วิญญาณแห่งการขอบพระคุณ

วิญญาณแห่งการขอบพระคุณ

   ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้า จากพระธรรม ลก.17:11 - 19 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ลก.17:11 - 19 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และข้อพระคัมภีร์ที่จะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ในข้อที่ 17 - 18 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังอีกครั้งหนึ่งเชิญครับและผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า วิญญาณแห่งการขอบพระคุณ ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

   มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ซึ่งเขาได้มีการเล่าขานกันอย่างนี้ครับว่า ในสมรภูมิรบแห่งหนึ่งซึ่งกำลังมีการปะทะกันอย่างดุเดือด มีพลทหารคนหนึ่งถูกยิงและได้รับบาดเจ็บสาหัส  ผู้พันทหารจึงได้สั่งการทางวิทยุสื่อสารให้เฮลิคอปเตอร์ บินมารับทหารที่บาดเจ็บ

   พอเฮลิคอปเตอร์แตะพื้นดิน ท่านผู้พันก็ได้อุ้มพลทหารไปถึงที่เฮลิคอปเตอร์พอดี ข่าวดีก็คือว่าพลทหารคนนั้นรอด  ข่าวร้ายก็คือผู้พันนั้นถูกยิงระหว่างอุ้มพลทหารขึ้นเฮลิคอปเตอร์และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

   อยู่มาวันหนึ่งคุณแม่ของผู้พันทราบข่าวว่า พลทหารที่ลูกชายของเขาได้ช่วยให้รอดชีวิตไว้ในวันนั้นได้ย้ายมาอยู่ใกล้ๆบ้าน  เขาจึงอยากที่จะเห็นหน้าของผู้ชายคนนี้  คุณแม่ของผู้พันท่านนี้จึงเชิญพลทหารคนนี้มารับประทานอาหารที่บ้านร่วมกัน

   พอรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว พลทหารคนนี้ก็ขอตัวกลับบ้าน  พอพลทหารคนนี้ใกล้ที่ออกจากประตูบ้าน คุณแม่ของผู้พันก็ได้ร้องไห้ออกมา แล้วก็พูดขึ้นว่าคนอะไรใจดำเหลือเกิน ขนาดลูกฉันเป็นนายพันยอมที่จะตายแทนเธอแท้ๆ เธอไม่เคยคิดที่จะขอบคุณเขาผ่านฉันสักคำ เธอนะใจดำมากใจดำจริงๆ

   จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร  ?

   เราพบว่าขณะที่พระองค์เสด็จเลียบแคว้นสะมาเรียครั้งสุดท้ายนั้น  พระองค์ก็ได้เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง  พระองค์ทรงเห็นคนโรคเรื้อนหรือคนที่เป็นโรคผิวหนังขั้นร้ายแรงนั้นเกาะกลุ่มรวมกันอยู่ 10 คน ซึ่งในสมัยก่อนคนที่เป็นโรคเรื้อนนั้น เขาเป็นคนที่เข้าสังคมไม่ได้ 

   ดังนั้นถ้าคนโรคเรื้อนเดินไปตามถนนหนทาง หรือไม่ว่าพวกเขาจะเดินไปที่ไหนก็ตาม พวกเขาจะต้องเอามือป้องปากแล้วร้องว่า ไม่สะอาดๆหรือมลทินๆ พอเขาร้องว่า ไม่สะอาดๆหรือมลทินๆ  เท่านั้นละ

   พี่น้องลองนึกภาพดูซิครับว่า คนที่เดินอยู่ตามตามถนนหนทางอยู่ดีๆนั้น พวกเขาจะแสดงอาการออกมาอย่างไร  พวกเขาก็คงจะรีบหนีกันไปคนละทิศ คนละทาง พี่น้องว่าอย่างนั้นไหม

   ดังนั้นคนที่เป็นโรคเรื้อนในสมัยขององค์พระเยซูคริสต์ จึงถูกประณามว่าเป็นคนสกปรก  เป็นคนที่สังคมรังเกียจ  เป็นคนที่สังคมไม่ต้องการ  ซึ่งสังคมชาวยิวในเวลานั้นถือว่าคนที่เป็นโรคเรื้อนเป็นเสมือนคนที่ตายแล้ว

