ยอห์น อัครทูตแห่งความรัก

คำเทศนาเรื่อง ยอห์น อัครทูตแห่งความรัก

                                            

ในเช้าวันนี้ ผมจะแบ่งปันชีวิตสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกท่านหนึ่ง ให้กับพี่ - น้องที่จะได้มีโอกาสได้ศึกษาร่วมกันกัน เป็นสาวกคนคนที่ 5 นะครับ ซึ่งจะเป็นชีวิตของยอห์นบุตรเศเบดี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอัครทูตแห่งความรัก

ดังนั้นในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม มก.1:19 - 20 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มก.1:19-20 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับและผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า ยอห์นอัครทูตแห่งความรัก ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

            พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าเราต้องการที่จะเรียนรู้จักกับอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนนี้นั้น เราสามารถที่จะเรียนรู้จักเขาได้ผ่านทางหนังสือพระกิตติคุณยอห์น และเราสามารถที่จะเรียนรู้จักเขาได้ผ่านพระธรรม 1 ยอห์น , 2 ยอห์น , 3 ยอห์น และเราสามารถที่จะเรียนรู้จักเขาคนนี้ผ่านทางพระคัมภีร์วิวรณ์ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ คริสเตียนเรานั้นมักจะรู้จักสาวกคนนี้เป็นอย่างดีในฐานะ อัครทูตแห่งความรัก และเรามักจะรู้จักเขาดีในอีกฐานะหนึ่งนั่นก็คือในฐานะ อัครทูตที่พระเยซูทรงรัก

แต่ถ้าเราจะใช้ วลี นี้กับสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนนี้ผมคิดว่าก็คงจะดูคลาสิคอยู่ไม่น้อยนั่นก็คือ อัครทูตผู้เผาไม่ไหม้ ใกล้ไม่ร้อน นอนไม่มาก ปากไม่โป้ง โกงไม่เป็น

เผาไม่ไหม้ หมายความว่าอะไร ? หมายความว่า ไม่ว่าจะมีไฟแห่งการทดลองใดๆมาเผาเขาก็ตามอัครทูตคนนี้เขาก็สามารถที่จะทนได้ ดังเช่นเขาต้องทนทุกข์ทรมานในการที่จะต้องอยู่ที่เกาะปัทมอสเพียงลำเพียงคนเดียว ด้วยความยากลำบาก แต่อัครทูตคนนี้เขาก็สามารถที่จะมีชัยชนะเหนือการทดลองนั้นได้

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก ยอห์นเขาจึงเป็นสาวกที่มีอายุยืนยาวมากกว่าสาวกอีก 11 คน หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเขาเป็นอัครทูตคนสุดท้ายที่เสียชีวิต

ใกล้ไม่ร้อน หมายความว่าอย่างไรครับ ? เราทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า พระเจ้าทรงเป็นความรัก ซึ่งอัครทูตยอห์นคนนี้นั้นเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูมากที่สุดท่านจึงได้ซึมและซับ เอาความรักขององค์พระเยซูคริสต์มาไว้ในชีวิตของท่านได้อย่างมากมาย ดังนั้นใครก็ตามที่ได้เข้าอยู่ใกล้ๆกับอัครทูตคนนี้เขาก็จะไม่มีวันร้อน

ส่วน นอนไม่มากนั้น มีหมายความว่าอย่างไร ? ซึ่งก่อนที่เราจะเข้าใจความหมายนั้น พี่ - น้องก็จะต้องมีความเข้าใจในพระคำของพระเจ้าก่อนว่า พระคัมภีร์นั้นได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูคริสตเจ้านั้นได้ทรงปลีกตัวออกไปอธิษฐานจนดึกจนดื่นอยู่เสมอ และในบางครั้งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ทรงอธิษฐานตลอดคืนยังรุ่ง

ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรานั้น ทรงบรรทมไม่มากเท่าไหร่นัก ในขณะเดียวกันพอเวลาเราเปิดพระคัมภีร์เราก็มักที่จะเห็นสาวกของพระเยซูคนนี้ทำไมครับ ? เขาไม่เคยอยู่ห่างไกลไปจากพระเยซูเลย  

ดังนั้นจึงอาจจะเป็นไปได้ว่า เมื่อพระเยซูตื่นสาวกคนนี้ก็ตื่นอยู่ด้วย เมื่อพระเยซูทรงบรรทมสาวกคนนี้ก็นอนด้วย เพราะฉะนั้นยอห์นเขาจึงเป็นสาวกที่ไม่น่าที่จะนอนมากสักเท่าไหร่นัก

ส่วน ปากไม่โป้ง นั้นหมายความว่าอย่างไร ? มีเพียงชาวโลกเพียงหนึ่งมีชื่อว่ารักนะแต่ไม่แสดงออก แต่พระวจนะของพระเจ้าในพระธรรม 1 ยน.3:18 สอนเราว่าเมื่อเรารักใครอย่างแท้จริงแล้ว ห้ามรักเขาด้วยปากแต่เพียงอย่างเดียว แต่ให้สำแดงออกด้วยการกระทำและด้วยความจริง ไม่ใช่พูดไปเรื่อยเหมือนกับความรักของคนในสมัยนี้

ส่วนคำว่า โกงไม่เป็น นั้นก็เข้าใจได้ไม่ยากเลย กล่าวคือ เมื่อยอห์นรักพระเยซูเขาก็จะต้องรักในข่าวประเสริฐของพระองค์ด้วยทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ซึ่งตรงกันข้ามกับคริสเตียนในสมัยนี้ที่ถามว่าพี่ - น้องรักพระเยซูไหม ?

