ฤทธิ์เดชมีไว้เพื่อช่วยชีวิตไม่ใช่อวดฤทธิ์

คำเทศนาเรื่อง “ฤทธิ์เดชมีไว้เพื่อช่วยชีวิตไม่ใช่อวดฤทธิ์”

สวัสดีครับพี่น้องที่รัก ในเช้าวันนี้เราพบกันในช่วงของเทศกาลปีใหม่ไทย ภายหลังจากการเทศนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว และก่อนที่เราจะรับประทานอาหารนะครับ เราจะมีการรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ในคริสตจักรฯด้วยกัน อันนี้เป็นกิจกรรมที่เราจะทำร่วมกัน

ให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ด้วยกัน โดยในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจาก มธ.12:38-42 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “คราวนั้นมีบางคนในพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีทูลว่า อาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพเจ้าอยากจะเห็นหมายสำคัญจากท่าน พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า "คนชาติชั่วและเล่นชู้แสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่ทรงโปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์ ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษเขา ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเสียใหม่เพราะคำประกาศของโยนาห์ และดูเถิด ผู้เป็นใหญ่กว่าโยนาห์อยู่ที่นี่นางกษัตริย์ฝ่ายทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษเขา ด้วยว่าพระนางนั้นได้มาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก เพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และดูเถิด ผู้เป็นใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี่” และ Key Word หรือคำที่ผมจะใช้เป็นกุญแจไขในการแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ตรงคำว่า “คนชาติชั่วและคนทรยศต่อพระเจ้า” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ฤทธิ์เดชมีไว้เพื่อช่วยชีวิตไม่ใช่อวดฤทธิ์” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

            พี่น้องได้ดู DVD เรื่องแซมซันกับเดไลลาห์กันจบไปแล้วนะครับใช่ไหมครับ ? คำถามของผมก็คือว่า แล้วพี่น้องคิดว่า แซมซันเขาใช้อำนาจพิเศษนั้นเพื่อพระราชกิจของพระเจ้าหรือเขาใช้เพื่ออวดฤทธิ์ของเขา แนวโน้มโดยส่วนมากนั้น แซมซันเขาใช้ฤทธิ์อำนาจนั้นไปกับเรื่องของเขามากกว่าเรื่องของพระเจ้า ซึ่งอันนี้ไม่ใช่ประเด็นที่ผมจะแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้นะครับ แต่อยากให้พี่น้องได้ฝึกที่จะมีบทเรียนจากการที่พี่น้องได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังอะไรมาแล้วและดึงมาพิจารณาในมิติของพระเจ้าด้วย

            กลับมาที่พระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ? เราพบว่าพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์นั้น ต่างมาหาองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเพื่อแสวงหาหมายสำคัญจากพระเยซู

            ในข้อที่ 39 เราพบว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสตอบกับพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์กลับไป ซึ่งคนที่อ่านพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ บ้างก็ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงพูดแรง ? พี่น้องคิดว่าพระเยซูพูดแรงไหมครับ ?

ซึ่งถ้าเราจะคิดอย่างนั้นก็ไม่ผิด แต่เราก็ต้องมาหาเหตุและผลด้วยว่า ทำไมองค์พระเยซูคริสต์ถึงพูดกับพวกเขาแรงหรือทำไมองค์พระเยซูคริสต์เจ้าถึงไม่พูดกับพวกเขาเหมือนกับที่พระองค์ทรงพูดกับหญิงชาวต่างชาติที่บ่อน้ำนั้น

พี่น้องที่รักครับ การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงพูดกับพวกฟาริสีหรือพูดกับพวกธรรมจารย์แรงก็เพราะว่า พวกเขาเป็นนักบวชในศาสนายิวหรือในศาสนายูดายมานาน ถ้าจะเปรียบกับศาสนาพุทธในบ้านเรา คนพวกนี้เขาก็เป็นเหมือนพระมหาเถระ คือ เป็นพระผู้ใหญ่ที่จะต้องเข้าถึงแก่นแท้ของพระศาสนา

