รักไร้ลำเอียง

คำเทศนาเรื่อง รักไร้ลำเอียง

              

เดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรัก และถึงแม้ว่าเราจะผ่านวันแห่งความรักมาแล้ว 1 อาทิตย์ก็ตาม แต่กลิ่นไอของวันแห่งความรักนี้ ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ในบางที่ บางแห่ง เช่น ตามโรงแรมใหญ่ๆในกรุงเทพมหานคร หรือหนังบางเรื่องในโรงภาพยนตร์ที่ยังมีหนุ่มสาวหลายคู่ที่ยังพากันเข้าไปชมอยู่ในขณะนี้

ดังนั้นพระของพระเจ้าในเช้าวันนี้ จะเป็นเรื่องราวของความรักแบบไหนอย่างไร ให้เราเปิดไปที่พระธรรมยากอบ บทที่ 2 ข้อที่ 1 - 13 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมกันด้วยเสียงดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า รักไร้ลำเอียง

พี่ - น้องที่รักครับ ปัญหาหนึ่งของสถาบันครอบครัวไทย นั่นก็คือการที่พ่อ - แม่นั้น รักลูกไม่เท่ากันหรือรักลูกอย่างลำเอียง พฤติกรรมของพ่อ - แม่บางคนที่รักลูกอย่างไม่ยุติธรรมหรืออย่างลำเอียงนั้น ได้ทำให้ผ้าที่ขาวนั้นต้องเปื้อนกับฝุ่น และเมื่อใดก็ตามถ้าผู้เป็นบุตร สัมผัสได้ว่าพ่อและแม่รักเขาอย่างไม่ยุติธรรมหรือรักเขาอย่างลำเอียงแล้ว และถ้าพ่อแม่ไม่คิดที่จะแก้ไขปัญหานี้ มั่นใจได้เลยครับว่าเด็กคนนั้นจะกลายเป็นเด็กที่มีปัญหา เป็นเด็กที่มีปัญหาทั้งที่บ้านและนอกบ้าน

เจ้าหน้าที่ๆทำงานด้านสังคมสงเคราะห์อยู่ที่พระมหาไถ่ พัทยา จ. ชลบุรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ท้ายที่สุดแล้วเด็กพวกนี้ก็จะเดินอยู่ในหนทางที่คล้ายๆหรือใกล้เคียงกับเด็กที่ครอบครัวนั้นมีการแตกแยกหรือล่มสลาย เช่น ติดเพื่อน ติดเกมส์ หนีออกจากบ้าน และถ้าเด็กไม่มีเงินเขาก็คิดที่จะทำในสิ่งที่ไม่สวยงาม เป็นต้น ให้พี่ - น้องบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า ให้รักลูกและอย่ารักลูกลำเอียง

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

เราพบว่าท่านยากอบได้ไปรู้และได้ไปเห็นว่าสังคมภายนอกนั้นมีการปฏิบัติต่อกันและกันอย่างไม่เป็นธรรม  

นอกจากนี้ท่านยากอบก็ยังได้ไปรู้ ไปเห็นอีกด้วยว่า คริสตชนและคริสตจักรของพระเจ้าในสมัยของท่านนั้น ก็ได้ทำการปฎิบัติต่อคนที่เข้ามาในคริสตจักรของพระเจ้าในท่าทีที่ไม่เป็นธรรมด้วยเหมือนกัน

ยากอบได้เห็นว่าผู้ที่มีฐานะดีนั้น มักจะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าคนยากคนจน

ยากอบจึงเรียกท่าทีและการกระทำอย่างนั้นว่า ลำเอียง ผมเข้าใจว่าผู้เชื่อในสมัยนั้นคงจะมีวัฒนธรรมที่ละม้าย คล้ายคลึง กับคนไทยเรา นั่นคือ มีชนชั้น มีระบบผู้ใหญ่ ผู้น้อย มีเจ้านาย มีทาส มีผู้บังคับบัญชา มีผู้ใต้บังคับบัญชา มีพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ ซึ่งเป็นคนที่มีความรู้มากกับชาวประมง ซึ่งเป็นคนที่มีความรู้น้อย หรือเป็นคนที่ไม่มีความรู้อะไรเลย