ผู้เชื่อหลายคนตอบด้วยเสียงที่ดังเลยว่ารัก แต่หลายคนก็ไม่ได้ประกาศข่าวประเสริฐ อันนี้เขาเรียกว่ารักแบบขี้โกง ซึ่งผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริงจะต้องไม่ใช่เป็นคนแบบนี้

Ex. เช่น มัทธิวคนเก็บภาษี พอมัทธิวเขาได้มาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่โกงใครอีกเลย คนที่รักพระเยซูต้องเป็นแบบนี้ เขาจะต้องไม่เป็นคนที่โกงใครอีกเลย รวมทั้งเขาก็จะต้องไม่โกงในการที่จะประกาศข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าทั้งต่อหน้าและลับหลังด้วยเช่นกันให้เราถามคนข้างซ้ายข้างขวาว่าวันนี้ท่านได้โกงในการที่จะประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์หรือไม่ ?

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบอัครทูตที่มีความโดดเด่นและมีความเห็นได้ชัด

พี่ - น้องที่รักครับ ก่อนที่อัครทูตคนนี้จะมาเป็นอัครทูตขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น เขามีอาชีพเป็นชาวประมงที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรเลย องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงไปพบเขา ในขณะที่เขากำลังนั่งชุนอวนอยู่บริเวณริมทะเลสาบกาลิลี องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเรียกเขาเหมือนกับที่พระองค์ทรงเรียกสาวกคนอื่นๆว่า ให้เรานั้นได้ไปชุนคนกันดีกว่า

แต่พอเมื่อเขาได้เข้ามาร่วมงานกับพระเยซู และถ้าเราอ่านในหนังสือพระกิตติคุณ

ทั้ง 4 เล่ม อย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณากันให้ดีๆ พี่ - น้องก็จะพบว่าชื่อของเขานั้นถูกเขียนไว้ในอันดับที่ 3 บ้างหรือที่ 4 บ้าง เช่น เปโตร ยากอบและยอห์นหรือไม่ก็ เปโตร อันดรูว์ ยากอบและยอห์น เป็นต้น สิ่งนี้ได้ชี้ให้เรานั้นได้เห็นอะไร ?

ในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว สิ่งนี้ได้ชี้ให้เราได้เห็นว่า ยอห์นนั้นเขายอมที่จะอยู่ภายใต้ร่มเงาหรือยอมที่จะอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจในการเป็นผู้นำของเปโตรและยากอบอยู่เสมอ

คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า เวลานี้พี่ - น้อง คจ.ใจสมานสมุทรสงคราม ได้ยอมที่จะ Submit หรือยอมที่จะอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจในฝ่ายจิตวิญญาณเหมือนกับอัครทูตคนนี้หรือไม่

สิ่งที่น่าเสียเศร้าก็คือว่า มีคริสเตียนไทยอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวพี่ - น้องที่รักที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของผู้นำในคริสตจักรคนใดทั้งสิ้น

พอมีปัญหาอะไรขึ้นมา ก็มักจะพูดในทำนองที่ว่า เขานั้นอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งนั่นเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง

พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า ผู้ที่จะอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจในฝ่ายจิตวิญญาณของพระบิดาได้อย่างตรงๆนั้น มีเพียงคนเดียวนั่นก็คือ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

ดังนั้นการที่มีคริสเตียนบางคนพูดว่า เขานั้นขึ้นตรงกับพระบิดาหรือขึ้นตรงกับพระเยซูเท่านั้นไม่ได้ขึ้นตรงกับใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะกับคริสตจักรหรือกับผู้นำคนไหนก็ตาม นั่นก็เท่ากับว่าคนๆนั้น กำลังบอกกับเราว่าเขานั้นมีสถานภาพที่เทียบเท่ากับพระเยซู

เพราะฉะนั้นถ้าพี่ - น้องคริสเตียนคนไหนก็ตามที่พูดอย่างนี้ และถ้าพี่ - น้องได้ยินคำพูดนั้น ผมขอแนะนำพี่ - น้องด้วยใจรักว่าให้ท่านนั้นช่วยเดินออกห่างๆ เพราะนั่นมันผิดกับน้ำพระทัยของพระเจ้า

