ฤทธิ์อำนาจของการอวยพร

   คำเทศนาเรื่อง ฤทธิ์อำนาจของการอวยพร

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรม ปฐก.1:22 “พระเจ้าจึงอวยพระพรแก่สัตว์เหล่านั้นว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้น จนเต็มน้ำในทะเลและให้นกทวีมากขึ้นบนแผ่นดินโลก” ปฐก.1:28 “พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดินจงครอบครองฝูงปลาในทะเลและฝูงนกในอากาศกับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน” ปฐก.2:3 พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ดทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวงที่พระองค์ทรงกระทำในการเนรมิตสร้าง”สดด.33:12“ประชาชาติที่พระเจ้าของเขาคือ พระเยโฮวาห์ ก็เป็นสุข คือ ชนชาติซ฿งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้เป็นมรดกของพระองค์”

พี่น้องที่รักครับ เทศกาลคริสตมาสและปีใหม่ของผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั้นในเทศกาลนี้ได้ชื่อว่าเป็นช่วงเวลา 1) แห่งความสุข 2) แห่งความชื่นชมยินดี 3) แห่งการเฉลิมฉลอง 4) แห่งการให้ และ 5) ได้ชื่อว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการอวยพร

แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือสำหรับผู้ที่เป็นคริสตชนทั้งหลายนั้น ในเทศกาลดังกล่าวนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาแห่งความสุขเพียงแค่ธรรมดาๆ เหมือนกับผู้ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น

แต่ได้ชื่อว่าเป็นช่วงเวลา 1)แห่งความสุขที่พิเศษ 2)แห่งความชื่นชมยินดีที่พิเศษ 3)แห่งการเฉลิมฉลองที่พิเศษ 4) แห่งการให้ที่ พิเศษ และได้ชื่อว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการอวยพรที่ พิเศษ อีกด้วยเช่นกัน

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

เราพบว่าเมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงอำนวยพระพรทุกสิ่งและทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา

ปฐก.1:22          ทำให้เราทราบว่า พระองค์ได้ทรงอำนวยพระพรแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมาในโลกนี้

ปฐก.1:28          ทำให้เราทราบว่า พระองค์ทรงอำนวยพระพรแก่มนุษย์

ปฐก. 2:3           ทำให้เราทราบว่า พระองค์ทรงอำนวยพระพรมาเหนือวันสะบาโต

สดด. 33:12      ทำให้เราทราบว่า พระองค์ทรงอำนวยพระพรแก่ประชาชาติของพระองค์

พี่น้องที่รักครับ เมื่อพระเจ้าทรงกล่าวอำนวยพระพรแก่สิ่งใด พี่น้องสังเกตเห็นอะไรไหมครับ ? สิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นและเป็นจริงเสมอ

เช่น ในหนังสือปฐก. 17:16 เราพบว่า เมื่อพระเจ้าตรัสกับอับราม โดยกล่าวถึงนางซารายว่า “เราจะอวยพรแก่นางและยิ่งกว่านั้นอีก โดยนางนี่แหละ เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า เราจะอำนวยพรแก่นางและนางจะให้กำเนิดแก่ชนหลายชาติกษัตริย์ของชนหลายชาติจะมาหานาง”เราพบว่า สิ่งที่พระเจ้าได้อวยพรแก่นางซารายนั้นเป็นจริง

พี่ - น้องที่รักครับ เฉพาะหนังสือปฐมกาลเพียงเล่มเดียวเท่านั้น ยังไม่นับหนังสือเล่มอื่นๆ ยังมีการอวยพระพรของพระเจ้าอีก 106 ข้อที่ได้เกิดขึ้นและเป็นจริงเสมอ

ดังนั้นเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้เชื่อในพระองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เราก็ควรที่จะดำรงชีวิตในด้านการอวยพรให้แก่คนอื่นหรือให้แก่ผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกัน

คำถามก็คือว่า คริสตมาสที่ผ่านมาแล้ว และปีเก่าที่กำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านั้น พี่ - น้องได้มีการอวยพรแก่ผู้คนหรือได้มีการอวยพรผู้อื่น รวมกระทั่งพ่อ - แม่ ญาติ พี่ - น้องของตน หรือแม้กระทั่งพี่ - น้องในพระคริสต์ ที่ท่านนมัสการพระเจ้าอยู่ร่วมกัน ในคริสตจักรแห่งนี้มากน้อยแค่ไหน ( ให้ถามคนข้างซ้าย - ข้างขวาว่า ท่านได้มีการอวยพรแก่คนอื่นมากน้อยแค่ไหน )