แต่พวกฟาริสี ธรรมจารย์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ อีกทั้งมีตำแหน่งสูงทางศาสนาและอยู่กับคำสอนมานาน แต่พวกเขากับมาหาองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเพื่อจะให้พระเยซูทรงแสดงหมายสำคัญแก่พวกเขา ทั้งๆที่พระเยซูก็ได้ทรงกระทำหมายสำคัญผ่านคำสอนของพระองค์หลายต่อหลายครั้งแต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อแถมกับจะขอดูเพิ่มอีก องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงต่อว่าคนที่แสวงหาหมายสำคัญและการอัศจรรย์ว่า “คนชาติชั่วและคนทรยศต่อพระเจ้า”

พี่น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆนะครับ สิ่งที่ผมจะพูดนั่นก็คือว่า คำตรัสนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ยังใช้อยู่ตรัสอยู่ในทุกวันนี้ด้วยเช่นกัน

คำถามก็คือว่า และคำตรัสนี้พระเยซูใช้ตรัสกับใครครับ ?

คำตอบก็คือว่า พระเยซูใช้ตรัสกับผู้เชื่อทุกคนในเวลานี้ด้วย

การที่พระคำของพระเจ้า ซึ่งได้ทรงตรัสเอาไว้เมื่อ 2014 ปีที่ผ่านมาแล้ว และยังใช้ตรัสกับผู้เชื่อในปัจจุบันนี้อยู่ นั่นก็เพราะว่า ในเวลานี้เรายังมีผู้เชื่อประเภทที่อยากรู้อยากเห็น , อยากได้ยิน , อยากแสวงหาหมายสำคัญและการอัศจรรย์ของพระเจ้าอยู่ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผิด

แต่ที่ผิดนั่นก็คือว่า ได้เรียนรู้แล้ว ได้เห็นแล้ว ได้ยินเสียงอีกทั้งได้รับหมายสำคัญและการอัศจรรย์จากพระเจ้าแล้วแต่กับไม่เอาไปทำให้เกิดประโยชน์อะไร อันนี้แหละครับเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องและคนเหล่านี้ก็เป็นคนที่พระเจ้าทรงไม่พอพระทัยยิ่งนัก

ผู้รับใช้พระเจ้าหลายคน พอทราบว่าที่คริสตจักรไหนมีงานฟื้นฟู ที่ไหนมีงานสัมนาเรื่องฤทธิ์เดช ผู้นำ,ศิษยาภิบาล บางคริสตจักรและหลายคริสตจักร ก็ชอบที่จะระดมพาพี่น้องสมาชิกไปร่วมงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้นะครับ ไม่ใช่ทำไม่ได้นะครับ เพียงแต่ผู้รับใช้พระเจ้าหลายท่านขาดการมุ่งเน้น , ขาดการกำชับกับพี่น้องสมาชิก

เช่น พี่น้องเมื่อเราไปร่วมงานพวกนี้มากลับมาแล้ว 1) ชีวิตของพี่น้องจะต้องดีขึ้น 2 ) พี่น้องจงนำกลับมาเป็นพระพรกับคนในชุมชนและสังคมด้วย แต่โดยความเป็นจริงแล้วคริสตจักรไทยเราขาดการมุ่งเน้น เราขาดการกำชับกับพี่น้องในลักษณะอย่างนี้อยู่มาก

พี่น้องคริสเตียนหลายคนที่ไปงาน Christian Event ต่างๆในลักษณะที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ พอกลับมาในชุมชนของคริสตจักรก็เหมือนเดิม เดือนหน้ามีประชุมสัมมนาก็ไปอีก นักเทศน์มีการ Calling ก็เดินออกไปข้างหน้าไปรับการอธิษฐานวางมือ รับการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้รับการเปิดเผยถ้อยคำจากพระเจ้า ได้รับนิมิต ได้รับหมายสำคัญและการอัศจรรย์จากพระเจ้า

แต่ทุกๆครั้งที่พี่น้องกลับมาจากงาน Christian Event พี่น้องก็เหมือนเดิมแล้วเหมือนเดิมอีก อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า คือ ไม่ได้นำสิ่งที่เป็นพระพรนั้นกลับมาเป็นประโยชน์ต่อในชุมชนหรือต่อในอาณาจักรของพระเจ้าเลย

