ยุคเข็ญต้องมีสติ ชีวิตจึงสงบ

คำเทศนาเรื่อง “ยุคเข็ญต้องมีสติชีวิตจึงสงบ”

      มธ.24 : 23-25 (23)ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า "แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่" หรือ "อยู่ที่โน่น" อย่าได้เชื่อเลย 24ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง ถ้าเป็นได้ 25ดูเถิดเราได้กล่าวเตือนท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว  และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ “ยุคเข็ญต้องมีสติชีวิตจึงสงบ”

  พี่น้องที่รักครับ ถ้าพี่น้องยังจำในคำเทศน์ คำสอนของผมได้พี่น้องก็คงจะจำในสิ่งที่ผมได้เคยพูดกับพี่น้องเอาไว้ในทำนองที่ว่า เวลานี้องค์พระเยซูคริสต์นั้นได้เสด็จมาแล้วแต่พระองค์ยังมาไม่ถึง

  คำถามคือว่าเรารู้ได้อย่างไร ? คำตอบคือผ่านสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ Ex. เช่น 1.น้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือเกิดการพังทลายลง 2.สภาวะฝนตกหนัก 3.หิมะตกลงในประเทศที่ไม่ควรจะตก 3.การเกิดแผ่นดินไหวมีอัตราที่ถี่มากขึ้น 4. เกิดการ Tsunami ในประเทศต่างๆที่มากขึ้น 5.สภาวะโลกร้อนที่ร้อนมากขึ้นและนับวันภัยพิบัติต่างเหล่านี้ก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้นและมากขึ้น

  นี่คือ signal หรือสัญญาณเตือนที่พระเจ้าทรงกำลังเชื่อต่อกับเราที่เป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่าพระองค์นั้นเสด็จเข้ามาแล้วแต่พระองค์ยังมาไม่ถึง ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่น้องจะต้องรู้และต้องเข้าใจนะครับ

  สิ่งที่พี่น้องจะต้องรู้และพี่น้องจะเข้าใจให้ตรงกันนั่นก็คือว่า ในเวลานี้เราผู้ซึ่งเป็นผู้เชื่อยังอยู่ในยุคเข็ญอีกด้วย คำถามก็คือว่าเรารู้ได้อย่างไร ?

  สิ่งที่เกิดขึ้นกับอิรัค สิงที่เกิดขึ้นกับอียิปต์ สิ่งที่เกิดขึ้นกับซีเรีย หรือที่เราเรียกว่า Arab Spring เป็นสิ่งที่บอกกับเราว่าโลกของเราในเวลานี้ได้เข้าสู่ยุคเข็ญแล้ว

  คำตอบก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนโรฮิงยา ประเทศ อาเจนติน่า เวเนซุเอลา Hong Kong รวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศรวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย ที่คนไทยมีอัตราการหย่าร้างสูงรวมถึงการที่มีคนไทยฆ่าตัวตายกันง่ายมากขึ้น เกิดอะไรขึ้นนิดๆหน่อยๆก็ฆ่าตัวตายกันแล้ว สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เราทราบว่ายุคยากเข็ญได้เข้ามามากขึ้นและมากขึ้นด้วย

  ทั้ง 2 สิ่งที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่พระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกนี้แล้วแต่พระองค์ยังมาไม่ถึงผ่านสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้และยุคเข็ญที่มันได้คืบคลานเข้ามาทำให้เราเห็นว่ามนุษย์เข่นฆ่าทำร้ายหรือทำลายกันให้ถึงตายหรือเจออุปสรรคปัญหาก็ฆ่าตัวตายกันง่ายๆ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้นดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องในฝ่ายกายภาพหรือเป็นเรื่องที่พี่น้องอาจจะพอทราบกันบ้างแล้ว

  แต่สัญญาณเตือนภัยในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณที่ผู้เชื่อจะต้องรู้และจะต้องเข้าใจในเรื่องนี้ เพื่อที่เราจะสามารถเผชิญหน้ากับยุคเข็ญนี้ได้อย่างผู้มีสติ เราได้รับสัญญาณเตือนภัยในฝ่ายจิตวิญญาณนี้แล้วหรือยัง

  อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า “ยุคเข็ญ”ในฝ่ายกายภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตาของเรามองเห็นเราเข้าใจแล้ว เรารู้แล้ว แต่ในฝ่ายจิตวิญญาณสัญญาณนี้เราจะเข้าใจได้อย่างไร ?