อีกคำถามหนึ่ง ซึ่งเป็นคำถามที่น่าสนใจ ที่ผมอยากถามพี่ - น้องก็คือว่า ในฐานะที่พี่ - น้องเป็น คต. เป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พี่ - น้องทราบหรือไม่ครับว่า เทศกาลอย่างนี้เราควรที่จะอวยพรแก่ใครบ้าง ? พี่ - น้องทราบมั้ยครับ ?

ประการที่ 1 อวยพรพระเจ้า พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ( สดด. 103 : 1 - 5 )

พี่ - น้องที่รักครับ ในหลายๆ ประเทศของโลก ถ้าเขาได้ยินเราพูดว่า เราอวยพรให้กับกษัตริย์ของเรา เขาอาจจะขำหรือเขาอาจจะหัวเราะเราก็ได้ แต่สำหรับคนไทยเรา เราต่างเข้าใจในเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี เพราะอะไรครับพี่ - น้อง ?

เพราะทุกวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีนั้น พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ต้องร่วมกันถวายพระพรชัยมงคล ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เนื่องในวโรกาสวัน

คล้ายวันราชสมภพ ด้วยการแซ่ซ้องและสรรเสริญพระองค์ด้วยคำว่า ทรงพระเจริญ

น่าเสียดาย ตรงที่ว่าคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้โดยส่วนมาก รวมทั้งคริสเตียนเราด้วยน๊ะครับ   มักจะอวยพระพรเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรหรือทรงล้มป่วยไม่สบายเท่านั้น เวลาที่พระองค์ท่านทรงปกติเราก็ไม่ได้อวยพรพระองค์ท่านกันสักเท่าไหร่พี่ - น้องว่าจริงมั้ยครับ ?

น่าเสียดายตรงที่ว่า เวลานี้มีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ถวายพระพรชัยให้กับพ่อหลวงของเราอย่างไม่จริงใจ หรือไม่ได้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านอย่างแท้จริง พี่ - น้องว่าจริงมั้ยครับ ?

คนเอเชียในบางประเทศ เช่น ประเทศจีน ก็ดูว่าน่าจะมีความเข้าใจในเรื่องพวกนี้ได้ง่ายเหมือนกับคนไทยเช่นเดียวกัน เพราะประเทศจีนในสมัยของพระมหาจักรพรรดินั้น เมื่อมีการเปลี่ยนพระมหาจักรพรรดิใหม่หรือเมื่อมีการเปลี่ยนราชวงศ์ใหม่ ก็จะมีการถวายพระพรชัยมงคล ให้กับพระมหาจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ด้วยการแซ่ซ้องและสรรเสริญด้วยคำว่า ให้มีอายุเป็นหมื่นๆ ปี เป็นต้น นี่เป็นภาพในฝ่ายโลก

ภาพในฝ่ายจิตวิญญาณของเรา เราเองควรที่จะถวายพระพรชัยมงคลหรือเราควรที่จะแซ่ซ้องสรรเสริญวันพระราชสมภพให้กับผู้ใดครับพี่ - น้อง ? เราเองก็ควรที่จะถวายพระพรชัยมงคลหรือสดุดีองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วยเช่นกัน

ดังนั้นผู้เชื่อทุกคนควรที่จะใช้ช่วงเวลาคริสตมาสและปีใหม่ที่มาถึงในแต่ละปีนั้น กล่าวพระพรชัยมงคลหรือถวายพระพร หรือสรรเสริญและหรือสาธุการแด่พระเจ้าของเรา มากเป็นพิเศษ มากกว่าทุกๆ วัน ที่ผ่านมาหรือมากกว่าวันศุกร์อธิษฐานหรือมากกว่าอธิษฐานโต้รุ่ง ( ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย - ข้างขวา - ข้างหน้า - ข้างหลังว่า คริสตมาสและปีใหม่นี้ ให้เราถวายพระพรแด่พระเจ้าของเรามากเป็นพิเศษ ) และให้เราได้ถวายพระพรชัยมงคลต่อพระองค์ท่าน ด้วยความจริงใจหรือด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์นั้นได้ทรงกระทำแก่ชีวิตของเรา