คำถามของผมก็คือว่า นี่มันคืออะไร ?คำตอบในทัศนะของผมนี่คือพวกคลั่งศาสนา แต่คำตอบในทัศนะพระเยซูหรือจากมุมมองของพระคัมภีร์บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า นี่คือลักษณะของคนชาติชั่วและคนคิดทรยศต่อพระเจ้าลักษณะของคนชาติชั่วและคนคิดทรยศต่อพระเจ้า โดยอาการของคนพวกนี้จะเริ่มจากการที่พวกเขานั้นแสวงหา 1) หมายสำคัญการอัศจรรย์ 2) ฤทธิ์เดชหรือถ้อยคำและหรือการได้ยินพระสุรเสียงจากพระเจ้า

แต่เมื่อเขาได้รับ Sing หรือได้รับสัญญาณในทางใดทางหนึ่งจากพระเจ้าแล้ว เขากับไม่ออกไปรับใช้พระเจ้า ในทางตรงกันข้ามเขากับอยากที่จะได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์นั้นอีกและเขาอยากที่จะเห็นนิมิตอื่นๆจากพระเจ้าอีก นี่คือพวกคลั่งศาสนา

ผู้เชื่อบางคน พี่น้องเชื่อไหมครับว่า เขาถึงขนาดนุ่งขาวห่มขาวถืออดอาหารอธิษฐานในคริสตจักรเลยนะครับเพียงเพื่ออยากจะเห็นนิมิตที่มากขึ้นจากพระเจ้า

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ อสย.58:3-8 แล้วอ่านพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

พระคำของพระเจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า การถืออดอาหารอธิษฐานก็เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เรานั้นจะสำแดงความรัก ความเมตตาที่ภายในจิตใจของเรานั้นมีต่อผู้อื่น การถืออดอาหารอธิษฐานด้วยท่าทีอย่างนี้แหละครับ ที่พระเจ้าทรงฟังและตอบคำอธิษฐานนั้นอย่างเร่งด่วน

ดังนั้นถ้ามีพี่น้องของเราคนไหนมาบอกกับพี่น้องว่า เขาถืออดอาหารอธิษฐานเผื่อพี่น้องอยู่ ก็ขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า เขานั้นมีความรัก มีความเป็นห่วงเป็นใยในภาระปัญหาของพี่น้องมาก เขาจึงอธิษฐานถืออดอาหารกับพระเจ้าเพื่อท่าน

แต่พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งความกรุณา พระเจ้าก็อาจจะให้ผู้เชื่อที่ยอมนุ่งขาวห่มขาว คนนั้น ได้เห็นถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์และหรือเห็นนิมิตเพิ่มเติมอีกก็เป็นได้

เมื่อปี 2000 ผมมีโอกาสไปมิชชั่นทริปสั้นที่ จ.บุรีรัมย์ ผมได้อธิษฐานขอหมายสำคัญและการอัศจรรย์จากพระเจ้า และเมื่อพระเจ้าได้ให้หมายสำคัญกับผมและผมก็ได้ตอบสนองกับสิ่งที่พระเจ้าได้ให้กับผมในช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีก 2-3 วันในการทำพันธกิจที่นั่น

สิ่งหนึ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สอนผมในช่วง 2-3 วันที่เหลืออยู่นั่นก็คือว่า หมายสำคัญที่พระเจ้าได้ให้กับผมในวันนั้น พระเจ้าได้ให้ผมเป็นเจ้าของในสิ่งนั้นด้วย

แต่การที่พระเจ้าแห่งความกรุณาซึ่งอาจจะให้ผู้เชื่อที่ยอมนุ่งขาวห่มขาวคนนั้น ได้เห็นถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์และหรือเห็นในนิมิตที่เพิ่มเติมนั้นได้ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า คนๆนั้นจะเป็นเจ้าของในหมายสำคัญหรือในนิมิตที่เห็นเพิ่มเติมนั้น