   มธ.24:23-25 (23)ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า "แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่" หรือ "อยู่ที่โน่น" อย่าได้เชื่อเลย 24ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง ถ้าเป็นได้ 25ดูเถิดเราได้กล่าวเตือนท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว

  ในฝ่ายจิตวิญญาณเราสามารถที่จะรู้ได้ว่าพระคริสต์ได้เสด็จเข้ามาแล้วหรือยุคเข็ญได้เกิดขึ้นแล้วหรือยัง ให้ดูได้จากความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณหรือให้ดูจากความเสื่อมทรามทางศาสนา ซึ่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงสอนผู้เชื่อเอาไว้ล่วงหน้ามากว่า 2000 ปีแล้ว

  สิ่งที่ผมอยากให้พี่น้องช่วยกันคิดในเวลานี้นั่นก็คือว่า ความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณหรือความเสื่อมทรามทางศาสนานั้นเกิดขึ้นจากใครครับ ? (ก) ผู้นำทางศาสนา (ข) ธรรมิกชนในศาสนานั้นๆ

  ในอพยพ 32 ให้พี่น้องกลับไปอ่านเองนะครับ บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ในอดีตความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณหรือความเสื่อมทรามทางศาสนานั้นเกิดขึ้นเกิดขึ้นจาก 1.ผู้นำทางศาสนา 2.เกิดขึ้นที่พลับพลาหรือเกิดขึ้นที่เต้นท์นัดพบของพระเจ้า

  ภายหลังจากนั้นมาความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณหรือความเสื่อมทรามทางศาสนานั้นก็ยังคงเกิดที่ 1. ตัวของผู้นำทางศาสนา 2. เกิดขึ้นที่โบสถ์คาทอลิค 2)เกิดขึ้นที่วัด 3)เกิดขึ้นที่คริสตจักร

  ให้เรามาพิจารณาประการแรกร่วมกัน ความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณหรือความเสื่อมทรามทางศาสนาที่เกิดขึ้นที่วัดคริสต์หรือโบสถ์คาทอลิคโดยเฉพาะในอดีตที่ผ่านมา คำถามคือว่าเกิดขึ้นอย่างไร

  พี่น้องที่รักครับ สมัยก่อนคริสตศาสนิกหรือผู้เชื่อไม่สามารถที่จะอ่านพระคำของพระเจ้าได้ด้วยตนเอง ดังนั้นพวกเขาต้องทำไมครับ ? รับฟังจากคุณพ่อบาทหลวงเท่านั้น

  ดังนั้นบาทหลวงจะพูดอะไร คริสตศาสนิกจะทำไมครับ ? เชื่อฟังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิบลดที่คริสตศาสนิกจะต้องถูกถวายเชิงถูกบังคับ คำสอนเรื่องใบล้างบาปที่พวกเขาถูกบาทหลวงสอนว่า ทำบาปมากต้องซื้อใบล้างบาปมาก

  ด้วยเหตุนี้เอง พี่น้องไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมพระศาสนจักรคาทอลิค ถึงได้มีทรัพย์สินเงินทองไหลเข้าสู่พระศาสนจักรเป็นจำนวนมาก คำถามก็คือว่า เงินที่ได้มาจำนวนมากเขาไปใช้ทำอะไร ?

  เขาก็เอาไปจ้างช่างเขียนภาพ เขาก็เอาไปจ้างช่างให้ปั้นรูปเคารพติดตามผนังโบสถ์ ไปทำไม้ไม้กางเขนทองคำ ทำถ้วยมหาสนิทซึ่งทำจากเงินและอื่นๆอีกเยอะแยะมากมาย

  แต่เมื่อ Martin Luther ซึ่งก็เป็นพระนักบวชคาทอลิคซึ่งโดยแท้จริงแล้ว Martin Luther เขาถูกเตรียมให้เป็นพระคาทอลิคที่มีอนาคตไกลนะครับ แต่ Martin Luther เห็นว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้มันไม่มีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า มันไม่ถูกต้องเขาจึงนำเรื่องเหล่านี้มาตีแผ่ พอคริสตศาสนิกรู้ความจริงในเรื่องพวกนี้เข้า พวกเขาจึงรู้สึกโกรธมาก พวกเขาจึงลุกขึ้นมาทำการปล้นพระวิหารและเผาอาสนวิหาร