สดด.103 : 1 - 5 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เหตุที่เราต้องถวายพระพรชัยมงคลให้กับพระองค์ และจะต้องกระทำด้วยความซาบซึ้งใจ หรือสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์นั้น เพราะ

1 ) พระองค์ทรงเป็นผู้รักษาบาดแผลหรือโรคภัยไข้เจ็บให้แก่เรา

2 ) พระองค์ทรงเป็นผู้ไถ่ความผิดและยกโทษมลทินบาปต่างๆ ทั้งสิ้นให้แก่เรา

3 ) พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานสิ่งที่ดีและประทานของที่ดีให้ตลอดชีวิตของเรา ( ถ้าท่านกระทำตามพระคำของพระเจ้า )

และในหนังสือสุดดีอีกเช่นกัน ที่ทำให้เราทราบว่า กษัตริย์ดาวิดนั้น เป็นนักถวายพระพรชัยมงคลต่อพระเจ้า และเขาก็กระทำสิ่งนี้ ด้วยความซาบซึ้งใจที่สำคัญก็คือกษัตริย์ดาวิดเขาสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำแก่ชีวิตของเขาเป็นอย่างมาก สาเหตุนี้เองที่ทำให้กษัตริย์ดาวิดนั้นได้รับพระพรจากพระเจ้ามากเช่นเดียวกัน

ในทางตรงกันข้าม การที่เราได้ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระเจ้าของเรา แต่เรากับทำอย่างไม่ซาบซึ้งใจ เราไม่ได้ทำอย่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าอย่างแท้จริง คิดว่าพระเจ้าเป็นของตาย เพราะเมื่อทำผิดแล้วเดี๋ยวอธิษฐานพระเจ้าก็ยกโทษให้ ซึ่งพระเจ้ายกโทษให้อยู่แล้ว แต่ท่านกำลังใช้พระคุณของพระเจ้า เป็นของเล่นหรือเป็นเครื่องมือในการทำบาปนั้นก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

การที่เราทำบาป และเราใช้พระคุณของพระเจ้า อย่างไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์นั้น นั่นก็เท่ากับว่า ท่านกำลังดูหมิ่นพระเจ้า ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับคนไทยหลายๆ คนที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ( ให้เราบอกกับคนข้างๆ ว่า คุณต้องไม่เป็นแบบนั้น )

ในฐานะที่พี่ - น้องเป็น คต. พี่ - น้องทราบมั้ยครับว่า เทศกาลอย่างนี้เราควรที่จะอวยพรแก่ใคร ?

ประการที่ 2 อวยพรประเทศชาติบ้านเมืองของเรา

สำนักงานแห่งการอวยพรประเทศไทยของพุทธศาสนาอยู่ที่ไหนพี่ - น้องทราบมั้ยครับ ?

ถ้าที่กรุงเทพฯ น่าจะอยู่ที่ศาลหลักเมืองหรือที่วัดพระแก้วแถวท้องสนามหลวง ถ้าที่ จ. นครราชสีมา ก็น่าจะอยู่ที่วัดบ้านไร่หรือที่ศาลย่าโม ถ้าที่จังหวัดนี้ เมืองนี้ ก็น่าจะอยู่ที่วัดหลวงพ่อบ้านแหลม เป็นต้น

คำถามก็คือว่า และสำนักงานแห่งการอธิษฐานอวยพรประเทศไทย ของคริสต์ศาสนานั้นอยู่ที่ไหนพี่ - น้องทราบครับ ? อยู่ที่คริสตจักรของ G และอยู่ที่คนของพระเจ้า

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ปฐก.12 : 1 - 3 พระวจนะของพระเจ้าตรัสกับอับรามอย่างชัดเจนว่า อับรามนั้นจะเป็นชนชาติที่ใหญ่  อับรามและวงศ์วานของเขาจะช่วยให้ผู้อื่นนั้นได้รับพร

คำถามก็คือว่า เราคือวงศ์วานของอับรามหรือไม่ ? คำตอบก็คือว่า เราคือวงศ์วานของอับราม ซึ่งนั่นหมายความว่า 1 ) เราเป็นผู้รับมรดกร่วมกับอับราม ที่จะช่วยให้ผู้อื่นนั้นได้รับพระพร 2 ) คำอวยพรของเรานั้นมีฤทธิ์อำนาจด้วยเช่นกัน 3 ) คำอวยพรของผู้เชื่อนั้น มีฤทธิ์อำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศชาติและบ้านเมืองของเรา  ทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณ

ผมเชื่อโดยส่วนตัวน๊ะครับว่า เบื้องหลังของการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลง สลับสลับขั้วหรือสลับข้างกันอยู่ในขณะนี้ ส่วนหนึ่งนั้นมากจากการอธิษฐานอวยพรประเทศไทยของผู้เชื่อ ที่ได้รวมตัวกันเมื่อช่วงอดอาหารอธิษฐาน 40 วัน ที่ผ่านมา

น่าเสียดายตรงที่ว่า คนไทยส่วนใหญ่ของประเทศนี้ รวมทั้งคริสเตียนด้วยน๊ะครับ ที่มักจะอวยพรประเทศชาติบ้านเมืองของเราเวลาไหนครับ ? ยามที่มีปัญหา

ยามที่ประเทศชาติบ้านเมืองของเรามีปัญหา เราจะเห็น 5 ศาสนาใหญ่ๆ ที่ประเทศนี้ให้การรับรอง พากันออกมาสวดขอพระพรสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อประเทศชาติบ้านเมืองของเรา จริงหรือไม่จริงครับ ( ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย - ข้างขวาว่า คำอวยพรของเรานั้น มีฤทธิ์อำนาจ )

น่าเสียดายตรงที่ว่า เวลาที่บ้านเมืองของเราปกติ ไม่มีปัญหา คนไทยโดยส่วนใหญ่และรวมทั้งคริสเตียนด้วยน๊ะครับ เขาก็พากันหยุดที่จะอวยพรประเทศชาติบ้านเมืองของตนพี่ - น้องว่าจริงมั้ยครับ ? ( ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย - ข้างขวาว่า คำอวยพรของคุณมีฤทธิ์อำนาจ ให้คุณอวยพรจังหวัด ชุมชนและประเทศของเราต่อไป )

ดังนั้นในช่วงเทศกาลแห่งความสุข เทศกาลแห่งชื่นชมยินดี เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองนี้

1 ) เราควรที่จะอวยพรจังหวัดที่เราอาศัยอยู่เป็นพิเศษ

2 ) เราควรที่จะกล่าวอวยพรชุมชนที่เราอาศัยอยู่เป็นพิเศษ

3 ) เราควรที่จะกล่าวอวยพร แก่ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา อย่างเป็นพิเศษ

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเราอวยพรแก่ประเทศชาติบ้านเมืองของเรา ถ้าเราอวยพรแก่จังหวัดหรือถ้าเราอวยพรแก่ชุมชนที่เราอาศัยอยู่

พี่ - น้องทราบมั้ยครับ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ( ให้เราถามคนข้างๆ ว่าคุณอยากรู้มั้ยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ) พระเจ้าจะทรงอวยพรเรากลับด้วยคำอวยพรนั้นๆ เช่นกัน

ประการที่ 3 อวยพรกันและกัน

            เมื่อคริสตมาส ปี 2005 มีสามี - ภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้รับเหมาและเป็นเจ้าของโฮมเสตย์แห่งหนึ่ง ที่ อ. อัมพวา ได้เข้ามาหาผมกับพี่ดาร์ที่คริสตจักรตอน 2 - 3 ทุ่มโดยประมาณ ให้ผมได้อธิษฐานอวยพรเขาในเรื่องที่เขาต้องการ ไม่นานนักพระเจ้าก็อวยพรเขา และหลังจากนั้นเขาก็ไม่มาอีกเลย เหตุพระเขากลัวที่เราจะให้เขาจัดการกับความบาปที่เขาทำ ทุกวันนี้เขาก็ให้คนโทรมาหรือเข้ามาที่คริสตจักร เพื่อขอให้ผมกับพี่ดาร์เข้าไปเยี่ยมเขาที่บ้าน แต่เราก็ขออธิษฐานก่อน ถ้าพระเจ้าบอกให้ผมเข้า ผมจะเข้าไป

เมื่อเราไปช่วยงานคริสตมาสที่ละหานทราย ก่อนที่ท่าน อ. บรรหาร จะกลับบ้าน อ. อุดม พูดว่าอย่างไรครับ ยัง…...ยังกลับไม่ได้ ต้องอธิษฐานเผื่อผมก่อนถึงจะกลับได้