สภาพของสังคมไทย ตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน และรวมทั้งในอนาคต เราจึงเห็นได้ด้วยสายตาของเราว่าคนขอทาน คนตาบอด คนยากจน นั้นมักจะถูกทอดทิ้ง หรือมักจะถูกมองว่าเป็นพลเมืองชั้น 2 ของสังคมอยู่เสมอ ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่มีฐานะร่ำรวย คนที่มีเกียรติ คนที่มีความรู้ หรือคนที่อยู่ในสังคมชั้นสูง ที่มักจะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า พี่ - น้องเห็นด้วยมั้ยครับ ?

ยากอบจึงมองว่า ผู้เชื่อหรือคริสเตียนในเวลานั้น มีความเข้าใจอะไรในพระเจ้าที่ผิดพลาดหรือเปล่า พวกเขาถึงได้ปล่อยให้ Spirit ซึ่งหมายถึง วิญญาณแห่งการเลือกปฏิบัตินี้ ได้ลุกลามเข้ามาในคริสตจักรของพระเจ้า และโดยธรรมชาติบาปของมนุษย์เรา เราเองก็อาจจะมีแนวโน้มที่พร้อมจะปฏิบัติต่อคนบางกลุ่มในลักษณะแบบนี้ได้เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ยากอบจึงได้สอนศาสนศาสตร์ให้กับผู้เชื่อในสมัยนั้น และรวมทั้งได้สอนศาสนศาสตร์ให้กับพวกเราทั้งหลายในเช้าวันนี้ อย่างตรงไปตรงมาด้วยว่า แท้ที่จริงแล้ว คริสเตียนและคริสตจักรของพระเจ้าจะทำอย่างนั้นไม่ได้เลย โดยท่านยากอบได้อธิบายถึงรากหรือถึงแก่นให้เราฟังเอาไว้เป็นข้อๆ

ในข้อที่ 1 พระคำของพระเจ้าในพระธรรมยากอบบอกกับเราว่า ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิรินั้นไม่ลำเอียงดังนั้นคุณก็จงอย่าลำเอียง

ในข้อที่ 4 พระคำของพระเจ้าในพระธรรมยากอบบอกกับเราว่า พระเจ้ามิได้ใช้ความคิด จิตใจแบ่งชั้นวรรณะของความเป็นคน ดังนั้นเราเองก็ไม่ควรที่ใช้จิตวินิจฉัยเพื่อแบ่งแยกมนุษย์

ในข้อที่ 9 พระวจนะของพระเจ้าในพระธรรมยากอบบอกกับเราว่า บัญญัติของพระเจ้าบอกกับเราว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง แต่ถ้าท่านไม่รักเพื่อนบ้านหรือท่านลำเอียงท่านก็ทำบาปเสียแล้ว

พี่ - น้องที่รักครับ นี่คือเหตุและผลที่ท่านยากอบได้บอกกับเราว่า ทำไมผู้เชื่อหรือคริสเตียน ถึงทำอย่างคนข้างนอกหรือทำอย่างสังคมภายนอกนั้นไม่ได้ และเพื่อให้เราได้รับพระพรมากยิ่งขึ้นให้เรามาดูพระวจนะของพระเจ้าในระดับที่ลึกลงไปด้วยกัน

ประการที่ 1 อยู่ในข้อที่ 1 พระเจ้าไม่มีความลำเอียง

            พระคำของพระเจ้าในข้อนี้น่าสนใจเป็นอย่างมาก ยากอบกล่าวถึงพระเยซูในรูปที่พระองค์นั้นทรงเป็น ผู้ทรงพระสิริ

คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระสิริตรงไหน ?