กลับมาที่พระคำของพระเจ้า ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า ยอห์นนั้นเป็นชาวประมงธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นที่ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรเลย แต่เมื่อเขาได้ตอบรับคำเชิญของพระเยซู ในการที่จะเข้ามาร่วมงานกับพระองค์นั้น ยอห์นเขาได้เป็นสาวกชั้นในหรือสาวกวงใน ซึ่งสาวกวงในขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นมี 3 คนด้วยกัน

คือ เปโตร , ยากอบและยอห์น และในบรรดาสาวกวงในนี้เองทำให้เราอาจจะพูดอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า ยอห์นนั้นคือสาวกวงในของวงในอีกทีหนึ่ง และการที่เราสามารถที่จะพูดอย่างนี้ได้นั่นก็เพราะว่า

พระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ยอห์นนั้นเขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นจริงๆพี่ - น้องที่รัก ที่เคยพิงอยู่ในพระทรวงของพระเยซูและอย่างน้อยอีก 5 ครั้งในหนังสือพระกิตติคุณที่อัครทูตของพระเยซูคนนี้มักจะเรียกแทนตัวของท่านเองในวลีที่ว่าอัครทูตที่พระเยซูทรงรัก ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ทำให้เรานั้น พอที่จะเข้าใจได้ว่าอัครทูตคนนี้นั้นมีความใกล้ชิดกับพระเยซูเป็นอย่างมาก

และถ้าพี่ - น้องลองมาติดตามดูถึงความใกล้ชิด ความสนิทสนมของสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนนี้ดู พี่ - น้องก็จะพบว่า สาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนนี้ได้นั่งใกล้ชิดกับพระเยซูเป็นอย่างมากในช่วงที่พระเยซูประกอบพิธีศีลมหาสนิท

นอกจากนี้แล้วยังมีอะไรอีกพี่ - น้องยังจำได้ไหมครับ ? ภายหลังจากที่สาวกของพระเยซูคนอื่นๆได้หนีจากพระองค์ไปหมดแล้วนั้น ยอห์นเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้นจริงๆพี่ - น้องที่รัก ที่ยืนดูองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอยู่ที่ใต้โคนของไม้กางเขน และด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นเหตุทำให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น มีความเต็มพระทัยเป็นอย่างมากที่จะฝากพระมารดา คือ นางมารีย์ของพระองค์ไว้กับสาวกคนนี้

นอกจากนี้แล้วยังมีอะไรอีก ที่แสดงถึงความสนิทสนมของพระเยซูกับสาวกคนนี้ อัครทูตคนนี้เป็นสาวกคนแรกที่มาถึงอุโมงค์ฝังศพ และเป็นสาวกคนแรกที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ท่านนั้นได้เห็นว่า พระองค์นั้นไม่ได้อยู่ที่อุโมงค์ฝังศพนั้นแล้ว หรือพระองค์ทรงอนุญาตให้สาวกคนนี้ได้เห็นว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนั่นเอง

นอกจากนี้แล้วยังมีอะไรอีก อัครทูตคนนี้เป็นคนที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้พักอยู่ที่พระทรวงของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงเขียนเอาไว้ในหนังสือ ยน.15:7 ว่า ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น

พี่ - น้องที่รักครับ ความสนิทสนมต่างๆเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้พระเยซูทรงเรียกยอห์นว่าเป็นสาวกที่พระเยซูทรงรักแต่โดยความจริงแล้ว พระองค์ทรงรักเราทุกคนไหมครับ ? องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรักพวกเราทุกๆคน มิใช่เฉพาะแต่ยอห์นเพียงคนเดียวเท่านั้นแต่ยอห์นนั้นอาจจะพิเศษกว่าคนอื่น

ด้วยเหตุนี้นี่เองพี่ - น้องที่รักครับ อัครทูตคนนี้จึงมีความสามารถในการที่จะเขียนพระคำของพระเจ้า โดยเฉพาะในเรื่องราวที่เกี่ยวกับความรักของพระเจ้าได้อย่างชำนาญการมากๆ เช่น ท่านได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ 1ยน.4:8 ว่า พระเจ้าทรงเป็นความรัก

ซึ่งแสดงให้เราได้เห็นว่า อัครทูตคนนี้เขาได้เจาะเข้าไป ถึงส่วนลึกภายในจิตใจขององค์พระเยซูคริสต์อย่างแท้จริง

ซึ่งแสดงให้เราได้เห็นว่าอัครทูตคนนี้ เขาได้เจาะเข้าไปในความนึกคิดของพระเยซูได้เป็นอย่างดี

คำถามก็คือว่า เวลานี้พระเจ้า พระบิดาของเรานั้นประทับอยู่ที่ไหนครับพี่ - น้อง ? สวรรค์ ดังนั้นความรักที่แท้จริงซึ่งเป็นความรักที่บริสุทธิ์นั้นจึงถูกผลิตขึ้นมาจากสวรรค์    ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า ความรักที่แท้จริงนั้นถูกผลิตขึ้นมาจากสวรรค์

