงเป้าหมายที่สูงส่งของท่าน อ.เปาโล นั่นก็คือ ท่านปรารถนาที่จะกระทำตามอย่างองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ทรงเป็นผู้ตั้งต้นกระทำการในทุกสิ่งและในทุกอย่างเอาไว้เป็นแบบอย่างให้กับเราทั้งหลาย

สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าพี่น้องคงเข้าใจเป็นอย่างดี นั่นก็คือว่า งานทุกงานนั้นล้วนแต่มีอุปสรรค มีปัญหาด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งท่านอ.เปาโล ก็ได้บอกกับเราเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยว่า เป้าหมายหรือหลักชัยที่สูงส่งนี้ มันไม่ได้ได้มากันอย่างง่ายๆ แต่มันจะต้องแลกมาด้วยการบากบั่น , มุ่งมั่น , ตั้งใจ แต่ถ้าพี่น้องทำอย่างนี้ได้ นั่นก็หมายความว่า ชีวิตของพี่น้องนั้นได้สูงขึ้นแล้วและชีวิตของพี่น้องก็จะเป็นพระพรหรือเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้อย่างแน่นอน

ขบวนการที่จะนำชีวิตของเราทั้งหลายให้สูงขึ้นและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นนั้นเราจะต้องทำอย่างไร ?

ประการที่ 2 คือ เราจะต้องเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

พี่น้องที่รักครับ การที่เราจะมีชีวิตที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ไม่เพียงแต่เราจะมีเป้าหมายในชีวิตเท่านั้น แต่เราจะต้องเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย

ซึ่งโดยแท้จริงแล้วคริสเตียนก็คือคนธรรมดาๆคนหนึ่งไม่แตกต่างอะไรไปจากคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า แต่การที่เราเป็นคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาได้นั้นนั่นก็เพราะว่า เรามีพระเจ้าที่พิเศษอยู่ในชีวิตของเรา พระองค์จึงสามารถที่จะสร้างชีวิตที่พิเศษให้กับเราได้

คำถามก็คือว่า พระเจ้าสร้างชีวิตที่พิเศษให้กับเราเพื่ออะไร ?

คำตอบก็คือว่า พระเจ้าสร้างชีวิตที่พิเศษให้กับเราก็เพื่อที่เราทั้งหลายนั้นจะสามารถทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้ และเรื่องพรรค์อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันเล่นๆหรือพูดกันลอยๆ ให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าในหนังสือ กจ.4:13“เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนมีความรู้น้อยก็ประหลาดใจ แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู”

พี่น้องทราบกันดีอยู่แล้วเปโตรกับยอห์นนั้นเป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่ง อาชีพของเขาคือชาวประมง เขาทั้ง 2 คนไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่พวกเขาสามารถที่จะพูดตอบโต้กับผู้ใหญ่ในสภาเฮดรินในสมัยนั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

สภาเฮดริน คือ สภาอะไร ? สภาเฮดริน คือสภาของผู้นำประชาชนชาวยิว สมาชิกสภาประกอบด้วย นักบวช , รับบี , ฟาริสี , ธรรมาจารย์ , นักศาสนศาสตร์ชาวยิว , เหล่าบรรดานักปราชญ์ผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย

แต่เปโตรกับยอห์นนั้นสามารถที่จะพูดตอบโต้กับคนเหล่านี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า “คนในสภานั้นพากันประหลาดใจแล้วสำนึกได้ว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู”

ดังนั้นชีวิตของมนุษย์จะสูงขึ้นและเป็นประโยชน์มากขึ้นนั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวรกรรม แต่มันขึ้นอยู่กับชีวิตที่พี่น้องจะยอมให้พระคำของพระเจ้านั้นฝังและอยู่ภายในชีวิต+กับการที่พี่น้องลงมือกระทำมากหรือน้อยเพียงใด

พี่น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าสามารถที่จะกระทำให้ชีวิตของเปโตรกับยอห์นสูงขึ้นและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นได้ พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ก็สามารถที่จะทำให้พี่น้องสูงขึ้นและเป็นประโยชน์หรือเป็นพระพรแก่คนอื่นได้ด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่พี่น้องจะยอมให้พระเจ้าสร้างพี่น้องหรือไม่เท่านั้นเอง

ขบวนการที่จะนำชีวิตของเราทั้งหลายให้สูงขึ้นและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นนั้นเราจะต้องทำอย่างไร ?