สิ่งต่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า คำอวยพรที่ออกจากปากของเรานั้นมีฤทธิ์อำนาจ โดยเฉพาะคำอวยพรของผู้ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดเจิมและแต่งตั้งเขาไว้ ให้เป็นปุโรหิตย์หรือเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ในพระราชกิจของพระองค์

ถ้าคำอวยพรของเรานั้นไม่มีฤทธิ์อำนาจ เรื่องราวระหว่างเอซาวกับยาโคบที่แย่งกันรับคำอวยพรจากอิสอัค ผู้เป็นบิดาของตนและเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ ของชุมชนของเขาในขณะนั้น ก็คงจะไม่ได้มีการถูกบันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์อย่างแน่นอน

ถ้าพี่ - น้อง ยังพอที่จะจำเหตุการณ์ในตอนนี้ได้ เราก็จะพบว่าเอซาวกับอิสอัคนั้นเป็นพี่ - น้องท้องเดียวกัน มีบิดาชื่ออิสอัค โดยตามธรรมเนียมของยิวแล้ว สิทธิบุตรหัวปีคือ ผู้ที่ได้รับพรทั้งหมด ที่ออกจากปากของผู้เป็นบิดา ซึ่งนั่นหมายความว่า พระพรที่ออกจากปากของอิสอัคทั้งหมด จะตกอยู่กับเอซาวทั้งสิ้น แต่เราก็ทราบดีว่าเอซาวได้ดูถูกสิทธิในการเป็นบุตรหัวปี

ปฐก. 25 :29 - 34 “ สิทธิบุตรหัวปีจะเป็นประโยชน์อะไรแก่ข้า ” เอซาวได้สาบานเพื่อขายสิทธิในการเป็นบุตรหัวปีให้กับยาโคบ เพื่อแลกกับอาหารในตอนที่เขาหิวจัด สิทธิในการรับพระพรจึงถูกผันแปรไปโดยเจตนาและวาจาของเอซาว

เมื่ออิสอัคแก่มาก ตาฝ้าฟางมองไม่เห็น อิสอัคจึงได้กล่าวคำอวยพรให้แก่ยาโคบที่ปลอมตัวมาทำเป็นเอซาว คำอวยพรที่กล่าวมาจากปากของอิสอัค ทำให้ยาโคบได้รับพรนั้นไปทั้งหมด และถ้าพี่ - น้องอยากทราบว่าคำอวยพรที่อิสอัคได้กล่าวให้แก่ยาโคบนั้นมีอะไรบ้างให้พี่ - น้องเปิดไปที่ ปฐก. 27 : 28 - 29

“ ขอพระเจ้าทรงประทานน้ำค้างจากฟ้าแก่เจ้า และประทานความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินทั้งพืชและเหล้าองุ่นใหม่มากมายแก่เจ้า ขอให้ชนชาติทั้งหลายรับใช้เจ้า ขอให้ประชาชาติกราบไหว้เจ้า ขอให้เป็นเจ้านายเหนือพี่น้องและบุตรชายมารดาของเจ้ากราบไหว้เจ้า ผู้ใดแช่งสาปเจ้าก็ขอให้ผู้นั้นถูกสาปและผู้ใดอวยพรเจ้าก็ขอให้ผู้นั้นได้รับพร ”

และถ้าพี่ - น้องได้ติดตามหรือได้ตรวจดูชีวิต( มิใช่ตรวจดูดวงชะตา ) ของยาโคบ ภายหลังจากที่เขาได้รับพรจากอิสอัคไปนั้น ชีวิตของเขาได้รับพรอย่างนั้นจริงๆ

ในทางตรงกันข้าม ถ้าพี่ - น้องอยากทราบว่า คำอวยพรที่อิสอัค ได้กล่าวให้แก่เอซาวนั้นมีอะไรบ้าง ให้พี่ - น้องเปิดไปที่ ปฐก. 27 : 39 - 40 “ ที่อาศัยของเจ้าจะอยู่ห่างจากความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินและห่างจากน้ำค้างจากฟ้าเบื้องบน แต่เจ้าจะมีชีวิตอยู่ด้วยดาบและเจ้าจะรับใช้น้องชายของเจ้า แต่เมื่อเจ้าสลัดหลุดไปได้ เจ้าจะหีกแอกของเขาออกจากคอของเจ้า”