แต่ความรักที่ถูกผลิตขึ้นมาจากเนื้อหนังของเรา หรือความต้องการของเราหรือความรักที่ถูกผลิตขึ้นมาจากพัฒน์พงษ์หรือแหล่งบันเทิงโสมมใดๆก็ตามและรวมทั้งความรักที่ถูกผลิตขึ้นมาจากการที่เรานั้นได้เข้าไป Chat หาใครสักคนในโลกของสังคมออนไลน์นั้นก็ตามมันล้วนแต่เป็นความรักที่ถูกผลิตขึ้นมาจากนรก ทั้งสิ้น

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเลยพี่ - น้องที่รัก ที่เราจะเห็นถึงหลายๆคู่นั้นแต่งแล้วเลิก เลิกแล้วแต่ง และถึงแม้ว่าหลายๆคู่นั้นอาจจะไม่ได้เลิกกัน แต่ก็อยู่กินด้วยกันด้วยความไม่ปกติสุขเท่าไหร่นัก

เพราะฉะนั้นน้องๆอนุชน คนหนุ่ม คนสาว คนที่ยังโสดใน คริสตจักรใจสมานสมุทรสงคราม ทั้งหลายเอ๋ย เมื่อท่านรู้อย่างนี้แล้วท่านจะเลือกอย่างไรก็ตามใจปรารถนาของท่านเทอญ

            พี่ - น้องที่รักครับ ความรักที่ถูกผลิตขึ้นมาจากสวรรค์นั้นเขาจะรักอย่างไม่มีแม้ ไม่มีแต่และไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น และองค์พระเยซูคริสตเจ้าทรงรักเราอย่างนี้ กล่าวคือ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรักเราทั้งๆที่เราหลายนั้นเป็นคนบาป พระองค์ทรงรักเราทั้งๆที่เราก็ไม่ค่อยที่จะน่ารักกันสักเท่าไหร่นัก ประการที่สำคัญก็คือพระองค์ทรงรักเราอย่างหมดหัวใจเสมอไม่ว่าเรานั้นจะรักพระองค์ตอบหรือไม่ก็ตาม

            ตัวอย่างที่สะท้อนในความรักนี้อยู่ใน ลก. 15 เป็นเรื่องราวของบุตรน้อยหลงหายซึ่งเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เราเห็นถึงความรักของพระเจ้าได้เป็นอย่างดี แม้ว่าบุตรน้อยคนนั้นจะวิ่งหนีไปไหนแล้วก็ตาม แต่พ่อก็ยังรักเขาและห่วงใยเขาเสมอ และเรื่องราวนี้ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายความรักของพระบิดาที่มีอยู่ในชีวิตของเราได้เป็นอย่างดีด้วยเช่นกันว่าเรานั้นมีหัวใจรักแบบพระองค์นี้หรือไม่

            คำถามก็คือว่า วันนี้แหล่งความรักที่พี่ - น้องมีอยู่ในชีวิตของพี่ - น้องนั้นมันถูกผลิตออกมาจากสวรรค์หรือถูกผลิตออกมาจากที่แหล่งไหน อันนี้เป็นคำถามที่สำคัญ และสมมติท่านตอบว่า สวรรค์ แต่ถ้าในวันนี้ถ้าท่านยังให้ความสำคัญกับวัตถุหรือสิ่งของมากกว่าคน ผมขอบอกเลยว่าท่านกำลังตอบคำถามนี้ผิด เพราะว่าแหล่งความรักนั้นมาจากตัวของท่านเองไม่ได้มาจากพระเจ้า

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 เราพบอัครทูตที่มีความคิดล้ำลึกจนเห็นได้ชัด

            พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าพี่ - น้องได้อ่านในพระวจนะคำของพระเจ้าอย่างกลั่นกรองใคร่ครวญและพิจารณาให้ดีๆโดยเฉพาะจากพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่มนั้นพี่ - น้องก็จะพบว่า

พระธรรมยอห์นนั้นเป็นเพียงเล่มเดียว ที่มีลีลาในการเขียนและมีการใช้สำนวนที่แตกต่างไปจากพระกิตติคุณอีก 3 เล่ม อาจจะกล่าวได้ว่าแม้แต่คนที่เก่งอักษรศาสตร์ก็ยังไม่สามารถที่จะเขียนได้อย่างที่ยอห์นเขียน

คำถามคือว่าเพราะอะไร ? คำตอบก็คือว่า เพราะท่านเขียนจากการที่ท่านนั้นเคยมีชีวิตที่อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูมาก่อนนั่นเอง

อีกเหตุผลหนึ่งอยู่ใน วว. 1:10-11 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

อีกผลหนึ่งนั่นก็คือ การที่อัครทูตยอห์นนั้นเป็นเพียงคนเดียว ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้น ได้ทรงโปรดดลใจให้เขานั้น ได้เห็นถึงโลกใหม่และฟ้าใหม่ที่จะเกิดขึ้นในกาลแห่งอนาคต

พี่ - น้องลองคิดดูนะครับว่า ถ้ายอห์นซึ่งได้ไปเห็นโลกใหม่ฟ้าใหม่มาลำพังเพียงคนเดียว และถ้าเขาจะต้องนำสิ่งที่เขาได้ไปเห็นมานั้นกลับมาเขียนลงในหนังสือม้วน และถ้าข้อความในหนังสือม้วนนั้น มันไม่ได้นำซึ่งความมั่นใจในความรอดให้กับเราทั้งหลายแล้วและพี่ - น้องจะรู้สึกอย่างไร ?