ประการที่ 3 คือ ทุกความสำเร็จย่อมมีความยากลำบากมาขวางกั้น

พี่น้องที่รักครับ การมีชีวิตที่สูงขึ้นและเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้นั้นถือว่าเป็นความสำเร็จ แต่กว่าจะมาถึงความสำเร็จได้นั้น โปรดจำเอาไว้ว่ามันมักจะมีอุปสรรค ปัญหาหรือความทุกข์ยากลำบากมาคอยขวางกั้นเสมอ

ขอให้พี่น้องได้จำไว้อีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า อุปสรรค ปัญหาหรือความทุกข์ยากลำบากนั้นมันไม่ใช่เวรกรรมเหมือนดั่งคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้านั้นเขาพูดกัน แต่มันคือวีรกรรมที่เราจะต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้

ซึ่งถ้าพี่น้องยอมแพ้ต่ออุปสรรค ปัญหา พี่น้องก็เป็นเพียงแค่ถ่าน แต่ถ้าพี่น้องชนะต่ออุปสรรค ปัญหา พี่น้องจะกลายเป็นเพชรและเป็นประโยชน์หรือเป็นพระพรแก่ผู้อื่น แต่กว่าที่มันจะเป็นเพชรได้นั้น มันก็จะต้องผ่านความร้อนที่มีอุณหภูมิที่สูงมาก แต่ถ้ามันผ่านมาได้มันก็จะกลายเป็นเพชรที่มีคุณค่ามาก

ดังนั้นขอหนุนใจให้พี่น้องมอง “อุปสรรค” ที่เข้ามาในชีวิตของพี่น้องเป็นเสมือนกับ “อุปกรณ์” ชิ้นหนึ่งที่เข้ามาทดสอบเรา ซึ่งถ้าพี่น้องผ่านการทดสอบนี้ไปได้แสดงว่าพี่น้องแข็งแกร่งมากขึ้น ชีวิตของพี่น้องเริ่มที่จะสูงขึ้นและเริ่มที่จะเป็นประโยชน์หรือเป็นพระพรแก่ผู้อื่นมากขึ้น

ขอให้พี่น้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า “ความยากลำบากไม่เคยทำร้ายใครแต่ความสบายต่างหากที่ทำร้ายคน” ประเทศไทยของเรามักจะภาคภูมิใจว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร

แต่ในปัจจุบันนี้เรามักจะได้ยินคำพูดในทำนองนี้มากขึ้นว่า “รู้อย่างนี้ตกเป็นเมืองขึ้นเขาดีกว่า” (1)เพราะเราจะได้พูดภาษาอังกฤษได้เหมือนกับประเทศอื่นๆ (2)เพราะประเทศไทยของเราจะได้พัฒนาเหมือนกับ Malay, Singapore , หรือเหมือนกับประเทศเกาหลี ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ?

ซึ่งนั่นหมายความว่า ความยากลำบากสอนเขาให้คิดที่จะพัฒนาตนเองขึ้นมา ประเทศไทยของเราได้แต่สบายๆ อีกทั้งภูมิใจไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร พอเวลามีความยากลำบากเข้ามาหน่อย หลายคนจึงรับไม่ได้ บ่นนั้นบ่นนี้ โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่ในปัจจุบันนี้ที่มีความอดทนน้อยมากๆ

ดังนั้นความสบายจึงทำลายความคิดสร้างสรรค์ ทำลายความอดทน ทำลายอนาคตของคน

อ.เปาโล พูดเอาไว้ใน2 ทมธ.1:10-12“แต่บัดนี้ได้ทรงสำแดงให้ประจักษ์โดยการที่พระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราเสด็จมา ผู้ได้ทรงกำจัดความตายให้สูญสิ้น และได้ทรงนำชีวิตและสภาพอมตะให้กระจ่างแจ้งโดยข่าวประเสริฐสำหรับข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นนักเทศน์และเป็นอัครสาวก และเป็นครูของพวกต่างชาติเปาโลเชื่อมั่นในพระคริสต์อย่างไม่สั่นคลอนเพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อ และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงฤทธิ์สามารถรักษาซึ่งข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้น”