            และถ้าพี่ - น้องได้ติดตามหรือได้ตรวจดูชีวิตของเอซาว ภายหลังจากที่อิสอัคได้กล่าวให้แก่เขา ชีวิตของเอซาวก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ  

ดังนั้นพระพรของพระเจ้า แทนที่จะไหลต่อเนื่องจากอับราฮัม อิสอัคและเอซาว จึงได้เคลื่อนหรือจึงได้เปลี่ยนมาเป็น อับราฮัม อิสอัคและยาโคบแทน

ดังนั้นบุคคลในพระคัมภีร์เดิมทุกคน จึงต้องระมัดระวังคำพูดที่จะออกมาจากปากของตนให้ดี เพราะพระเจ้าสดับฟัง คำที่ออกมาจากปากของเขาและของเรา และคำนั้นสามารถเป็นไปตามคำที่คนของพระเจ้าได้พูดออกมา

ซึ่งในปัจจุบันนี้นักจิตวิทยาก็ได้ยืนยันออกมาแล้วว่าคำที่พ่อ - แม่ใช้พูดกับลูกนั้น ถ้าพูดไม่ดี ชีวิตลูกสามารถเป็นไปตามคำที่พ่อ - แม่พูดออกมาได้

ดังนั้นในช่วงเทศกาลแห่งความสุข เทศกาลแห่งความชื่นชมยินดี เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองนี้ ให้เราได้อวยพรซึ่งกันและกันมากเป็น พิเศษ ผ่านการอธิษฐาน

1 ) พ่อ - แม่อวยพร ผ่านการอธิษฐานต่อบุตรของตน  

2 ) บุตรอวยพร ผ่านการอธิษฐานไปยังบิดา - มารดาของตน

3 ) พ่อ , แม่ หรือพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณอวยพร ผ่านการอธิษฐานน้องเลี้ยงของตน

4 ) น้องเลี้ยงของตนอวยพรผ่านการอธิษฐานพ่อ , แม่ หรือพี่เลี้ยงของตน

ในฐานะที่พี่ - น้องเป็นคริสเตียน พี่ - น้องทราบหรือไม่ว่าครับว่า เทศกาลอย่างนี้เราควรที่จะอวยพรแก่ใคร ?

ประการที่ 4 อวยพรศัตรูหรือสถานการณ์

1 ปต. 3 : 9 “อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพร”

รม 12 : 14 “จงอวยพรแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน จงให้พรอย่าแช่งด่าเลย”

            ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในฐานะของการเป็นภรรยาหลวง เธอพบว่าสามีของเธอนั้นไม่สัตย์ซื่อ อาทิตย์หนึ่งจะกลับบ้านเพียงแค่ 1 - 2 วันเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลืออยู่นั้นพี่ - น้องคิดว่าเขาไปอยู่ที่ไหนครับ ? เวลาที่เหลืออยู่เขาไปอยู่กับภรรยาคนใหม่

การส่งเสียเลี้ยงดูก็บกพร่องมาก ผู้หญิงคนนี้เธอเป็นทุกข์มาก เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เธอก็คิดไม่ดีต่อสามีของเธอ ไม่ใช่เพียงแค่คิดไม่ดีเท่านั้นน๊ะครับพี่ - น้อง พูดออกมาก็ไม่ดี มีแต่คำสาปแช่งออกมาจากปากของเธอ เหตุเพราะเธอข่มขื่นต่อสิ่งที่สามีได้กระทำต่อเธอ

ถ้าพี่ - น้องได้อ่านในพระวจนะของพระเจ้าในหนังสือกันดารวิถีตั้งแต่บทที่ 22 - 24 ซึ่งเป็นเรื่องราวของบาลาอัมกับบาลัค บาลัคต้องการให้บาลาอัมทำไมครับพี่ - น้องบารัคต้องการให้บาลาอัม กล่าวคำสาปแช่งแก่อิสราเอล ซึ่งเป็นชนชาติของพระเจ้า แต่ถ้าพี่ - น้องได้อ่านไปเรื่อยๆ จนถึง กดว. 24 : 10 ( ให้ที่ประชุมเปิดไปที่หนังสือกันดารวิถี ) พี่ - น้องก็จะพบว่า ถ้าเรากล่าวสาปแช่งใคร สถานการณ์ที่เลวร้ายนั้น จะตกอยู่กับผู้ที่สาปแช่ง เพราะฉะนั้นเราอย่าได้กล่าวสาปแช่งใคร ( อาเมน ) ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่าอย่าให้เรากล่าวสาปแช่งใคร เพราะคำสาปแช่งนั้นจะตกอยู่กับเรา