แต่สาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนนี้ กับถ่ายทอดในสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ทรงนำท่านให้ไปรู้และได้ไปเห็นมา ผ่านการเขียนลงในพระคัมภีร์วิวรณ์ซึ่งเป็นเล่มที่ยากที่สุดเล่มหนึ่งได้อย่างละเอียดอ่อนและได้อย่างลึกซึ้ง เพื่อที่จะให้ผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกๆคนนั้นจะได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน อีกทั้งเพื่อที่พี่ - น้องและผมจะได้มีความมั่นใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณว่า คริสเตียนนั้นตายแล้วไปไหน หรือที่นั่น คริสเตียนมีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร ก็ยิ่งทำให้เราทราบว่าอัครทูตคนนี้เป็นคนที่มีความคิดที่ล้ำลึกจนเห็นได้ชัด ท่าน Care คริสเตียนรุ่นหลัง

อาจจะกล่าวได้ว่าพระคัมภีร์วิวรณ์ทำให้เรานั้น ได้เห็นความรักขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่มีมาเหนือชีวิตของเราได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น พูดเพื่อให้เข้าใจง่ายเข้าไปอีกก็คือว่า องค์พระเยซูคริสต์ทรงรักเรา พระองค์ทำให้เราได้เห็นชีวิตในอนาคต ซึ่งเป็นชีวิตหลังความตาย ซึ่งเป็นชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ พระองค์ทำให้เราเห็นว่าฉากจบแล้วเราไปที่ไหน

สิ่งที่ต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องนั่นก็คือว่า ความรักของโลกหรือความรักของมนุษย์นั้นมักจะทำให้คนนั้นตาบอดเสมอ พี่ - น้องว่าจริงหรือไม่จริง ? ถ้ามันไม่จริงมันจะมีข่าวออกมาในแต่ละวันหรือ แต่ความรักของพระเจ้าซึ่งมีแหล่งผลิตอยู่บนสวรรค์นั้นมันจะต้องทำให้คนนั้นคนตาสว่างหรือตาใสขึ้น ซึ่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราก็ได้ทำในสิ่งนี้ให้เราดูผ่านอัครทูตของพระองค์

ดังนั้นในวันนี้ถ้าท่านบอกรัก สามีของท่าน ภรรยาของท่าน ลูกของท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะครับไม่ใช่ไม่ดีและเป็นสิ่งที่พี่ - น้องและผมควรที่จะทำกันต่อไป

แต่ท่านจะต้องทำให้เขานั้นตาสว่างหรือตาใสขึ้น

แต่ท่านจะต้องทำให้เขานั้นได้เห็นพระเยซูอย่างชัดเจนมากขึ้น

แต่ท่านจะต้องทำให้เขานั้นเห็นชีวิตที่ลึกซึ้งทั้งในด้านที่ลึกและกว้าง

มีเรื่องเล่าว่า มีปฏิมากรคนหนึ่งเขาได้ปั้นรูปของยอห์นเอาไว้ ที่กรุงโคเปนเฮเก้น นักปฏิมากรคนนี้เขาได้ปั้นรูปของยอห์นในลักษณะที่มีร่างกายที่กำยำและบึกบึนมากเลยทีเดียว แต่ที่สำคัญนั่นก็คือว่า ที่เท้าของรูปปั้นอัครทูตคนนี้นั้นมีรูปของนกอินทรีย์เกาะอยู่ที่เท้าของเขา ซึ่งก็ทำให้เราพอที่จะทราบได้ว่า นักปฏิมากรคนนี้ต้องการที่จะสื่อสารกับคนที่มาชมในทำนองที่ว่า อัครทูตของพระเยซูคนนี้เป็นผู้ที่มีสายตาแบบ Bird View Eye ซึ่งเป็นสายตาที่แหลมคมมาก

ดังนั้นในวันนี้ถ้าท่านบอกรัก สามีของท่าน ภรรยาของท่าน ลูกของท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะครับไม่ใช่ไม่ดีและเป็นสิ่งที่พี่ - น้องและผมควรที่จะทำกันต่อไป

แต่ท่านจะต้องทำให้เขานั้นเห็นชีวิตของเขาอย่างคมกริบ

แต่ท่านจะต้องทำให้เขานั้นเห็นอนาคต เหมือนกับที่พระเยซูทรงทำให้เราเห็นว่า คนที่รักพระองค์นั้นจะได้ไปอยู่สวรรค์ ดังนั้นเราจะต้องทำให้คนที่เรารักนั้นเห็นอนาคตที่สดใสไม่ใช่เห็นอนาคตที่มืดมน