            กล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า “การเห็นกับการเป็นเจ้าของนั้นแตกต่างกัน” “สิ่งที่คุณเห็นกับสิ่งที่คุณเป็นเจ้าของนั้นแตกต่างกัน” เช่น หลายคนเห็นบ้านที่ใหญ่โตสวยงามแต่ในความเป็นจริงคุณไม่ได้เป็นเจ้าของ

            ดังนั้นหมายสำคัญการอัศจรรย์ หรือถ้อยคำของพระเจ้าที่มาถึงพี่น้องและหรือนิมิตที่พระเจ้าได้ให้กับพี่น้องในช่วงเวลาที่พี่น้องกำลังแสวงหาอยู่นั้น อาจจะเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าไม่เพียงสำแดงเปิดเผยกับพี่น้องเท่านั้นแต่นั่นอาจจะเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าได้ให้พี่น้องได้เป็นผู้ครอบครองในนิมิตนั้นด้วย

แต่เมื่อพี่น้องได้รับแล้ว เป็นเจ้าของแล้ว นอกจากจะไม่ได้นำออกไปรับใช้ในชุมชนของพระเจ้าแล้วและยังอยากที่จะได้รับอีกและมากขึ้น พี่น้องทราบไหมครับว่าในเวลานั้น ก็มีใครคนหนึ่งที่สามารถจะทำให้ผู้เชื่อคนนั้นได้เห็นถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ของพระเจ้าได้ด้วยเช่นกัน และนั่นคือมาร ซาตาน

เมื่อมาร ซาตานมันรู้ว่าผู้เชื่อคนนั้นฝักใฝ่ในเรื่องพวกนี้ เช่น ฝักใฝ่ในเรื่อง 1 )ของการที่อยากจะเห็นนิมิต 2 ) หมายสำคัญการอัศจรรย์ 3 ) เรื่องฤทธิ์เดช 4 ) การเผยพระวจนะ รวมถึงการฝักใฝ่ในเรื่องอื่นๆด้วย

ผมอยากที่จะบอกกับพี่น้องอย่างนี้ครับว่า การฝักใฝ่หรือการงมงายนั้น 1 ) เป็นโลกของมาร 2 ) เป็นโลกของวัตถุ 3 ) เป็นเรื่องของอวิชชา 4 ) เป็นโลกของปีศาจ

ซึ่งเมื่อมาร ซาตานมันรู้ว่าถ้าผู้เชื่อคนนั้นฝักใฝ่ในเรื่องพวกนี้มากเกินไปมันก็สามารถที่จะเข้ามาล่อลวงและทำให้พี่น้องคนนั้นอาจจะยึดมั่นในหมายสำคัญการอัศจรรย์มากกว่ายึดมั่นในพระเจ้า สิ่งที่น่าเศร้าใจนั่นก็คือว่าเวลานี้ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มีจำนวนมากขึ้นต่างอยู่ในอาการที่ผมได้กล่าวมา

จำได้ว่า สิบกว่าปีที่ผ่านมามีเพื่อนผู้รับใช้พระเจ้าท่านหนึ่งที่ผมรู้จัก ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเขาก็รับใช้พระเจ้าได้ดีนะครับ และสิ่งที่พระเจ้าได้ให้กับเขาอย่างชัดเจนนั่นก็คือการวางมืออธิษฐานรักษาโรค

แต่แล้ววันหนึ่ง ผู้รับใช้ท่านนี้เขาก็มีความคิดขึ้นเหมือนกับคนป่วยคนหนึ่งที่คิดใน กิจการ 5:15 “ จนเขาหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกเขาบางคน ”

ผู้รับใช้พระเจ้าท่านนี้คิดว่า เพียงแค่เงาของเขานั้นไปทาบกับคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย คนป่วยคนนั้นก็น่าจะทำให้คนหายโรคได้ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วไม่ใช่เงาของเปโตรนะครับพี่น้องที่ให้คนป่วยในกิจการ 5:15 นั้นหายโรค แต่เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่อยู่เบื้องหลังขอเงานั้น