คำตอบน่าจะอยู่ใน ฟลป.2:5-11 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่ที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ แต่ได้กกับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์เพื่อเพราะพระนามนั้นทุกเข้าในสวรรค์ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลกจะคุกลงกราบพระเยซู และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า

            ฟลป.2:5-11 ทำให้เราทราบว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระสิริ เมื่อพระองค์เสด็จลงต่ำ ทรงถ่อมพระทัยลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ โดยยอมรับสภาพทาสและยอมมรณาพระองค์บนไม้กางเขน และภายหลังจากนั้นพระองค์จึงเสด็จขึ้นรับพระสิริ นี่คือลำดับขั้นตอนในการรับพระสิริของพระเยซู

ดังนั้นพระคำของพระเจ้าในข้อที่ 1 นี้ จึงได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าผู้ทรงพระสิริของเรานั้น เป็นพระเจ้าที่ทรงยุติธรรม พระองค์ทรงปราศจากความลำเอียง เราในฐานะผู้ซึ่งบุตรของพระเจ้า เราก็ควรที่จะต้องเดินอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับพระองค์ นั่นก็คือ เดินอยู่ในความไม่ลำเอียงด้วยเช่นกัน

ในบทต้นๆของพระธรรมกิจการหรือเราจะเรียกพระธรรมเล่มนี้ว่า กิจการของอัครทูตก็ได้ ในบทต้นๆของพระธรรมเล่มนี้เราพบว่า อัครทูตเปโตร นั้นมีความลำเอียงในการประกาศข่าวประเสริฐต่อคนต่างชาติ เรียกว่า ถ้าคุณไม่ใช่เป็นยิวแท้ๆ คนอย่างเปโตรก็จะไม่มีวันประกาศหรือเป็นพยานด้วยเลย ซึ่งก็เหมือนกับคริสตจักรของพระเจ้าในบางที่ บางแห่งที่มีอยู่ในเวลานี้ ซึ่งเราไม่อาจที่จะเรียกว่าเป็นคริสตจักรของพระเจ้าได้

เหตุเพราะ มีความลำเอียงในการประกาศข่าวประเสริฐต่อคนยากจน โดยอ้างว่า เงินน้อยแต่ปัญหาเยอะ และมุ่งเน้นหรือเห่อในการประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้ากับคนชั้นสูงหรือกับบุคลคนที่มีชื่อเสียงหรือนักร้องนักแสดงหรืออะไรก็ตามแต่

แต่ถ้าพี่ - น้อง ได้อ่านพระคำของพระเจ้าในหนังสือกิจการ 10:34-48 พี่ - น้องก็จะพบว่า พระเจ้าได้พิสูจน์ให้เปโตรนั้นได้เห็นอะไรบางอย่าง

ให้ที่ประชุมอ่าน กจ.10 : 44-45 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ขณะเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับทุกคนที่ฟังพระวจนะนั้น บรรดาคนเข้าสุหนัตที่เชื่อแล้วซึ่งมาพร้อมกับเปโตรต่างก็ประหลาดใจเพราะว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คนต่างชาติด้วย

กจ.10:34 แล้วเปโตรจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง

อัครทูตเปโตรก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่านี้ว่าพระเจ้านั้นไม่มีความลำเอียง ภายหลังจากที่พระเจ้าได้พิสูจน์ให้อัครทูตเปโตรได้เห็นแล้วว่า พระองค์นั้นไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใดหรือได้พิสูจน์ให้เปโตรได้เห็นแล้วว่า

1)จิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนนั้น มีคุณค่าต่อสายพระเนตรของพระเจ้าอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

2)พระเจ้าไม่ได้ทรงทอดพระเนตรหรือมองมนุษย์ เหมือนอย่างที่เรามองมนุษย์ด้วยกันเอง

และด้วยการพิสูจน์ที่ว่านี้นี่เองทำให้เปโตรจึงเป็นพยานในเรื่องนี้ได้อย่างเต็มปาก เต็มคำว่า พระองค์นั้นไม่มีความลำเอียงจริงๆ  