   เมื่อคนโรคเรื้อนทั้ง 10 คนเห็นพระเยซูและเขาก็ได้ยินถึงกิตติศัพท์ในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ พวกเขาจึงเข้ามาหาพระองค์แต่พวกเขายืนอยู่ห่างๆ  แล้วร้องตะโกนด้วยเสียงที่ดัง  เพื่อให้พระเยซูทรงเมตตาแก่พวกเขา พระคำของพระเจ้าได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า

   องค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่ได้รักษาพวกเขาโดยการอธิษฐานวางมือ และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ไม่ได้ทรงสัญญาว่าจะรักษาพวกเขาให้หาย  สิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำนั่นก็คือเพียงแค่ตรัสหรือพูดแก่พวกเขาว่า ให้คนที่เป็นโรคเรื้อนทั้ง 10 คนนั้นไปหานักบวชหรือไปหาปุโรหิตย์ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาของชาวยิวในเวลานั้น  ซึ่งคนที่หายโรคแล้วเท่านั้น จึงจะไปหาปุโรหิตย์เพื่อตรวจสอบการหายโรคและขอการรับรองจากปุโรหิตย์ได้  ฉากจบของพระคัมภีร์ในตอนนี้ ทุกคนต่างทราบกันเป็นอย่างดีว่าทั้ง 10 คนนั้นหายจากการเป็นโรคเรื้อน

   คำถามก็คือว่า พวกเขาหายจากการเป็นโรคเรื้อนในเวลาใด

   คำตอบก็คือ การอัศจรรย์แห่งการหายโรคเกิดขึ้นตั้งแต่ก้าวแรกที่พวกเขาได้ก้าวออกไปด้วยความเชื่อในคำตรัสหรือคำพูดของพระเยซู

   สิ่งที่เหมือนฝันคือ การหายจากโรคเรื้อนได้เกิดขึ้นในบัดดล ในขณะที่พวกเขาได้ก้าวออกไปด้วยความเชื่อในคำตรัสหรือคำพูดของพระเยซู

   พี่น้องที่รักครับ เมื่อทั้ง 10 คนไปหาปุโรหิตย์ปรากฏว่าโรคเรื้อนที่พวกเขาเป็นอยู่นั้นได้หายสนิท ปุโรหิตย์จึงให้การรับรองแก่พวกเขาในทันที  ซึ่งในปัจจุบันนี้นั่นก็คือ ใบรับรองแพทย์นั่นเอง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับพวกเขา เพราะนั่นหมายความว่า  จากนี้ต่อไปทั้ง 10 คนสามารถที่จะ

   1 ) เข้าไปสู่สังคมได้ตามปกติ 2 ) เข้าทำงานได้เหมือนคนทั่วๆไป

   3) จากนี้ต่อไปคนโรคเรื้อนทั้ง 10 คน ไม่ต้องใช้ผ้าคลุมหน้าอีกต่อไปเพราะเขาหายแล้ว

   4)จากนี้ต่อไปทั้ง 10 คน หน้าตาไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมาอีกต่อไป

   5) จากนี้ต่อไปทั้ง 10 คนสามารถที่จะกลับไปมีความสัมพันธ์หรือทำกิจกรรมกับชุมชนได้ตามเดิม

   เพียง 1 คนหรือ 9 คน ครับพี่น้องที่รัก  ที่ได้รับประโยชน์จากคำตรัสหรือคำพูดของพระเยซู ? พวกเขาทั้ง 10 คน ต่างได้รับประโยชน์หรือต่างได้รับพระพรจากคำตรัสของพระเยซู

   แต่ในพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ก็ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า แต่มีหญิงชาวสะมาเรีย (ซึ่งชาวยิวถือว่าชาวสะมาเรียนั้นเป็นคนต่างชาติ) แต่มีหญิงชาวสะมาเรียเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้กลับมาและเข้ามากราบที่ใกล้แทบพระบาทของพระเยซู