  ด้วยเหตุนี้เอง Martin Luther จึงถูกพระศาสนจักรตามฆ่าเขาจึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า และเมื่อเรื่องนี้เริ่มคลี่คลายลง Martin Luther เขาจึงแยกตัวออกมาและตั้งคณะใหม่ขึ้นมาเรียกว่า โปรแตสแตนท์ ซึ่งแปลว่า คณะปฏิรูปศาสนา แต่ในส่วนของพระศาสนจักรคาทอลิค เขาเรียกเราว่าอะไรมีใครทราบไหมครับ ? พวกกบฎ 

  ดังนั้นขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจว่ายุคเข็ญเกิดขึ้นจากความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณหรือเกิดขึ้นจากความเสื่อมทรามทางศาสนา และคนที่ทำให้เกิดยุคเข็ญขึ้นก็คือคนที่เป็นผู้นำในศาสนานั้นๆนั่นแหละหรือคนที่อยู่ในพระวิหารนั่นแหละ

  ให้เรามาพิจารณาประการที่ 2 ร่วมกัน ความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณหรือความเสื่อมทรามทางศาสนาที่เกิดขึ้น

  คำถามคือว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ? คำตอบก็คือเกิดขึ้นจากคนในศาสนาหรือเกิดขึ้นจากคนที่อยู่ในวัดนั่นแหละ 

  ด้วยวิธีการที่คนในศาสนาหรือคนที่อยู่ในวัด คิดจะออกผลิตภัณฑ์ทางความเชื่อบางสิ่งบางอย่างออกมา โดยล่อลวงให้คนในศาสนิกนั้นลุ่มหลงงมงายเพื่อที่จะได้ช่วยการทุ่มเทการบริจาคเพื่อ 1)การจัดสร้างหรือจัดทำรูปเคารพ 2)บูชารูปเคารพ นมัสการรูปเคารพ

  ยิ่งในบางช่วงบางเวลา มันเกิดมีกระแสอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งหรือคนในศาสนิกนั้นเชื่อการปฏิหารย์สิ่งใดมากเป็นพิเศษเขาก็จะยิ่งจัดทำ จัดสร้าง จัดให้มีการบูชารูปเคารพนั้นๆมากยิ่งขึ้นเช่น จตุคามรามเทพ

  สภาพเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นอยู่ในขณะนี้เป็นอย่างไรครับ ? คนในศาสนาหรือคนที่อยู่ในวัด คิดจะออกผลิตภัณฑ์ทางความเชื่อบางสิ่งบางอย่างออกมา Ex. เช่น เทพทันใจ รวยไม่เลิก

  ซึ่งเหตุและผลของคนที่อยู่ในศาสนา อยู่ในวัด อยู่ในวิหารที่จะทำในเรื่องเหล่านี้ออกมาฟังดูดีมีเหตุผลไหมครับ ? ให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เพื่อจะได้ค้าขายดีๆ เอาไว้ป้องกันภูตผีปีศาจเอาไว้ป้องกันตัวเพื่อใครจะยิงไม่ออกแทงไม่เข้า

  คำถามคือว่า เหตุผลของเขาดีไหมครับ ?

  แต่เบื้องหลังของเหตุผลดีๆคือผลประโยชน์ คือกิจการของมาร ซาตาน วิญญาณชั่ว ที่มันต้องการที่จะทำงานผ่านคนที่มีความเชื่อในศาสนาหรือทำงานผ่านคนที่เป็นผู้นำที่อยู่ในวัด

  มีคนไทยถือที่นับถือพุทธบางคนพูดเอาไว้แบบนี้ครับว่า คนที่เป็นพุทธแท้ คนที่เอาแก่นแท้ของพระศาสนาจริงๆนั้นเขาจะไม่เอาเรื่องเครื่องรางของขลัง จริงหรือไม่จริงผมไม่ทราบได้แต่มีบางคนพุทธเอาไว้แบบนั้น

  ให้เรามาพิจารณาประการที่ 3 ร่วมกัน ความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณหรือความเสื่อมทรามทางศาสนาที่เกิดขึ้นกับคริสตจักร

  คำถามก็คือว่า มันเกิดขึ้นที่คริสตจักรอย่างไร ?