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า คู่สมรสหลายคู่นะครับทั้งที่เป็นผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อนั้น เมื่อผมมองเข้าไปโดยเฉพาะในมิติของฝ่ายจิตวิญญาณ ต้องขอเรียนด้วยความสัตย์ซื่อว่าผมมองไม่เห็นอนาคตในชีวิตคู่ของเขาเลย

คำถามก็คือว่า ความรักที่พี่ - น้องมีอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าท่านจะมีความรักอยู่กับใครก็ตามแต่ มันทำให้พี่ - น้องได้มี

1.สายตาที่คมกริบแบบนี้บ้างไหม

2.ความคิดอะไรในชีวิตที่ลึกซึ้งมากขึ้นไหม

3.ความเข้าใจในความรักอย่างทะลุปรุโปร่งมากน้อยแค่ไหน อันนี้เป็นคำถามที่อยากจะฝากไว้

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 ประการสุดท้าย เราพบอัครทูตที่มีความใกล้ชิดกับพระเยซูอย่างเห็นได้ชัด

ดังที่ได้เกริ่นให้กับพี่ - น้องได้ฟังในตอนแรกแล้วว่า ในบรรดาสาวกของพระเยซูทั้งหมดนั้นยอห์นเป็นเพียงคนเดียวที่มีความใกล้ชิดและมีความสนิทสนมกับพระเยซูมากที่สุด

พี่ - น้องที่รักครับ ความใกล้ชิด , ความสนิทสนม ที่ยอห์นมีต่อพระเยซูหรือที่พระเยซูมีต่อยอห์นนั้น มันได้ส่งผลกระทบหรือมีอิทธิพลกับชีวิตของยอห์นเป็นอย่างมาก

ซึ่งถ้าพี่ - น้องเรียนวิทยาศาสตร์ และถ้าพี่ - น้องยังไม่ลืมนะครับ พี่ - น้องก็จะพบว่า ถ้าเราเอาเหล็กธรรมดาๆแท่งหนึ่งมาวางใกล้ๆกับแม่เหล็ก และถ้าพี่ - น้องถูไถเหล็กธรรมดาๆแท่งนั้นกับแม่เหล็กกลับไปกลับมาสักครู่หนึ่ง ในเวลาไม่นานนักเหล็กธรรมดาๆแท่งนั้นก็จะกลายเป็นแม่เหล็กที่มีอำนาจขึ้นมาได้

สิ่งที่ต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องก็คือว่า อัครทูตคนนี้เขาได้เอาชีวิตของเขานั้นมาวางใกล้ๆ กับพระเยซูถึง 3 ปีหรือ 3.5 ปี ด้วยเหตุนี้เองชีวิตของเขาจึงเปลี่ยนไปโดยความรักของพระเยซู ชีวิตของเขาจึงกลายเป็นเหมือนชีวิตของพระเยซู

ซึ่งมาถึงตรงนี้ผมก็เชื่อว่าพี่ - น้องหลายต่อคนก็คงพอที่จะเข้าใจว่า ทำไมผมถึงพยายามดึงพี่ - น้องสมาชิกหลายต่อหลายคนให้เข้ามาใช้เวลาร่วมกันในคริสตจักร

เหตุเพราะว่าผมต้องการให้พี่ - น้องสมาชิกเหล่านี้ได้เอาชีวิตของเขานั้นมาวางใกล้ๆกับพระเยซู

เหตุผลประการที่ 2. อยู่ในสภษ.27:17 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เหล็กลับเหล็กให้แหลมคมได้ คนหนึ่งคนใดก็ลับหน้าตาของเพื่อนให้หลักแหลมขึ้นได้ฉันนั้น ผมเชื่อว่าการที่เราได้เอาชีวิตของเรานั้นมาวางไว้กับชีวิตของพี่ - น้องในพระกายเดียวกันในแต่ละวันหรือในแต่ละสัปดาห์นั้น

ผมเชื่อว่า น่าจะเป็นอีกวิถีทางหนึ่งหรืออีกช่องทางหนึ่ง ที่จะทำให้พี่ - น้องสมาชิกของเรานั้นจะเติบโตขึ้นไปในทางของพระเจ้าร่วมกันได้ น่าเสียดายตรงที่ว่าพี่ - น้องของเราไม่ได้เห็นคุณค่าในเรื่องนี้อย่างที่ผมเห็น และพ่อแม่หลายคนในคริสตจักรก็ไม่ได้ผลักดันในเรื่องนี้ร่วมกับคริสตจักรอย่างที่ควรจะเป็นซึ่งเราก็ไม่ว่ากัน

คำถามก็คือว่า พี่ - น้องอยากที่จะมีชีวิตเหมือนกับอัครทูตคนนี้หรือไม่ ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ 15 :5 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดัง พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก

ถ้าพี่น้องอยากที่จะมีชีวิตเหมือนกับสาวกของพระเยซูคนนี้ พี่ - น้องก็จะต้องเอาชีวิตของพี่ - น้องมาวางใกล้ๆกับพระเยซู และชีวิตของพี่ - น้องก็จะกลายเป็นแม่เหล็กแห่งความรักโดยไม่รู้ตัว ซึ่งพี่ - น้อง สามารถที่จะไปดูดคนอื่นได้โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน

คำถามก็คือว่า ชีวิตของคนที่จะมีลักษณะที่กลายเป็นแม่เหล็กแห่งความรักโดยไม่รู้ตัวนั้นมีคุณลักษณะอย่างไร ?