   ก่อนที่พี่น้องจะมาเชื่อพระเจ้านั้น พอเวลาที่พี่น้องได้ทำคุณหรือได้ทำประโยชน์ให้กับใครก็ตาม แล้วถ้าเขากับทำเฉยๆกับพี่น้อง ไม่มาแม้กระทั่งที่จะขอบคุณพี่น้องเลยสักคำ  พี่น้องรู้สึกอย่างไรครับ ? เรามีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่กับคนๆนั้น

   พี่น้องที่รักครับ การขอบคุณผู้มีพระคุณนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งความเป็นไทย  เพราะฉะนั้นพี่น้องอย่าได้ทำลายเอกลักษณ์ของความเป็นไทยโดยเป็นคนที่พูดขอบคุณใครไม่เป็น

   ฝ่ายพระเยซูตรัสถามว่า  มีสิบคนที่หายจากโรคมิใช่หรือ แล้วอีกเก้าคนอยู่ที่ไหน  ไม่มีใครมาขอบคุณเราเลยนอกจากคนต่างชาติคนนี้

   พี่น้องที่รักครับ คำตรัสหรือคำพูดของพระเยซูคำนี้ มิได้หมายความว่า พระองค์ทรงน้อยพระทัยมนุษย์หรือน้อยใจเรา แต่น่าจะเป็นคำตรัสหรือคำพูดที่พระองค์ทรงเตือนเรามากกว่า เตือนเราว่ามิใช่เพียงแค่มนุษย์ธรรมดาๆเท่านั้นนะ ที่ต้องการคำขอบคุณต่อมนุษย์ด้วยกัน แต่องค์พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ก็ทรงสนพระทัยหรือทรงสนใจในการขอบคุณของเราด้วย    และการที่พระองค์ทรงตรัสอย่างนี้กับหญิงชาวสะมาเรียนั่นก็แสดงว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากหรือน้อยครับ ?

   สดด.92:1 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เป็นการดีที่พวกเราจะโมทนาพระคุณพระเจ้า

   อฟซ.5:20 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงขอบพระคุณพระเจ้า คือ พระบิดาสำหรับสิ่งสารพัดเสมอในพระนามของพระเยซูคริสต์พระเจ้าของเรา

   1ธสก.5:18 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย

   ดังนั้นถ้าพี่น้องได้อ่านพระคำของพระเจ้า ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ พี่น้องก็จะพบคำสอนที่ว่าให้ผู้เชื่อทั้งหลายนั้นเรียนรู้ที่จะเป็นคนที่ขอบพระคุณพระเจ้าได้อยู่โดยตลอด

   พี่น้องทราบไหมครับว่า คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั้นเมื่อเขาจะต้องประสบกับความยากลำบาก และถ้าเราแนะนำให้เขาขอบคุณอะไรสักอย่างในเวลานั้น  พี่น้องทราบไหมครับว่า พวกเขาจะงงๆกับพี่น้องหรือเขาคงจะคิดว่าพี่น้องนั้นเพี้ยนไปแล้ว

   เพราะอะไรที่เขาคิดอย่างนั้น เพราะมันเป็นสิ่งที่ยากมากๆที่เขาจะขอบคุณอะไรสักอย่างได้ในเวลานั้น พี่น้องว่าจริงหรือไม่จริง ?   

   แต่พอเขาเห็นคริสเตียนมีความทุกข์ และคริสเตียนสามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ในเวลาอย่างนั้น เขาจึงรู้สึกแปลกใจมาก เขาจึงพากันพูดว่า เออ..ศาสนาขอบคุณพระเจ้า ซึ่งผู้เชื่อใหม่หลายคนไม่เข้าใจ  พากันไปโกรธเขา  หาว่าเขาล้อเรียนเรา

   แท้จรองเราไม่ต้องไปโกรธเขา เพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ผิดและเป็นความจริง  เพราะศาสนาคริสต์นั้นเป็นศาสนาแห่งการขอบพระคุณพระเจ้าอย่างแท้จริง