แต่เมื่อผู้รับใช้พระเจ้าท่านนี้เขาคิดที่จะอวดฤทธิ์ของเขา มากกว่าที่จะอวดฤทธิ์เดชของพระเยซู ดังนั้นเมื่อเงาของเขาไปทาบที่ใคร คนนั้นก็ไม่ได้หายโรค และเมื่อไม่ได้เป็นไปอย่างเขาที่คิด เวลานี้ก็เป็นเวลาเกือบสิบปีแล้วเช่นกัน ที่ผมไม่เห็นผู้รับใช้ท่านนี้อยู่ในบริบทแห่งการรับใช้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา

และผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้ผู้รับใช้ต้อง Drop การรับใช้ลงไปนั่นก็คือ 1) ซาตัวคือตัวเขาเองที่เปิดโอกาสให้กับมาร และ 2 คือ ซาตาน เพราะมันรู้ว่าผู้รับใช้ท่านนี้เขาฝักใฝ่ในเรื่องการรักษาโรค มาร ซาตาน จึงล่อลวงเขาด้วยความคิดที่ว่าเพียงแค่เงาของเขาก็น่าจะทำให้คนให้โรคได้เหมือนกับเงาของเปโตร

ด้วยเหตุนี้พระคำของพระเจ้าใน คลส. 2:16,18 จึงได้กล่าวเตือนเราว่า “เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกินการดื่ม ในเรื่องการถือเทศกาล วันขึ้นหนึ่งค่ำ หรือวันสะบาโต อย่าให้ผู้ใดโกงบำเหน็จของท่านด้วยการจงใจถ่อมตัวลงและกราบไหว้ทูตสวรรค์ ใฝ่ฝันในสิ่งเหล่านั้นที่เขาไม่ได้เห็น ผยองขึ้นเปล่าๆตามความคิดของเนื้อหนัง

เหตุผลอีกประการหนึ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงต่อว่าพวกฟาริสีกับพวกธรรมจารย์อย่างรุนแรงว่าเป็นพวก “คนชาติชั่วและคิดทรยศต่อพระเจ้า” ซึ่งถ้าพี่น้องอ่านในพระคำของพระเจ้าในหลายๆบทที่พระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้และถ้าพี่น้องยังจำกันได้ดีพี่น้องก็จะพบว่าคนกลุ่มนี้นั้นมักจะมีปัญหากับพระเยซูมาโดยตลอด เช่น

มธ.16:1-4 พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีได้มาทดลองพระองค์โดยขอร้องให้พระองค์สำแดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ให้เขาเห็น พระเยซูทรงตอบว่าตอนเย็นท่านพูดว่าอากาศจะปลอดโปร่งเพราะฟ้าแดงและตอนเช้าท่านพูดว่า วันนี้จะเกิดพายุเพราะฟ้าแดงและครื้มฝน ท่านยังพยากรณ์อากาศได้จากลักษณะของท้องฟ้า แต่หมายสำคัญของวาระต่างๆท่านกลับตีความไม่ออกคนชาติชั่วและเล่นชู้แสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์เท่านั้น" แล้วพระองค์ก็เสด็จไปจากเขา

มก. 8:11 พวกฟาริสีออกมาและเริ่มโต้เถียงกับพระองค์ ขอพระองค์แสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ หมายจะทดลองพระองค์

ลก.11:29 เมื่อคนทั้งปวงประชุมแน่นขึ้น พระองค์ตั้งต้นตรัสว่า "คนยุคนี้เป็นคนชั่ว มีแต่แสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์เท่านั้น และยังมีอีกหลายบทด้วยกันซึ่งพี่น้องควรที่จะไปศึกษาเพิ่มเติมนะครับ

แต่จากพระคำของพระเจ้าใน มธ.16:1-4 ทำให้เราทราบว่าพวกฟาริสีกับพวกสะดูสีได้มาทดลองพระองค์โดยขอแสดงหมายสำคัญ จากพระคำของพระเจ้าใน มก. 8:11 ทำให้เราทราบว่า พวกฟาริสีออกมาและเริ่มโต้เถียงกับพระองค์ ขอให้พระองค์สำแดงหมายสำคัญจากสวรรค์

ซึ่งการที่พวกฟาริสี สะดูสีหรือพวกธรรมาจารย์ทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่เป็นการทดลองหรือทดสอบพระเจ้าเท่านั้น แต่พระองค์ยังถือว่านี่เป็นการหมิ่นดูหมิ่นพระเจ้าด้วย