ในขณะเดียวกัน ถ้าใครสาปแช่งพี่ - น้อง พี่ - น้องก็อย่าได้กลัวคำกล่าวสาปแช่งนั้น เพราะอะไร ? เพราะคำสาปแช่งนั้น ไม่สามารถมีสิทธิ์มีส่วนในชีวิตของเราได้ ( อาเมน ) ในขณะเดียวกันพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ก็จะเปลี่ยนคำสาปแช่งนั้น ให้เป็นคำอวยพรสำหรับเราด้วย แต่พี่ - น้องต้องยึดพระเจ้าเอาไว้ให้แน่นๆ อาเมน  

แต่ต่อมาเมื่อผู้หญิงคนนี้ได้มารู้จักกับพระเจ้า และเมื่อเขาอ่าน 1 ปต. 3 : 8 - 9 เขาเริ่มอวยพรต่อสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นผ่านการอธิษฐาน และเขาเริ่มอวยพรสามีของเขาผ่านการอธิษฐานนั้น จิตใจของเขาดีขึ้น เขาปฏิบัติต่อสามีของเขาด้วยกำลังที่มาจากพระเจ้า เธอคิดดีต่อสามี   พูดดีต่อสามี และทำดีต่อสามีของเธอ หน้าตาของเธอเริ่มดีขึ้นและดีขึ้น เขาพบว่าสถานการณ์ในครอบครัวเริ่มเปลี่ยนแปลงและดีขึ้นเป็นลำดับ

ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้เธออวยพรผ่านการอธิษฐาน ให้กับสามีของเธอ มากขึ้นและหนักขึ้น พี่ - น้องรู้มั้ยอะไรเกิดขึ้น ? สามีของเธอเริ่มกลับบ้านมากขึ้น พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่น่าฟังมากขึ้น นิสัยของสามีก็เริ่มเปลี่ยนแปลง ในที่สุดเขาเริ่มกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่ เป็นคนที่รักครอบครัว ผมรู้ว่าพี่ - น้องของเราบางคนตกอยู่ในสภาพดังที่กล่าวมาเมื่อสักครู่

คำถามก็คือว่า พี่ - น้องอยากได้สามีของพี่ - น้องกลับมาเหมือนกับผู้หญิงคนนี้มั้ย  ถ้าพี่ - น้องอยากได้สามีของพี่ - น้องกลับคืนมา ให้พี่ - น้องอวยพรสามีของพี่ - น้อง ผ่านการอธิษฐานตั้งแต่วันนี้และมากขึ้นและหนักขึ้นทุกวัน

เพราะอะไรถึงเป็นอย่างนั้น ? เพราะสถานการณ์ที่ไม่ดีต่างๆ หรือสถานการณ์ที่พี่ - น้องไม่สามารถควบคุมมันได้นั้น มันจะถูกเลื่อนมาอยู่ภายใต้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  

และเมื่อพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมมัน ทุกอย่างมันก็ง่ายมาก จากสิ่งที่ร้ายก็กลายเป็นดี จากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นไปได้ จากสิ่งที่ยากก็ง่าย จากสิ่งซึ่งหมดแล้วความหวังก็กลายมีความหวัง และนี่คือฤทธิ์อำนาจของการอวยพร

            ดังนั้นในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ในช่วงเทศกาลแห่งความชื่นชมยินดี ในช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองนี้     ให้พี่ - น้องได้อวยพร ผ่านการอธิษฐานเผื่อศัตรูและอวยพรโดยการอธิษฐานเผื่อ สถานการณ์ต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตของพี่ - น้องมากเป็นพิเศษ

และคำอวยพรนั้นจะไหลคืนหรือย้อนกลับมายังตัวของผู้ให้พรอย่างเต็มล้น และถ้าเราทำเช่นนี้เราก็เป็นผู้รับมรดกจากพระเจ้าอย่างเต็มที่

สรุปพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้

1 ) อวยพรพระเจ้า พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์

2 ) อวยพรชุมชนของเรา จังหวัดของเราและประเทศชาติบ้านเมือง

3 ) อวยพรผ่านการอธิษฐานเผื่อซึ่งกันและกัน

4 ) อวยพรสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตของเรา

Green City