   และเมื่อเราขอบคุณพระเจ้าผู้มีพระคุณแก่เราอยู่โดยตลอด วิญญาณแห่งการขอบพระคุณพระเจ้าจะสถิตอยู่กับผู้เชื่อโดยอัตโนมัติ และวิญญาณนี้เองที่ทำให้จิตใจของเรานั้น อยากที่จะขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอไป และนี่เป็นเอกลักษณ์ของความเป็นคริสเตียนหรือความบุตรของพระเจ้า

   ฝ่ายพระเยซูตรัสถามว่า  มีสิบคนที่หายจากโรคมิใช่หรือแล้วอีกเก้าคนอยู่ที่ไหน ไม่มีใครมาขอบคุณเราเลยนอกจากคนต่างชาติคนนี้

   พี่น้องที่รัก การขอบคุณนั้นมันต้องลงทุนอะไรมากไหมครับ มันต้องจ่ายอะไรมากไหมครับ  ต้องเสียอะไรมากไหมครับ ?  ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องเสียอะไร แต่ทั้ง 9 คนก็ไม่กลับมาขอบคุณ  คำถามคือว่า พระคำของพระเจ้าตอนนี้สอนอะไรกับเรา

   ส่วนมากมนุษย์มักจะเข้ามาหาพระเจ้าในระดับที่ลึกซึ้ง ในระดับที่ใกล้ชิด ติดสนิทอยู่กับพระเจ้านานๆในเวลาไหนครับ ?  ในยามที่เขามีปัญหา แต่เมื่อคราวที่หมดปัญหา หลายคนลืมหรือหลายคนอาจจะไม่ลืม แต่ไม่มีเวลาแม้กระทั่งที่จะกลับมาใช้เวลาเพื่อที่จะขอบคุณพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่คนในยุคโลกาภิวัตน์จำนวนมากกำลังปฏิบัติต่อพระของเขา  ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนโรคเรื้อน 9 คนนี้

   ปัจจุบันส่วนมากลูกจะอยู่ติดบ้านอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา  พ่อ แม่ ลูกตอนไหนครับ

ตอนที่ลูกออกไปสร้างเรื่องเอาไว้และถูกคาดโทษจากชาวบ้านเอาไว้  ช่วงเวลานั้นเขาจะใกล้ชิด ติดสนิทอยู่กับพ่อกับแม่ นานเป็นพิเศษ

   หรือลูกจะพูดดีเป็นพิเศษกับพ่อ กับแม่ตอนไหนครับ  ตอนที่เขาเดือดร้อน  ต้องการให้ช่วยเหลือในบางสิ่งบางอย่าง ช่วงนั้นก็อาจจะมาเยี่ยมพ่อ เยี่ยมแม่บ่อยหน่อย  เพราะมีเป้าหมายหรือมีวัตถุประสงค์ที่ซ่อนอยู่ อาจจะเป็นเพราะพ่อแม่กำลังคิดจะแบ่งสมบัติให้กับลูกหรือจะอะไรก็ตาม

   แต่เมื่อคราวที่หมดปัญหาหรือได้บางสิ่งบางอย่างดังที่ใจปรารถนา ลูกหลายคนเริ่มที่จะอยู่บ้านไม่ติด  ลูกหลายคนห่างหายจากการเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่  ที่สำคัญลูกหลายคนลืมที่จะขอบคุณพ่อแม่ และนี่คือสิ่งที่ลูกๆในยุคโลกาภิวัตน์ กำลังปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเขา ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนโรคเรื้อน 9 คนนี้

   น้องเลี้ยงหลายคนมีปัญหาเดี๋ยวโทรมาฝากอธิษฐานเผื่อนู่น ฝากอธิษฐานเผื่อนี่ ขอให้ อ.ดา ช่วยหนุนใจหนูหน่อย แต่เมื่อคราวหมดปัญหา  น้องเลี้ยงหลายคนจึงลืมที่จะขอบคุณพี่เลี้ยงซึ่งทำงานหนักมากในการอภิบาลฝ่ายจิตวิญญาณเพื่อให้คุณนั้นเติบโตในทางของพระเจ้า