เพราะอะไรจึงถือว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้า ? เพราะโดยแท้จริงแล้วเมื่อประชาชนติดตามพระเยซูไปที่ไหน พวกฟาริสี สะดูสีกับพวกธรรมาจารย์ก็มักจะไปกับประชาชนด้วยเสมอ

ดังนั้นเมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงทำหมายสำคัญการอัศจรรย์อะไร ไม่เพียงแต่สาวกของพระองค์เท่านั้นที่เห็น ประชาชนที่ติดตามพระเยซูได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์นั้นด้วยไหมครับ ? พวกฟาริสี สะดูสีและพวกธรรมาจารย์ที่ติดตามฝูงชนไปด้วยเขาเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำด้วยไหมครับ ?

พวกฟาริสี สะดูสีและพวกธรรมจารย์ต่างเห็นถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงทำด้วยทุกครั้งแล้วพวกเขาจะมาให้พระเยซูทรงทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์อะไรอีก ขนาดพวกเขาอยู่ท่ามกลางพระเยซูคริสต์ ซึ่งกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ท่ามกลางฝูงชนไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแต่พวกเขายังไม่เชื่อ ยังไม่กลับใจ

ดังนั้นต่อให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ตามที่พวกเขาขอมันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรกับพวกเขา ด้วยเหตุนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงตรัสกับพวกเขาใน ลก.11:29 ว่าคนในยุคชั่วแสวงหาหมายสำคัญ

แต่ถึงแม้ว่าพวกฟาริสีกับพวกธรรมจารย์เขาจะคิดทรยศต่อพระเจ้า แต่สุดท้ายท้ายสุด พระเยซูทรงสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ให้กับพวกเขาได้เห็นไหมครับ ? หมายสำคัญเดียวที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำให้พวกเขาเห็นคือ หมายสำคัญจากโยนาห์ (พี่น้องสามารถอ่านเรื่องของโยนาห์ได้ใน โยนาห์1-3) นะครับ

หมายสำคัญเดียวที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำให้พวกเขาเห็นคือ หมายสำคัญจากโยนาห์ คือ การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสิ้นพระชนม์เป็นเวลา 3 วันและเป็นขึ้นมาจากความตาย แต่ถึงกระนั้นก็ตามพวกฟาริสีกับพวกธรรมจารย์ก็ยังไม่เชื่อผู้ที่เป็นใหญ่กว่าโยนาห์อยู่ดี

ขอพระเจ้าเมตตาที่หมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำผ่านชีวิตของเราหรือผ่านชีวิตคนอื่นๆนั้นจะเพียงพอกับการที่เราจะเชื่ออย่างมั่นใจว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ในชีวิตของเรานะครับ

เหตุผลอีกประการหนึ่งซึ่งเป็นประการสุดท้าย ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงต่อว่าพวกฟาริสีกับพวกธรรมจารย์อย่างรุนแรงว่าเป็นพวก “คนชาติชั่วและคิดทรยศต่อพระเจ้า” นั่นก็เพราะว่า พวกฟาริสีกับพวกธรรมจารย์เขาอยากได้รับสิ่งดีในขณะที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์

คำถามคือว่าอะไรคือ สิ่งดีที่พระเจ้าให้ในขณะที่พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์นั้น ? ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มก.10:46-52 แล้วอ่านพร้อมกันเชิญครับ