อ.เปาโล บอกว่า ท่านรับใช้พระเจ้าด้วยความเหน็ดเหนื่อยและด้วยความทุกข์ยากลำบาก เหตุเพราะว่าข่าวประเสริฐ แต่ก็เพราะว่าท่านนั้นรู้จักพระเจ้า ท่าน อ.เปาโล จึงเอาชนะความยากลำบากนี้ได้

เพราะฉะนั้นถ้าพี่น้องอยากให้ชีวิตของพี่น้องนั้นสูงขึ้นและเป็นประโยชน์หรือเป็นพระพรต่อผู้อื่น พี่น้องก็จะต้องมีท่าทีอย่างนี้เหมือนกับ อ.เปาโล คือท้อแท้ได้แต่ไม่ท้อถอย ที่สำคัญพี่น้องที่รักครับ ในพระเจ้านั้นเราเริ่มใหม่ได้ เราสู้ใหม่ได้เสมอ   สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือว่า   ทุกครั้งของการเริ่มต้นใหม่พระเจ้าทรงเป็นกำลังใจให้เราเสมอ

ขบวนการที่จะนำชีวิตของเราทั้งหลายให้สูงขึ้นและเป็นประโยชน์กับผู้อื่นนั้นเราจะต้องทำอย่างไร ?

ประการที่ 4 คือ เราจะต้องอยู่เหนือดวงดาว

พระคำของพระเจ้าใน ปฐก. 1:26-28 และพระเจ้าตรัสว่า "จงให้พวกเราสร้างมนุษย์ตามแบบฉายาของพวกเรา ตามอย่างพวกเรา และให้พวกเขาครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และสัตว์ใช้งาน ให้ครอบครองทั่วทั้งแผ่นดินโลก และบรรดาสัตว์เลื้อยคลานที่คลานไปมาบนแผ่นดินโลก"ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายาของพระองค์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบพระฉายาของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิงพระเจ้าได้ทรงอวยพรพวกเขา และพระเจ้าตรัสแก่พวกเขาว่า "จงมีลูกดกและทวีมากขึ้น จนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดินนั้น และครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และบรรดาสัตว์ที่มีชีวิตที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินโลก"

สดด.8:4-6 “มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรมนุษย์เป็นผู้ใดซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเยียนเขาเพราะพระองค์ทรงทำให้เขาต่ำกว่าพวกทูตสวรรค์แต่หน่อยเดียว และทรงประทานสง่าราศีกับเกียรติเป็นมงกุฎให้แก่เขาพระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา”

พระคำของพระเจ้าใน สดด.8:4-6 พูดกับเราอย่างชัดเจนว่า พระเจ้านั้นทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้อยู่ต่ำกว่าฑูตสวรรค์เพียงหน่อยเดียวใน ปฐก.1:26-28 ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงให้เรานั้นปกครองหรืออยู่เหนือในทุกๆสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา แต่มนุษย์จำนวนมากชอบทำตัวอยู่ภายใต้ดวงกับดาว

ดังนั้นจึงไม่แปลกพี่น้องที่รัก ที่ในทุกวันนี้ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ Magazine, Internet รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ทั้งอุปโภคบริโภคจึงมีเรื่องของกิจพยากรณ์เต็มไปหมด ซึ่งนั่นเป็นกิจการของ มาร ซาตาน ผีชั่ววิญญาณร้าย

ซึ่งถ้าเราเอาตัวของเราไปอยู่ภายใต้มัน มันก็จะทำให้มนุษย์นั้นไปถึงดวงดาวได้เหมือนกัน แต่ดาวคำนี้สะกดด้วย Down แปลว่า (1)ตกต่ำลง (2)อ่อนแอลง (3)ทำให้เข้าใจไม่ถูกต้องนั่นเอง

เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลก ที่คนไทยทำไมครับ ?