   หลายคนไม่เคยแม้กระทั่งที่จะขอบคุณพี่เลี้ยงในฝ่ายวิญญาณ ที่ช่วยเสริมสร้างคุณให้เติบโตในทางของพระเจ้าอย่างเป็นทางการในขวบปีที่ผ่านมา หลายคนไม่เคยแม้กระทั่งที่จะจับมือขออธิษฐานเผื่อพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณของคุณเลยตั้งแต่นำรับเชื่อมาจนถึงวันนี้

   ในเมืองแคมบริดท์ประเทศอังกฤษมีโบสถ์แห่งหนึ่ง  พรมเช็ดเท้าที่วางไว้หน้าประตูโบสถ์เขียนว่า Think and Thank แปลว่า  ใคร่ครวญและขอบคุณ ว่าไปแล้วคำ 2 คำนี้มาจากรากศัพท์เดียวกันคือ คนที่รู้จักคิดมักเป็นคนที่รู้จักขอบคุณ

   คำถามของผมก็คือว่า เป็นไปได้ไหมครับว่า คนในสมัยนี้โดยส่วนมาก ได้สูญเสียความคิดที่จะขอบคุณไปในระดับหนึ่งแล้ว

    1)มนุษย์จึงเรียนรู้เพื่อที่จะเป็นผู้รับมากกว่าจะเป็นผู้ให้ 

    2)มนุษย์จึงคล่องในการที่จะรับสิ่งดีๆทุกอย่างจากคนอื่นและนี่คือสิ่งที่คนจำนวนมากในยุคนี้กำลังปฏิบัติต่อกัน

  ผมอยากที่จะหนุนใจท่านทั้งหลายในเช้าวันนี้ว่า

    1)อย่าให้เราปฏิบัติต่อพระเจ้าที่เที่ยงแท้ของเราเหมือนอย่างคนต่างชาติที่เขากำลังทำต่อพระของเขาอยู่ในเวลานี้ 

    2)อย่าให้เราปฏิบัติต่อพ่อแม่ บุพการีของเราเหมือนกับลูกๆในยุคนี้

    3)อย่าให้เราปฏิบัติต่อกันและกันโดยคิดถึงแต่ตนเองฝ่ายเดียว หรือคิดถึงตัวเองจนมากเกินไป

   ฝ่ายพระเยซูตรัสว่ามีสิบคนที่หายจากโรคมิใช่หรือแล้วอีกเก้าคนอยู่ที่ไหน  ไม่มีใครมาขอบคุณเราเลยนอกจากคนต่างชาติคนนี้

   พี่น้องเคยคิดไหมครับว่าเพราะอะไรหรือทำไม 9 คนนั้นนี้ถึงไม่กลับมาขอบคุณพระเจ้า

   อาจจะเป็นไปได้ไหมครับที่ทั้ง 9 คนนี้พอเขาเป็นคนที่สะอาดแล้วหรือหายจากการเป็นโรคเรื้อนแล้วได้รับประกาศนียบัตรหรือใบรับรองจากนักบวชหรือปุโรหิตย์แล้วพวกเขาลืมที่จะคิดถึงพระคุณของพระเจ้าไปเลย  เป็นไปได้ไหมครับพี่น้อง ? 

   เป็นไปได้ที่รับแล้วลืม  ซึ่งนั่นมิได้หมายความว่าทั้ง 9 คนนั้น ไม่กตัญญูรู้คุณนะครับ เพียงแต่เขาอาจจะลืมคิดในเรื่องนี้ไป และบางทีเราเองก็เป็นเหมือนกับ 9 คนนี้แหละที่รับแล้วลืม  ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่าอย่าเป็นคนที่รับแล้วลืม

   สดด.103:2 ตรัสดังนี้ว่า บอกกับเราว่าจิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้าและอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์

พี่น้องเคยคิดไหมครับว่า  เพราะอะไรหรือทำไม 9 คนนั้นถึงไม่กลับมาขอบคุณพระเจ้า

   อาจจะเป็นเพราะทั้ง 9  คนนี้ เขาไม่รู้สึกว่าเขาจะต้องมีหน้าที่ๆจะต้องกลับมาขอบคุณใคร หรือบางที่เขาอาจจะกลัวว่าเมื่อเขากลับมาแล้ว  เขาอาจจะเจอหน้าที่บางอย่าง ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าอาจจะขอร้องให้พวกเขาทำเพื่อพระองค์ หรือเพื่อคนอื่นๆก็เป็นได้  เพราะในหนังสือพระกิตติคุณนั้นพระเยซูมักจะให้คนที่หายโรค ทำอะไรบางอย่างเพื่อพระองค์หรือเพื่อคนอื่นเสมอ 