ในขณะเดียวกัน ในพระคัมภีร์เดิมก็ได้มีการสอนในเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน

ใน ลวต.19:15 เจ้าอย่าพิพากษาด้วยความอยุติธรรม เจ้าอย่าลำเอียงเข้าข้างคนจนหรือเห็นแก่หน้าผู้เป็นผู้ใหญ่ แต่เจ้าจงพิพากษาเพื่อนบ้านของเจ้าด้วยความชอบธรรม

ในฉลธ.1:17 ท่านทั้งหลายอย่าลำเอียงในการพิพากษา จงฟังผู้น้อยและผู้ใหญ่ให้เหมือนกัน ท่านทั้งหลายอย่ากลัวหน้ามนุษย์เลย เพราะการพิพากษานั้นเป็นของพระเจ้า และคดีใดที่ยากจงนำมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะพิจารณาเอง

            ทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ต่างได้ยืนยันและบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เราไม่ควรที่จะลำเอียง เหตุเพราะว่าโดยธรรมชาติของพระเจ้าแล้วนั้น พระองค์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ดังนั้นเมื่อพระเจ้า พระบิดาของเราไม่ได้ลำเอียงหรือไม่ได้เลือกที่จะปฏิบัติต่อเราแล้ว เราผู้ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้าก็ไม่ควรที่จะลำเอียงหรือเลือกที่จะปฏิบัติต่อมนุษย์ทั้งต่อผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อด้วยเช่นกัน

ประการที่ 2 อยู่ในข้อที่ 2 - 4 พระกิตติคุณของพระเยซูเป็นพระกิตติคุณที่ไม่ลำเอียง

            จากพระคำของพระเจ้าในข้อนี้ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า

1) พระเจ้าไม่ได้แบ่งแยกเราในเรื่องชีวิตนิรันดร์

2)พระเจ้าไม่ได้แบ่งแยกเราในการรับพระกิตติคุณของพระองค์

3) พระเจ้าไม่ได้แบ่งแยกมนุษย์หรือไม่ได้แบ่งแยกเราในเรื่องความรอด

ในขณะเดียวกัน เมื่อเราได้พิจารณาถึงพระราชกิจที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำในช่วง 3 - 3.5 ปี ที่พระองค์ได้ทรงปรนนิบัติรับใช้ พระเจ้า พระบิดาของพระองค์นั้นเราก็พบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เพราะไม่ว่าชาวยิวในสมัยนั้นจะมีอาชีพอะไรก็ตามแต่ ไม่ว่าจะเป็น นายทหาร คนเก็บภาษี ชาวประมง นักการเมือง ขันที พ่อค้า และไม่ว่าร่างกายภายนอกของพวกเขานั้นจะแต่งตัวอย่างไร และหรือไม่ว่าพวกเขานั้นจะมีรายได้มากน้อยแค่ไหนก็ตาม

รวมทั้งไม่ว่าพวกเขาจะไปหาพระเยซู ทั้งที่อยู่ในธรรมศาลาหรือที่นอกธรรมศาลาก็ตาม ถ้าคนยิวเหล่านั้นต้องการที่จะให้พระเยซูช่วยเหลือ ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย หรือต้องการที่จะได้รับความรอด หรือต้องการที่จะได้รับชีวิตรันดร์  องค์พระเยซูคริสต์ก็จะนำพวกคนเหล่านั้นให้รับเชื่อ เพื่อที่พวกเขานั้นจะได้รับความรอด และนี่คือ พระคุณความรอดของพระกิตติคุณที่ไม่มีความลำเอียง

พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ได้เข้าไปสัมผัสในจิตใจ หรือได้เข้าไปวินิจฉัยภายในใจ และหรือได้เข้าไปปฏิบัติการภายในใจของคนๆนั้นอย่างแท้จริง คนๆนั้นจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ซึ่งเราอาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์นั้นเปลี่ยนคนจากภายในสู่ภานอก ( Change From Inside Out ) นี่คือความดีเลิศ นี่คือความประเสริฐของพระกิตติคุณของพระเยซูที่ไม่ลำเอียง

เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ให้กับผู้คนในสังคมอย่างไม่ลำเอียง เราเองในฐานะบุตรของพระเจ้า เราเองก็ควรที่จะประกาศข่าวประเสริฐหรือพูดถึงพระคุณความรอดแห่งไม้กางเขน ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้กับผู้คนได้ฟังอย่างไม่ลำเอียงด้วยเช่นกัน

ไม่ใช่เห็นหน้าแล้วรู้สึกไม่ชอบใจ ก็ไม่อยากประกาศหรือเป็นพยานมันแล้ว หรือเห็นคนแถววัดปากสมุทรแล้วรู้สึกไม่ดีเลย มาเสิร์ฟอาหารในงานศพแม่ของคุณอ๊อดแล้ว

ปากก็ยังคาบบุหรี่อีกต่างหาก ทำให้เราไม่อยากที่จะพูดเรื่องพระเจ้ากับเขา

ซึ่งผมเข้าใจพี่ - น้องนะครับ เพราะตัวของผมเองนั้นเคยอยู่ในงานศพของพี่ - น้องคริสเตียนคนหนึ่งที่ อ. บ้านกรวด จ. บุรีรัมย์ ซึ่งญาติพี่ - น้องของเขานั้น ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า

ญาติพี่ - น้องของผู้เสียชีวิตหลายคนอยู่ในภาวะทั้งกิน ทั้งดื่ม แต่มีคนหนึ่งที่ดันอยากจะรู้จักกับพระเจ้าในสภาพที่ยังเมาๆอยู่อย่างนั้น พี่ - น้องคริสเตียนหลายคนไม่อยากพูดพระกิตติคุณกับเขา เหตุเพราะเขาเมาและเหม็นเหล้า ซึ่งผมเข้าใจดี ( ในกรณีของผมนี้ปรากฏว่าเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ทั้งที่เมาๆอยู่อย่างนั้น และเมื่อเขามีสติอีกครั้งผมก็ให้พี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณของผมได้นำเขารับเชื่อใหม่อีกครั้งหนึ่ง )

พี่ - น้องที่รักครับ สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องก็คือว่า ความดีและความประเสริฐแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูนั้น ทำให้เราไม่สามารถพิจารณามนุษย์โดยดูจากเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แล้วก็มีความคิดว่าชอบหรือไม่ชอบหรือจะประกาศกับเขาหรือไม่ประกาศกับเขาเท่านั้น เราต้องขยายจิตใจของเราให้กว้างมากพอกับทุกคน และทุกสถานการณ์เพื่อข่าวประเสริฐของพระองค์

ในขณะเดียวกัน ยากอบก็ได้ให้ตัวอย่าง ที่น่าสนใจเอาไว้แก่เราในข้อที่ 2 - 4 ให้เราได้อ่านร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าถ้ามีคนหนึ่งสวมแหวนทองคำ และแต่งตัวดีเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และมีคนจนคนหนึ่งแต่งตัวซอมซ่อเข้ามาด้วย และท่านสนใจคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอย่างดี และกล่าวโอภาปราศรัยกับเขาว่า เชิญท่านนั่งที่นี่เถิด หรือ จงนั่งแทบเท้าของเราเถิด ท่านมิแบ่งชั้นวรรณะและวินิจฉัยด้วยใจชั่วหรือ

มีเรื่องเล่าว่า มีผู้หญิงชั้นสูงซึ่งเป็นสมาชิกของคริสตจักรในประเทศอังกฤษแห่งหนึ่งได้แต่งกายสไตล์ผู้ดีอังกฤษมานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักร (ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ น๊ะครับพี่ - น้อง)