แม่เหล็กแห่งความรักประการที่ 1 คือ รักแท้ต้องไม่มีเงื่อนไข

พี่ - น้องที่รักครับ ความรักของมนุษย์นั้นมักที่จะมีเงื่อนไขอยู่เสมอ และเงื่อนไขเหล่านี้ก็มักที่จะลงท้ายด้วยคำที่ว่า ผมรักคุณถ้า หรือ ผมรักคุณเพราะว่า พี่ - น้องว่าจริงไหม ?

ดังนั้นความรักของมนุษย์นั้นมักจะมีเงื่อนไขอย่างนี้เสมอ แต่ความรักของพระเจ้า

นั้นจะไม่มีคำเหล่านี้อย่างแน่นอน องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสว่า เรารักเจ้า มันเป็นคำพูดที่จบแล้วจบเลย ไม่มีคำว่าถ้า ไม่มีคำว่าเพราะว่า ต่อจากถ้อยคำของพระองค์นั้นอีกเลย   และนี่คือบรรทัดฐานที่ใช้วัดรักแท้ซึ่งเป็นแม่เหล็กแห่งความรักอย่างหนึ่ง

แม่เหล็กแห่งความรักประการที่ 2 คือ รักแท้ต้องสำแดงออกด้วยการกระทำ

            ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ 1ยน.3:8 และอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้นแต่จงรักกันด้วยการกระทำ พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ทั้งเตือนเราและบอกกับเราอย่างชัดเจน

เตือนเราว่าอย่างไรครับ ? เตือนเราว่า อย่า ให้เรานั้นรักกันด้วยคำพูดหรือรักกันด้วยปากเท่านั้น ผู้ชายไทยซึ่งอยู่ในสถานภาพของการเป็นสามีหลายคนโดยส่วนมากในเวลานี้นะครับ ที่บอกรักภรรยาของตนแต่ปากเท่านั้น

แต่พอออกนอกหูนอกตาภรรยา ก็พากันไปหา โค สักตัวหนึ่ง พี่ - น้องทราบไหมครับว่า โค อะไร ? ( โคโยตี้ ) พี่ - น้องคิดว่ามีเยอะไหมครับในสังคมไทย ? มีสามีแบบนี้เยอะมากในสังคมไทย

พระคำของพระเจ้าในข้อนี้สอนเราว่าอย่างไรครับ ? สอนเราว่า จงรักกันด้วยการกระทำ

ดังนั้นถ้าพี่ - น้องรักใครสักคนหนึ่ง โปรดสังเกตดูว่าพี่ - น้องทำอะไรเพื่อเขา และเขาได้ทำอะไรเพื่อพี่ - น้องบ้าง ถ้าคุณบอกว่าคุณรักเขา แต่คุณไม่มีอะไรเลยที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อเขา ขอให้รู้และได้เข้าใจเถิดว่าความรักของคุณที่มีต่อเขานั้นมันมีแนวโน้มไปในทางคำพูดมากกว่าการกระทำ

            พระคำของพระเจ้าในพระธรรม ยน.3:16 บอกกับเราว่าอย่างไรครับพี่ - น้อง ? เพราะว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพระองค์จึงได้เกิดขึ้นนั่นก็คือจึงได้ประทานพระบุตรเพียงองค์เดียวของพระองค์ลงมา นี่คือการสำแดงออกด้วยการกระทำ นี่คือแม่เหล็กแห่งความรัก ความรักของพระองค์ที่มีนั้นได้ดึงเราให้เข้ามาหาพระองค์

            ความรักของยอห์นนั้นก็เช่นเดียวกัน การแสดงออกของอัครทูตยอห์นที่ยืนเคียงข้างพระเยซูอยู่ที่โคนไม้กางเขนอีกทั้งรับปากที่จะดูแลพระมารดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าไว้ในแอกของท่านนั้นเป็นการสำแดงว่าอัครทูตยอห์นนั้นรักพระองค์

            ความรักที่ผมและพี่ - น้องมีต่อพระเยซูก็เช่นเดียวกัน ที่พี่ - น้องและผมจะต้องสำแดงออกในการที่เราจะต้องปฏิบัติตามพระคำของพระองค์นั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีแม้ ไม่มีแต่ อีกทั้งจะต้องทำบ่อยๆ ทำทั้งต่อหน้าและลับหลัง และไม่ใช่เป็นการที่ถูกศิษยาภิบาลบังคับให้ทำหรือฝืนใจทำ