   ดังนั้นเมื่อคนมีพระคุณ เช่น องค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่ทรงรักษาโรคเขาให้หายมาขอร้องพวกเขาด้วยพระองค์เอง  บางทีก็เป็นการยากที่พวกเขาจะขัดขืนหรือปฏิเสธ  พวกเขาก็เลยไม่กลับมาเสียดีกว่า 

   พี่น้องเคยคิดไหมครับว่า เพราะอะไรหรือทำไม 9 คนนี้ ถึงไม่กลับมาขอบคุณพระเจ้า

   ทั้งนี้อาจเป็นเพราะทั้ง 9 คนนี้ เป็นโรคเรื้อนมานาน ทำให้พวกเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยได้สุงสิงหรือยุ่งเกี่ยวกับใคร เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนหลีกทางให้  ขอใครๆก็ให้กินให้ใช้ เพื่อให้พวกเขาไปให้พ้นๆ หรือไปให้ไกลๆ

   คนพวกนี้จึงเรียนรู้ที่จะรับจนเคยชิน จนกลายเป็นคนที่มีนิสัยที่เห็นแก่ตัวเป็นไปได้ไหมครับ ? ดังนั้นเมื่อเขาหายดีแล้ว กลับเข้าสู่สังคมได้ตามปกติแล้ว เขาจึงลืมไปว่า ผลประโยชน์ทุกอย่างนั้นในสังคมนั้นมันจะต้องผูกพันกับบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องปฏิบัติตอบแทนเสมอโดยเฉพาะสังคมในยุคปัจจุบันที่มนุษย์นั้นเห็นเงินเป็นพระเจ้า

   เช่นเดียวกันกับผลประโยชน์หรือพระพรฝ่ายวิญญาณ ที่ได้มีการผูกพันบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นหน้าที่ๆผู้เชื่อทุกคนจะต้องปฏิบัติ เพื่อเป็นการตอบแทนองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  นั่นก็คือการโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า

เพราะฉะนั้นเมื่อพี่น้องหายดีแล้ว กลับคืนสู่สภาพที่ดีแล้ว พระเจ้าตอบคำอธิษฐานของพี่น้องแล้ว  อย่าให้พี่น้องเป็นเหมือนกับ 9 คนนี้ ที่เรียนรู้ที่จะรับจนเคยชินจนกระทั่งรู้สึกว่าไม่มีหน้าที่ๆพวกเขาจะต้องขอบคุณใครแม้กระทั่งพระเจ้า

   พี่น้องเคยคิดไหมครับว่า เพราะอะไรหรือทำไม 9 คนนี้ ถึงไม่กลับมาขอบคุณพระเจ้า

   เพราะตอนที่พวกเขาเป็นคนโรคเรื้อนหรือเป็นคนที่สกปรกอยู่นั้น  พวกเขาต้องไปอยู่ที่พวกคนโรคเรื้อนนั้นอยู่กัน เหมือนคนที่เป็นโรค Aids อยู่ในเวลานี้  ที่ไม่สามารถพักอาศัยอยู่ในบ้านเหมือนกับคนปกติได้ 

   ดังนั้นเมื่อเขาหายแล้วเขาอยากกลับบ้าน  เขาอยากจะเจอกับญาติพี่น้องของเขา  เขาอยากจะเจอกับคนที่เขารัก  ความคิดจิปาถะเหล่านี้มันได้ครอบครองและครอบงำเขาอยู่  จนทำให้เขาลืมทำในสิ่งที่เขาควรจะทำ นั่นก็คือ การที่กลับมาขอบพระคุณพระเจ้าหรือขอบคุณผู้มีพระคุณ