แต่ที่ไม่ดีก็คือว่า วันนั้นมีสตรีคนหนึ่งที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า เธอเป็นคนยากจนแต่งตัวปอนๆเข้ามาในคริสตจักรและนั่งใกล้ๆที่ม้านั่งตัวเดียวกับเธอ สตรีที่เป็นผู้ดีคนนี้ก็ขยับหนีและเก็บชายกระโปรง เพื่อไม่ให้ชายกระโปรงของเธอต้องไปแตะชายกระโปรงของหญิงยากจนคนนั้น

            พอศิษยาภิบาลเดินเข้ามาทักทาย สตรีผู้ดีอังกฤษคนนั้นจึงปรารภกับศิษยาภิบาลขึ้นว่า ท่านได้กลิ่นอะไรแปลกๆ แถวนี้มั้ยค่ะ

ศิษยาภิบาลจึงตอบไปว่า ผมได้กลิ่นแต่ดอกลำเอียงผมว่ามันคงอยู่แถวนี้แน่นอนเลย

พี่ - น้องที่รักครับ การที่พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 2 - 4 ได้กล่าวเอาไว้อย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า เป็นการยกชูคนที่เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวยและกล่าวตำหนิคนที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน พระคำของพระเจ้าไม่ได้พูดอย่างนั้น

พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ ต้องการที่จะสื่อให้เราทราบว่า พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์นั้น ไม่มีความลำเอียงทั้งในโบสถ์และนอกโบสถ์ ดังนั้นเราอย่าได้ปฏิบัติต่อผู้คนโดยเพียงแต่ดูพวกเขาเพียงแค่ภายนอก ยากอบไม่อยากให้ Spirit หรือจิตวิญญาณนี้เข้ามาในคริสตจักร

พระคำของพระเจ้าใน อฟซ.2:14 ตรัสดังนี้ว่า เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเราเป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง

พี่ - น้องที่รักครับ ประเทศไทยของเรานั้น เป็นประเทศที่มีระบบชนชั้นในสังคมมากมายหลายอย่างดั่งที่เรียนให้ทราบในตอนต้นแล้ว ดังนั้นคริสตจักรของพระเจ้าและคนของพระเจ้าจะต้องสวนกระแสโดยเปิดประตูให้กว้างแก่คนทุกคน เราจะต้องไม่วางสิ่งกีดขวางหรือเราจะต้องไม่ขวางคน ในการที่เขาจะเข้ามาในคริสตจักรของพระเจ้าไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เขามีความรู้สึกว่าเขาเข้ามาไม่ได้

เหตุเพราะโบสถ์นี้ Hiso หรือ Loso โดยเฉพาะในทางของพระเจ้าแล้วเราจะพิจารณาคนโดยวัดตามสภาพการเงินนั้นคงไม่ได้ แต่เราต้องพิจารณาจากคุณค่าของคนและโอกาสที่ชีวิตของเขานั้นอาจจะก้าวหน้า หรือแปรเปลี่ยนไปโดยพระคุณของพระเจ้าเป็นหลัก

ดังนั้นคนของพระเจ้าและคริสตจักรของพระเจ้า จะต้องอ้าแขนรับคนทุกประเภทที่ต้องการรับความรอด เหมือนกับคนทุกประเภทที่พระเยซูคริสต์ทรงอ้าแขนรับหรือเหมือนกับการที่พระองค์ทรงเข้าไปพบปะกับทุกคน เพราะในสายเนตรของพระเจ้าแล้ว คนนั้นจะมีหรือคนนั้นจะจน ทุกคนต่างมีความสำคัญต่อพระองค์อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

ประการที่ 3 อยู่ในข้อที่ 8 - 9 ความเชื่อในพระเจ้าไม่มีความลำเอียง

            พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ได้พูดถึง ธรรมบัญญัติหรือบัญญัติ 10 ประการ ซึ่งเป็นเหมือนกับกฏเกณฑ์หรือเป็นกฎหมายของพระเจ้า

ในสมัยของชนชาติอิสราเอลพระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า แม้ว่าเราจะรักษาพระบัญญัติ 10 ประการของพระเจ้าเอาไว้ได้เกือบทั้งหมด แต่ถ้าเราทำผิดเพียงข้อเดียว เช่น ฆ่าคนตาย นั่นเท่ากับว่าเราทำผิดหมดไหมครับ ? ผิดหมดเลย

            ท่านยากอบจึงเตือนเราว่า แท้จริงแล้วพระบัญญัติของพระเยซูนั้น ทรงมีเอกภาพหรือมีผลบังคับเช่นเดียวกับธรรมบัญญัติหรือบัญญัติ 10 ประการของพระเจ้า พระบัญญัติของพระเยซูมีกี่ข้อครับพี่ - น้อง ? 2 ข้อ

บัญญัติข้อแรก            ว่าเอาไว้อย่างไรครับ ? ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มก.12:30

บัญญัติข้อที่ 2 ว่าเอาไว้อย่างไรครับ ? จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

ซึ่งพระบัญญัติทั้ง 2 ข้อนี้ ผู้เชื่อโดยส่วนมากต่างรู้และหลายคนสามารถที่จะท่องจำข้อพระคัมภีร์ข้อนี้กันได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเราเลือกที่รักมักที่ชัง เช่น ถ้าเราเลือกที่จะประกาศกับคนนู้นไม่ประกาศกับคนนี้เหตุเพราะ

1 ) เขาขาวฉันดำ 2 ) ฉันเด็กในเมืองนั่นมันเด็กหลังเขา 3 ) ฉันคนกรุงนั่นคนอีสาน 4 ) ฉันอยู่ในตระกูลพระราชทานส่วนคนนั้นอยู่ในตระกูลโคกขุนทดหรือเลี้ยวลงรู

พี่ - น้องคิดว่าคิดอย่างนี้ถูกต้องไหมครับ ? ถ้าใครมีทัศนคติที่คิดลำเอียงอย่างนี้ ถึงแม้ว่าผู้เชื่อคนนั้นจะถือรักษาบัญญัติข้อแรกเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ถือว่าใช้ได้ไหมครับพี่ - น้อง ? ใช้ไม่ได้เลย

ถือว่าขาดความเข้าใจในพระคำของพระเจ้า เมื่อขาดความเข้าใจในพระคำของพระเจ้านั่นก็เท่ากับว่า

1 ) ขาดความเข้าใจในการดำเนินชีวิตคริสเตียนและมีชีวิตที่ยังไม่เหมือนพระเยซู

2 ) เรากำลังสบประมาทพระนามอันประเสริฐของพระองค์ และเรากำลังทำให้พระนามของพระเยซูนั้นเสื่อมเกียรติ เหตุเพราะความเชื่อในพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นจะต้องไม่มีความลำเอียงใดๆเลย

ซึ่งโดยปกติแล้ว สังคมโดยทั่วไปที่เรามองเห็นด้วยสายตาของเรา คนส่วนมากมักจะเชิญคนที่อยู่ในระดับสังคมเดียวกันหรือกลุ่มเดียวกัน   เข้ากลุ่มเข้าพวกใช่หรือไม่ ?

ไม่บ่อยครั้งเท่าไหร่นักพี่ - น้องที่รักครับ ที่เราจะได้เห็นคนจนและคนรวยอยู่ด้วยกันในสังคมไทยหรืออาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า ในสถานที่ต่างๆเรามักจะเห็นคนสองกลุ่มนี้แยกกันอยู่โดยปริยาย

พระคำของพระเจ้าในพระธรรมยากอบจึงเตือนเราว่า ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกๆคน ต่างมีหน้าที่ๆจะต้องทำตามพระบัญญัติขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าเรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

1 ) ความต่างของสังคมภายนอกจะไม่มีผลอะไรกับเรา

2 ) เราก็สามารถที่จะอยู่ร่วมกันและสามารถที่จะทำงานด้วยกันได้

อ. เปาโล ได้บอกกับเราเอาไว้ใน กลท.5:1 เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่นและอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย

อ.เปาโลได้บอกกับเราว่าเราทุกคนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่าในองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น ไม่มียิวไม่มีกรีก ไม่มีทาสและไม่มีไทหรือถ้าจะให้พูดอย่างเข้าใจง่ายๆนั่นก็คือ ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ไม่มีคนจน ไม่มีคนรวย ไม่มีคนชนชั้นสูง ไม่มีคนชนชั้นต่ำ ไม่มีคนไฮโซหรือโลโซใดๆทั้งสิ้น

            พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อความรักของพระเจ้าไม่ลำเอียง พระกิตติคุณของพระองค์ก็ไม่ลำเอียงและในความเชื่อของพระองค์ไม่มีความลำเอียงแล้ว ดังนั้นอย่าให้ทั้ง 3 สิ่งนี้เป็นเพียงทฤษฏีในชีวิตหรือในคริสตจักรของเราเท่านั้น แต่ให้มันเป็นทฤษฏีที่มีชีวิตนั่นคือ สามารถที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริง

            พี่ - น้องที่รักครับ ผมขอบคุณพระเจ้าเหตุเพราะเมื่อผมเตรียมพระคำของพระเจ้าในตอนนี้และได้มีโอกาสมานั่งวิเคราะห์ดู ผมก็พบว่าคริสตจักรของพระเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ในสังคมเมืองซึ่งทำให้เรานั้นได้มีโอกาสต้อนรับแขกเหรื่อและผู้คนมากมาย

ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมาจากสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน เพื่อร่วมในการรับใช้พระเจ้า รวมทั้งยังได้มีโอกาสต้อนรับครอบครัวของพี่ - น้องสมาชิก ให้เข้ามาพักอาศัยในยามยากลำบากแม้ว่าบางคนจะยังไม่รู้จักกับพระเจ้าก็ตาม

และรวมทั้งได้มีโอกาสต้อนรับพี่ - น้องสมาชิก ที่มาจากต่างโบสถ์หรือต่างคริสตจักรอย่างอบอุ่น , เสมอภาคและเท่าเทียมกัน ซึ่งตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ผมพบว่าคริสตจักรของพระเจ้าแห่งนี้ไม่ขาดพระพรของพระเจ้า ซึ่งโดยภาพรวมในฝ่ายวิญญาณแล้ว ผมเข้าใจว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยจากท่าทีของคริสตจักร และพระองค์ทรงได้รับเกียรติจากการกระทำของพี่ - น้องสมาชิกแห่งนี้

ในขณะเดียวกันเราเองก็จะต้องอธิษฐานเผื่อ สำหรับคริสตจักรของพระเจ้าในบางที่บางแห่งที่ยังมีความลำเอียงอยู่บ้าง ประการที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือเราก็จะต้องอธิษฐานเผื่อคริสตจักรของพระเจ้าแห่งนี้ต่อเนื่องไป

เพราะที่โคนไม้กางเขนนั้น พระเจ้าได้ทำให้ความสูงต่ำทางสังคมนั้นหมดไปหรือพระเจ้าได้ทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลงเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นให้เราได้อธิษฐานเผื่อต่อเนื่องไป เพื่อที่จะไม่มีใครหรือผู้ใดได้ก่อกำแพงแห่งการแบ่งชนชั้นนั้นขึ้นมาอีกในคริสตจักร

เพราะถ้ามีการแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างนั้นขึ้นมาเมื่อใด จากพระพรที่พระเจ้ากำลังอวยพรคริสตจักรและพี่ - น้องสมาชิกแห่งนี้อยู่ดีๆ มันก็จะจางให้ไป จากเรื่องที่กำลังตื่นเต้น น่าชื่นชมยินดี มันจะกลายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าขึ้นมาในทันที ดังนั้นเราจะต้องไม่ลืมที่จะอธิษฐานเผื่อคริสตจักรและพี่ - น้องของเราเกี่ยวกับการมีทัศนคติในเรื่องนี้อย่างถูกต้องด้วยนะครับ ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

Green City