  คำตอบก็คือมันเกิดขึ้นจากคนที่เป็นผู้นำ เกิดขึ้นจากคนที่อยู่ในคริสตจักรนั่นแหละ พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ในยุคเข็ญมันจะมีสิ่งนี้เกิดขึ้นและจะมีมากขึ้นและมากขึ้น

  มธ.24:23-25 (23)ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่า "แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่" หรือ "อยู่ที่โน่น" อย่าได้เชื่อเลย 24ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จ และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ล่อลวงแม้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลง ถ้าเป็นได้ 25ดูเถิดเราได้กล่าวเตือนท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว

  ความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณหรือความเสื่อมทรามทางศาสนาที่เกิดขึ้นกับวัดคริสต์หรือเกิดขึ้นกับวัดพุทธมีความคล้ายคลึงกันนั่นคือนำพาคนในศาสนิกให้ออกจากคำสอนที่ถูกต้อง นำพาผู้คนออกไปสู่การนมัสการรูปเคารพ

  แต่ในส่วนของคริสตจักร มาร ซาตาน มันรู้ว่าคริสเตียนนั้นไม่เอาเรื่องรูปเคารพและไม่นมัสการรูปเคารพ แต่คริสเตียนเอาเรื่องอะไรครับ ? เรื่องฤทธิ์เดช เรื่องการเผย การพยากรณ์ เรื่องหมายสำคัญและการอัศจรรย์

  สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจในเรื่องนี้นั่นก็คือว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้ยังมีอยู่จริง แต่โดยส่วนมากพระเจ้าทรงพูดกับเรา ทรงตรัสกับเราโดยส่วนมากผ่านทางพระคำของพระองค์ 

  สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจในเรื่องนี้นั่นก็คือว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้ยังมีอยู่จริง แต่ที่ไม่จริงคืออะไรครับ ? คือคนที่พูดว่ามีของประทานนั่นนี่นู่นนั่นแหละว่าเป็นมาจากพระเจ้าจริงหรือไม่

  ด้วยเหตุนี้หลายๆคริสตจักร โดยเฉพาะคริสตจักรที่มีมาตราฐานหรือคริสตจักรที่มีกฏระเบียบข้อบังคับหรือมีธรรมนูญของคริสตจักรจึงจะไม่ให้ใครหรือเชิญใครที่เพิ่งมาเยี่ยมหรือมาร่วมนมัสการกับเราได้ไม่นาน ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างประเทศมาร่วมรับใช้หรือเชิญมาใช้ของประทานนั่นนี่นู่นให้กับพี่น้องสมาชิกในคริสตจักร

  สิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงไหนพี่น้องทราบไหมครับ ? สิ่งที่น่าสนใจอยู่ตรงที่แม้แต่คนที่ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้เป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้พระองค์ คนที่ได้รับการเจิมตั้งให้เป็น 1.อาจารย์ 2.ศิษยาภิบาล 3.ศาสนาจารย์ ก็มีโอกาสหลงไปได้ง่ายๆกับเขาในเรื่องอย่างนี้ด้วย

  ใครมาเยี่ยมแล้วบอกว่า เขามีของประทานนั่นนี่นู่น อาจารย์ ศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์ หลายคนก็ทำไมครับ ? คิดว่าเขาเป็นผู้มีของประทานจริงเลยให้เขาเข้ามามีส่วนในการรับใช้ พระคำของพระเจ้าจึงได้กล่าวเตือนเราว่า แม้กระทั่งผู้รับใช้ของพระเจ้าก็มีโอกาสที่จะหลงไปได้ง่ายๆกับเขาในเรื่องอย่างนี้ด้วย

  พี่น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า หลักการของพระเจ้า คือ พระองค์เสด็จมาเพื่อให้ความจริง เสด็จมาเพื่อให้ชีวิต

  สิ่งใดก็ตามที่เข้ามาและนำเราออกจากความจริงโดยเฉพาะความจริงแห่งพระวจนะ สิ่งนั้นไม่ได้เป็นมาจากพระเจ้า

  ฤทธิ์ใด อำนาจใด การอัศจรรย์ใด ที่คนของพระเจ้าทำต้องมีไว้เพื่อช่วยชีวิต แต่ถ้าฤทธิ์ใด อำนาจใด การอัศจรรย์ใด ที่คนของพระเจ้าทำกับทำลายชีวิตคน สิ่งนั้นไม่ได้เป็นมาจากพระเจ้า

  แต่เราจะมีความเข้าใจในเรื่องอย่างนี้ได้ไหม ถ้าเราไม่อ่านพระคัมภีร์ ถ้าเราไม่แน่นพระคำของพระเจ้า ถ้าเราไม่มีจุดยืนบนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้า