   มีเรื่องเล่าว่า มีชายคนหนึ่งซึ่งได้รับพระคุณอันซ้อนพระคุณอันซ้อนพระคุณของพระเจ้ามาโดยตลอดแต่เขาไม่เคยคิดที่จะขอบคุณพระเจ้าและไม่เคยคิดที่จะขอบคุณต่อผู้มีพระคุณ

   วันหนึ่งชายคนนี้เขาได้ยินถ้อยคำหนึ่งแว่วเข้ามาที่หูของเขาว่า  อีก 9 คนไปไหนเสีย ชายคนนี้จึงไปถามผู้มีพระคุณแก่เขาว่ามันแปลความหรือมีความหมายว่าอย่างไรครับ

ผู้มีพระคุณแก่ชายคนนี้จึงได้แปลความหมายให้เขาฟังว่า   ความกตัญญูของคุณยังครบถ้วนสมบูรณ์ดีอยู่ หรือความหมายอีกนัยยะหนึ่งก็คือ ความเป็นคริสเตียนที่ดีของคุณยังครบถ้วนดีอยู่หรือไม่

   พี่น้องที่รักครับยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้เดินเข้ามาสู่เรามากขึ้นในทุกที ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่สภาพอากาศ ภาวะโลกร้อน แหล่งพลังงาน เศรษฐกิจ การเมืองและอื่นๆที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่เปลี่ยนแปรไป แม้กระทั่งการไหว้หรือการขอบคุณผู้มีพระคุณในสังคมก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 

   สมัยก่อนเด็กไหว้ผู้ใหญ่โดยไม่ต้องบอก 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ พ่อแม่ , ผู้ปกครองต้องคอยถามเด็กว่า หวัดดีคุณลุง คุณป้าแล้วหรือยัง เด็กมันถึงทำไมครับ ? เด็กมันถึงจะยกมือไหว้ พี่น้องว่าจริงหรือไม่จริง ?

   และในปัจจุบันนี้ผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ที่จะต้องสวัสดีเด็กก่อนพี่น้องเคยเห็นไหมครับ 

   สมัยก่อนผมเห็นคนที่ร่ำรวยมาก คนที่มีมากจะขอบคุณน้อยเพราะหยิ่ง ส่วนคนที่มีน้อยนั้นจะขอบคุณมากเพราะมีน้อย 

   10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ผมเห็นอย่างนี้ครับ ผมเห็นว่าคนที่มีมากจะขอบคุณมากเพื่อที่เขาจะมีมากขึ้น ส่วนคนที่มีน้อยจะขอบคุณน้อย เพราะดูโดมผู้จองหองมากไปหน่อย เลยได้นิสัยแย่จากละครติดตัวมาด้วย นั่นก็คือจนแล้วยังจะหยิ่งอีก  ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนโรคเรื้อนทั้ง 9 คน ที่พระเยซูเพิ่งรักษาให้หาย  เสื้อผ้าก็ยังใส่ชุดเดิมอยู่เลยแต่หยิ่งที่จะกลับไปขอบคุณผู้มีพระคุณ

   ดังนั้นพี่น้อง อย่าได้ให้วิญญาณแห่งความคิดจิปาถะต่างๆเหล่านี้ได้ครอบครองและครอบงำพี่น้อง เหมือนกับที่มันได้ครอบครองและครอบงำคนโรคเรื้อน ที่หายจากโรคทั้ง 9 คนนี้เอาไว้ จนทำให้เราลืมที่จะกลับมาถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการโมทนาขอบพระคุณพระองค์

   ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ด้วยเรื่องเล่าของ ดร.แซงสเตอร์

   ดร.แซงสเตอร์เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งท่านได้รับเชิญให้ไปเทศนาที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง ซึ่งตัวท่านเองก็ไม่เคยไปเทศนาที่นั่นมาก่อนเลย

   เมื่อถูกเชิญให้ไปนั่งอยู่บนเวที  ผู้ปกครองของคริสตจักรแห่งนั้นคนหนึ่งก็มาบอกท่านว่า