ฝ่ายพระเยซูกับพวกสาวกมายังเมืองเยรีโค และเมื่อพระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรีโคกับพวกสาวกของพระองค์และประชาชนเป็นอันมาก มีคนตาบอดคนหนึ่ง ชื่อบารทิเมอัส ซึ่งเป็นบุตรชายของทิเมอัส นั่งขอทานอยู่ที่ริมหนทางเมื่อคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมา จึงเริ่มร้องเสียงดังว่า ท่านเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิดมีหลายคนห้ามเขาให้เขานิ่งเสีย แต่เขายิ่งร้องเสียงดังขึ้นว่า บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด
พระเยซูทรงหยุดประทับยืนอยู่ แล้วตรัสสั่งให้เรียกคนนั้นมา เขาจึงเรียกคนตาบอดนั้นว่าแก่เขาว่า จงชื่นใจและลุกขึ้นเถิด พระองค์ทรงเรียกเจ้าคนนั้นก็ทิ้งผ้าห่มเสียลุกขึ้นมาหาพระเยซูพระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรแก่เจ้า คนตาบอดนั้นทูลพระองค์ว่า พระอาจารย์เจ้าข้า ขอโปรดให้ตาข้าพระองค์เห็นได้ พระเยซูตรัสแก่เขาว่า
 “จงไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้เจ้าหายปกติแล้ว" ในทันใดนั้นคนตาบอดนั้นก็เห็นได้ และได้เดินทางตามพระเยซูไป

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มก. 5:34 พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า "ลูกสาวเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด"

แท้จริงแล้วยังมีข้อพระคัมภีร์ในทำนองนี้อีกหลายข้อนะครับ ก็ให้พี่น้องกลับไปค้นคว้าหาอ่านกันเพิ่มเติม แต่ใน 2 ข้อนี้พี่น้องพบหรือยังครับ ? ว่าอะไรคือสิ่งดีที่พวกฟาริสีธรรมจารย์อยากได้จากพระเยซู

คำตอบก็คือ การอวยพรจากพระเจ้า พวกฟาริสีธรรมจารย์เขาอยากได้รับการอวยพรจากพระเจ้า แต่เขาไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งการรับเอาคำสอนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ตาม แล้วพี่น้องคิดว่าพวกเขาจะได้รับการอวยพรจากพระเจ้าไหมครับ ?

            พวกเราก็เช่นเดียวกัน ที่อย่าอธิษฐานขอกับพระเจ้า 1 ) ให้เราเป็นคนมั่งมีโดยทั้งชีวิตที่เกิดมาไม่เคยคิดอ่านใคร่ครวญว่าจะทำมาหากินอะไร 2 ) ให้เราสอบได้ที่ 1 โดยที่ตลอดทั้งเทอมเราไม่เคยสนใจที่จะตั้งใจเรียน

            เพราะฉะนั้นถ้าพวกฟาริสี ธรรมจารย์ รวมถึงพี่น้องทุกๆท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วยนะครับ ถ้าเราอยากได้รับการอวยพรจากพระเจ้า เราก็ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง 1 ) เพชรจะแวววาวและมีคุณค่าไม่ได้ถ้าไม่ผ่านการเจียระไน 2 ) มีดจะคมไม่ได้ถ้าไม่ได้รับการลับ ดังนั้นถ้าเราอยากได้รับการอวยพรจากพระเจ้าเราก็ต้องพร้อมที่จะต้องจ่ายราคา

            พวกฟาริสีธรรมจารย์เขาอยากได้รับการอวยพรจากพระเจ้า แต่เขาไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งการรับเอาคำสอนขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ตาม  

สิ่งนี้ทำให้เราทราบว่า พวกฟาริสีธรรมจารย์นั้น เขาอยากที่จะได้รับพระพรของพระเจ้านั้นแต่เพียงเปลือกนอก แต่แก่นแท้แห่งพระพรจริงๆนั้นพวกเขาไม่อยากที่จะได้รับ

            คำถามคือว่า อะไรคือแก่นแท้แห่งพระพร ? พระวจนะของพระเจ้าคือแก่นแท้แห่งพระพร และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนเราทั้งหลายให้มุ่งแสวงหาแก่นสารของชีวิต นั่นก็คือการที่เรามีชีวิตเหมือนพระคริสต์มากขึ้นในทุกๆวันและพระคำของพระเจ้าเท่านั้นจริงๆพี่น้องที่รักจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้เป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น

            เมื่อเราแสวงหาพระเจ้าผ่านทางพระคำของพระองค์ เรื่องฤทธิ์อำนาจ เรื่องหมายสำคัญการอัศจรรย์และอื่นๆ พระองค์จะประทานมาให้กับเราและเราจงนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของผู้อื่นและเพื่อพระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่อวดฤทธิ์ของตัวเอง GBU.

           

Green City