ดังนั้นการที่พี่ - น้องและผมบอกว่าเรารักพระเยซู แต่ถ้าเราไม่ได้ทำตามพระเยซูนั่นก็เท่ากับ คุณกำลังรักตัวของคุณเองมากกว่าพระเยซู ซึ่งเรามีผู้เชื่อหรือเรามีคริสเตียนแบบนี้เยอะแยะมากมายในสังคมไทย แต่ถ้าเราสำแดงออกด้วยการกระทำ ความรักนี้จะเป็นแม่เหล็กที่ดึงคนเข้ามาหาพระเยซูได้เช่นกัน

แม่เหล็กแห่งความรักประการที่ 3 นั่นก็คือ รักแท้จะต้องมีความหวังในคนที่เรารัก

            พี่ - น้องที่รักครับ แม้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองของเราที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ แต่ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่าพระประมุขของชาติคือ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานั้นพระองค์ไม่เคยสิ้นหวังกับประเทศนี้ การที่พระองค์ได้ทรงประพันธ์เพลงที่มีชื่อว่า วันพรุ่งนี้คงจะดีกว่าวันนี้แน่ ทำให้ผมมั่นใจว่าพระองค์ทรงมีความหวังต่อประเทศนี้เมืองนี้อย่างนั้นจริงๆ

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราก็เช่นเดียวกันพระองค์ทรงมองเห็นชาวประมงคนหนึ่งที่ปากไวใจร้อนซึ่งนั่นก็คือ ซีโมน ที่มีบุคลิกลักษณะอย่างนั้น แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้ากับไม่ได้มองเขาอย่างนั้น

องค์พระเยซูคริสต์เจ้ากับมองว่า เขานั้นน่าที่จะเป็นหลักให้กับพระศาสนจักรได้ ดังนั้นองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงได้เปลี่ยนชื่อให้กับเขาใหม่เป็น เปโตร ซึ่งแปลว่า ศิลา

และท้ายที่สุดเขาก็เป็นหลักให้กับพระศาสนจักรได้อย่างแท้จริงนี่คือตัวอย่างแห่งการรักแท้ที่มีความหวัง

การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า เข้าไปนั่งกินข้าวกับ ศักเคียส คนเก็บภาษีซึ่งเป็นคนที่สังคมชาวยิวพากันประณามที่บ้านของเขาอย่างนั้น นั่นก็เป็นพระว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นไม่ได้มอง ศักเคียส เหมือนอย่างที่พวกฟาริสีหรือพวกธรรมาจารย์นั้นมอง นี่ก็เป็นตัวอย่างแห่งการรักแท้ที่มีความหวังด้วยเช่นกัน

ซึ่งถ้าเรามองซีโมน หรือ ศักเคียส ด้วยความรักของโลกและด้วยสายตาของมนุษย์ เราก็อาจจะไม่ได้มีความหวังอะไรกับเขาสักเท่าไหร่นัก เพราะเรามองสภาพในปัจจุบันของเขา แต่ความรักที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีต่อดขา ทำให้พระองค์ไม่ได้มองเขาอย่างนั้น

พระองค์มอง ซีโมน หรือ ศักเคียส อย่างไรครับ ? มองส่วนดี มองสิ่งดีในชีวิตของเขาและของเราเสมอและนี่คือความรักของพระเจ้า ความรักของพระเจ้าจะต้องทำให้เราคิดอย่างนี้ ดังพระคำของพระเจ้าที่ได้บันทึกไว้ใน 1 คร.13:13 ซึ่งนั่นหมายความว่า

ความรักของพระเจ้านั้น จะต้องเปิดทางไปสู่สิ่งที่คนอื่นนั้นมองไม่เห็น

หลายคนสามีอาจจะทำให้ท่านผิดหวัง บางคนภรรยาอาจจะทำให้ท่านรู้สึกแย่ บางครอบครัวลูกอาจจะทำให้ท่านรู้สึกหมดกำลังใจ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นความจริงใน ณ. วันนี้

แต่ถ้าพี่ - น้องมีความรักของพระเจ้า และสำแดงออกโดยการมีคำอธิษฐานล้อมรอบเพื่อพยุงเขาเอาไว้ พี่ - น้องจะไม่เห็นเขาในสภาพที่เห็นพี่ - น้องอย่างนี้ตลอดไป อาเมน มันจะเก่งกว่าความรักของพระเจ้าและคำอธิษฐานที่เรามีก็ให้มันรู้กันไป

สรุปพระวจนะคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้

  1. เราพบอัครทูตที่มีชีวิตโดดเด่นจนเห็นได้ชัด
  2. เราพบอัครทูตที่มีความคิดความอ่านที่ล้ำลึกจนเห็นได้ชัด
  3. เราพบอัครทูตที่มีความใกล้ชิดกับพระเยซูมากที่สุด

Green City