  คนที่อยู่ในศาสนาไม่ว่าจะคริสเตียน คริสตตังค์หรือคนที่อยู่ในศาสนาพุทธที่เขาทำในเรื่องที่เป็นความเสื่อมทรามทางจิตวิญญาณหรือความเสื่อมทรามทางศาสนานั้นๆได้ เพราะผู้เชื่อโดยส่วนมากเอาแต่เปลือกนอกเขาไม่ได้เอาแก่นแท้ของพระศาสนา

  สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจให้ตรงกันเพิ่มเติมนั่นก็คือ คำว่า “พระคริสต์ได้เสด็จมาแล้วแต่พระองค์ยังมาไม่ถึง” หรือ “ยุคเข็ญที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วนั้น” มีความหมายว่า อะไรที่ยังไม่เคยเกิดมันจะเกิดขึ้นมาอีก อะไรที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมันจะปรากฏให้เราได้เห็นมากขึ้น

  หากใครติดตามข่าวสารทางศาสนาก็จะพบว่าผู้นำทางศาสนาในหลายประเทศทั่วโลกทั้งพุทธ คริสต์และคาทอลิค ต่างถูกหน่วยงานราชการในประเทศนั้นๆตรวจสอบในเรื่องศีลธรรมจริยธรรมและถูกตรวจสอบเส้นทางๆการเงินอย่างหนักในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา

   และถ้าหากใครได้ติดตามข่าวในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้พี่น้องก็คงจะทราบว่าทะเลไทยกำลังมีปัญหาในเรื่อง “ขยะ” โดยเฉพาะ “ขยะพลาสติก” โดยเป็นที่น่าตกใจคือการตายของเจ้า “มาเรียม” พะยูนขวัญใจคนไทย ที่ท้ายที่สุดก็ต้องมรณาไปเพราะน้ำมือมนุษย์ ด้วยการกินถุงพลาสติกแล้วไปอุดตันที่ลำไส้

  คำถามก็คือว่า ปลาพะยูน ที่ชื่อว่าเจ้า “มาเรียม” นั้นตายแล้วไปไหน เขาเอาไปให้พระปลุกเสกทำเป็นเครื่องรางของขลัง

  เขาเอาไปทำเพราะอะไร ? เพราะก่อนที่มันจะตายมันเป็นที่เอ็นดูของหลายๆคน มันมีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะฉะนั้นหลายคนที่อยู่ในศาสนาจึงเชื่อว่าใครที่มีมาเรียมไว้บูชาจะได้รับความเอ็นดูจากผู้คน จะเป็นคนที่มีชื่อเสียง

  นี่คือสิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจ คำว่า “พระคริสต์ได้เสด็จมาแล้วแต่พระองค์ยังมาไม่ถึง” หรือ “ยุคเข็ญที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วนั้น” มีความหมายว่า อะไรที่ยังไม่เคยเกิดมันจะเกิดขึ้นมาอีก อะไรที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นมันจะปรากฏให้เราได้เห็นมากขึ้น

  1 ปต.4:7อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะ และจงรู้จักสงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน

  พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า อวสานของโลกใกล้เข้ามามากแล้ว โลกนี้สั้นลงในทุกๆวัน คนของพระเจ้าต้องมีปัญญา คนของพระเจ้าจะต้องมีสติ

  ท่ามกลางที่พระคริสต์เสด็จมาแล้วแต่พระองค์ยังมาไม่ถึง ท่ามกลางยุคเข็ญที่เกิดขึ้นแล้ว คนของพระเจ้าต้องรู้จักสงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน

  ทำไมพระคัมภีร์ถึงให้เราสงบใจ ถ้าเราไม่สงบใจเราก็จะวิ่งไปตามสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น พระคำของพระเจ้าใช้คำหนึ่งนั่นคือคำว่า “จง” ซึ่งนั่นหมายความว่า ให้เรานั้นต้องปฏิบัติ ให้เรานั้นผูกพันตัวกับพระเจ้า

  คนที่ผูกพันตัวกับพระเจ้า แม้ว่าเงินจะไม่มี หนี้กำลังจะมา อีกสารพันปัญหาเข้ามารุมเร้า คนที่ผูกพันตัวกับพระเจ้า คนที่ยังตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานแห่งความเชื่อในพระวนจะคำของพระเจ้าเขาจะได้เห็นถึงความอัศจรรย์ของพระเจ้า

 

 

Green City