   คนที่นั่งอยู่แถวหน้าทั้งหมดนั้นเป็นคนตาบอด พวกเขามาจากโรงเรียนสอนคนตาบอดในเมือง 

   ดร.แซงสเตอร์ ก็เลยบอกให้ผู้ปกครองคนนั้นไปว่า ให้ไปปรึกษาหารือกับบรรดาคนตาบอดเหล่านั้นดูว่า  พวกเขาปรารถนาที่จะเลือกร้องเพลงนมัสการเพลงใด เมื่อตอนที่นักเทศน์ได้เทศนาจบแล้ว

   ดร.แซงสเตอร์ ก็คิดอยู่ในใจว่าเพลงใดหนอ ที่นักเรียนตาบอดพวกนี้อยากร้อง  น่าจะเป็นเพลงนี้นะหรือไม่ก็อาจจะเป็นเพลงนี้  แต่ผู้ปกครองคนนั้นกลับมาบอกว่า เพลงที่พวกเขาปรารถนาที่อยากจะร้อง นั่นก็คือเพลง Give Thanks หรือเพลงขอบพระคุณด้วยใจกตัญญู 

   พี่น้องที่รักครับ  แม้ตาของพวกเขาจะบอด แต่พวกเขาก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้า อีกทั้งสำนึกในหน้าที่ของการเป็นคริสตชนที่ดี นั่นก็คือ ด้วยการโมทนาขอบและพระคุณพระเจ้า

   พี่น้องและผมซึ่งตาไม่บอด อีกทั้งต่างได้รับประโยชน์หรือได้รับพระพรและสิ่งดีๆจากพระหัตถ์ของพระเจ้า หรือไม่ก็ได้รับผ่านทางคริสตจักรของพระองค์ และหรือไม่ก็ได้รับสิ่งดีผ่านทางพี่น้องในคริสตจักรมามากต่อมาก ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่ตามองไม่เห็น และพี่น้องกับผมก็ยังคงที่จะได้รับสิ่งต่างๆเหล่านี้ต่อไปจนกว่าพระเจ้าจะรับพี่น้องจากไปอยู่กับพระเจ้า

   ดังนั้นให้เราทั้งหลายได้ประพฤติและปฏิบัติตาม  ตามผู้ที่เขียนพระธรรมสดุดีได้เขียนเอาไว้ถึง 25 ครั้งหรือ 25 ข้อนั่นก็คือ ให้เราควรที่จะขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอด้วยเช่นกัน

   ส่วน อ.เปาโล ก็ได้สอนเราทั้งหลายเอาไว้ใน 2คร.9:15 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า จงขอบพระคุณพระเจ้า เพราะของประทานซึ่งพระองค์ทรงประทานนั้นที่เหลือจะพรรณนาได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า ความดีของพระเจ้านั้น มนุษย์ไม่สามารถที่จะสรรหาคำพูดใดมาพรรณนาได้หมด อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่าภาษาของมนุษย์ที่มีอยู่ในเวลานี้ทั้งหมดไม่สามารถที่จะบรรยายถึงความดีของพระเจ้าได้  ซึ่งนั่นเป็นความจริง 

   พระคำของพระเจ้า ฮบ.13:15 ตรัสดังนี้ว่า เหตุฉะนั้นให้เราถวายคำสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าตลอดไป โดยทางพระองค์นั้นคือ คำกล่าวยอมรับเชื่อพระนามของพระองค์ ซึ่งนั่นหมายความว่า หน้าที่ของเรายังคงต้องพรรณนาขอบคุณพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาเสมอ

   สรุป

   พระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้บอกกับเราว่า อย่าเป็นคนใจดำที่ไม่รู้จักขอบคุณพระเจ้าหรือไม่รู้จักขอบคุณผู้มีพระคุณและให้เราขอบคุณพระเจ้าและขอบคุณผู้มีพระคุณด้วยความจริงใจ และเราจะตอบสนองคำเทศนาในเช้าวันนี้ ด้วยการนมัสการพระเจ้าด้วยบทเพลง  Give Thanks และในระหว่างที่ดนตรีบรรเลงให้พี่น้องได้ลุกขึ้นและเดินไปขอบคุณใครอย่างน้อยที่สุดสักคนหนึ่งในเช้าวันนี้ขอพระเจ้าอำนวยพระพรครับ 

Green City