  1. จะออกรถสักคนก็ต้องไปดูฤกษ์ดูยาม แล้วมันไปดูกันอย่างไง ทำไมให้ Finance ยึดเอาไปได้
  2. จะแต่งงานกันทีก็ต้องไปหาพระหาเจ้า แล้วมันไปหากันอย่างไรอัตราการหย่าร้างในประเทศไทยถึงสูงเกือบ 50%
  3. จะเข้ารับตำแหน่งก็ต้องไปปรึกษาซินแซเพื่อปรับฮวงจุ้ยหรือจะตัดสินใจในเรื่องที่สำคัญก็ต้องพากันไปหาหมอดู ET

ซึ่งตรงกันข้ามกับประเทศที่เชื่อในพระเจ้า

พี่น้องเคยเห็นเขาไปหาฤกษ์หายามที่ไหนไหมครับ ? ก่อนที่เขาจะส่งยานอวกาศขึ้นไปนอกโลก

พี่น้องเคยเห็นเขาไปบวงสรวงที่ไหนก่อนไหมครับ ? ก่อนที่เขาจะเปิดกล้องถ่ายภาพยนตร์ Holly Wood สักเรื่องหนึ่ง

                พี่น้องเคยเห็นนักการเมืองอเมริกันคนไหนไหมครับ ? ที่ก่อนที่พวกเขาจะเข้ารับตำแหน่งแล้วสั่งให้พวกหมอดูไปดูทิศดูทางให้

ดังนั้นขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจด้วยว่า คำว่า “ดาว” คำนี้สะกดด้วย Down แปลว่า (1) ตกต่ำลง (2) อ่อนแอลง (3) ทำให้เข้าใจไม่ถูกต้อง

ดังนั้นพระคำของพระเจ้าใน คลส.2:16-19 จึงได้กล่าวเตือนเราเอาไว้ว่า “เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกินการดื่ม ในเรื่องการถือเทศกาล วันขึ้นหนึ่งค่ำ หรือวันสะบาโตสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระคริสต์จงหลีกเลี่ยงหลักการฝ่ายโลกอย่าให้ผู้ใดโกงบำเหน็จของท่านด้วยการจงใจถ่อมตัวลงและกราบไหว้ทูตสวรรค์ ใฝ่ฝันในสิ่งเหล่านั้นที่เขาไม่ได้เห็น ผยองขึ้นเปล่าๆตามความคิดของเนื้อหนังและไม่ได้ยึดมั่นในพระองค์ผู้ทรงเป็นศีรษะ ศีรษะนั้นเป็นเหตุให้กายทั้งหมดได้รับการบำรุงเลี้ยงและติดต่อกันด้วยข้อและเอ็นต่างๆ จึงได้เจริญขึ้นตามที่พระเจ้าทรงโปรดให้เจริญขึ้นนั้น”

พระคำของพระเจ้าจึงได้กล่าวเตือนเราเอาไว้ว่า ดวงดาวไม่สามารถที่จะมีส่วนในการกำหนดชีวิตของเราได้ แต่การมีพระเจ้าอยู่ในชีวิตอีกทั้งการดำเนินชีวิตหรือการลงมือทำในแนวคิดของพระเจ้านั้นต่างหากที่จะทำให้ชีวิตของเรานั้นสูงขึ้นรวมทั้งเป็นประโยชน์หรือเป็นพระพรต่อผู้อื่นได้

บางคนอาจจะมีคำถาม ถามว่าอาจารย์ครับแล้วทำไมคนที่เขาไม่เชื่อพระเจ้าบางคนถึงสูงขึ้นได้

คำตอบก็คือ เพราะสติปัญญานำเขาไปสู่ความสำเร็จ นำเขาไปสู่ทางที่สูงขึ้น แต่ถ้าการสูงขึ้นของเขานั้นเพียงเพื่อประโยชน์ของตนเองแต่ฝ่ายเดียวโดยไม่ได้เป็นประโยชน์กับผู้อื่นหรือเป็นพระพรกับผู้อื่น

ในทางของพระเจ้าแล้วนั่นก็คือ การสูงขึ้นแต่ไม่ถึงความเป็นประโยชน์นั้นคือความสำเร็จที่ไม่ถึงฝั่ง เพราะฉะนั้นขอให้เราสูงขึ้นเท่าที่เราจะสูงได้เพื่อที่เราจะเป็นประโยชน์หรือเป็นพระพรต่อผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้และนั่นคือความสำเร็จที่ถึงฝั่งในสายพระเนตรของพระเจ้า

Green City