มวลรวมของความสุข

คำเทศนาเรื่อง มวลรวมของความสุข

ฟป.2 :1-4 เหตุฉะนั้นถ้าชีวิตในพระคริสต์อำนวยการเร้าใจประการใด ถ้ามีการหนุนใจประการใดในความรัก ถ้ามีส่วนประการใดกับพระวิญญาณ ถ้ามีการรักใคร่เอ็นดูและเห็นอกเห็นใจประการใด ก็ขอให้ท่านทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม ด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีใจรู้สึกและคิดพร้อมเพรียงกัน อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย

เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2016 ที่ผ่านมาสำนักข่าว บลูมเบิรก์ มีการสำรวจหรือมีการทำวิจัยว่า ประชาคนไทยนั้น เป็นคนที่มีความทุกข์น้อยเป็นลำดับที่ 1 ใน Asian และเป็นประเทศที่มีคนที่มีความทุกข์น้อยที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ซึ่งฐานข้อมูลที่ทางสำนักข่าว บลูมเบิรก์ ใช้ในการสำรวจหรือใช้ในการทำวิจัยเพื่อหา “ มวลรวมของความสุข ” ของคนในปี 2016 นี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับ

1) ปัจจัยต่างๆของผู้คนในประเทศนั้นๆ

2 ) อัตราการว่างงานของคนในประเทศนั้นๆ

3) เรื่องเศรษฐกิจ การเงินหรือเรื่องปากเรื่องท้อง ของคนในประเทศนั้นๆ

พี่น้องที่รักครับ คำว่า “มวล” คำนี้หมายถึง 1) การมองในรายละเอียด 2)การไม่มองข้ามสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยก็ตาม

ดังนั้น “มวลรวมของความสุข” จึงหมายถึง การเอาความสุขทั้งหมดของทุกคนมารวมกัน แล้วเอามาคิดคำนวณ เมื่อได้ค่าต่างๆออกมาเรียบร้อยแล้ว เขาจึงสรุปออกมาว่า ประเทศไทยใดมีมวลรวมความทุกข์มากที่สุด และเทศใดมีมวลรวมความทุกข์น้อยที่สุด ซึ่งอันนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นปกติตามวิถีของโลก

แต่พระคำของพระเจ้าใน ฟป.2 :1-4 บอกกับเราว่า “มวลรวมของความสุข” ตามวิถีทางของพระเจ้านั้น มันขึ้นอยู่กับเรานั้น 1 ) ต้องรักใคร่เอ็นดูกัน 2) ต้องไม่ชิงดีชิงเด่นกัน 3) ต้องไม่ถือดีและมีใจถ่อมต่อกันและกัน 4) ต้องเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย

ประการที่สำคัญก็คือว่า “มวลรวมของความสุข” ที่ว่านี้ ผู้ที่เชื่อในพระเจ้านั้นสามารถที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า 1) รักใคร่เอ็นดูกันต้องใช้วัตถุไหมครับ 2) ไม่ชิงดีชิงเด่นกันต้องใช้วัตถุไหมครับ 3) การไม่ถือดีและมีใจถ่อมต่อกันและกันต้องใช้วัตถุไหมครับ 4) การเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นต้องใช้วัตถุไหมครับ

คริสเตียนเรา แม้จะมีวัตถุไม่มาก แต่เราสามารถมีมวลของความสุขได้มาก เพราะเราสามารถสร้าง “มวลรวมของความสุข” นี้ขึ้นมาได้จากพระวจนะของพระเจ้า

และถ้าเรานำเอาพระคำของพระเจ้าตอนนี้ไปใช้กับ 1) ครอบครัว ครอบครัวนั้นก็จะเป็นสุข 2) สังคม สังคมนั้นก็จะเป็นสุข 3) ประเทศชาติ ประเทศชาตินั้นก็จะเป็นสุข เพราะอะไรครับ

เพราะพระคำของพระเจ้าในตอนนี้นั้นเน้นเรื่อง 1) การเติบโตด้านวุฒิภาวะ 2) การเติบโตด้านคุณธรรม

ดังนั้นในเช้าวันนี้เราจะมาดู มวลรวมของความสุข ตามหลักการแห่งพระคำของพระเจ้าว่ามีอะไรบ้าง

ประการที่ 1 มธ.6:25 "เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ”

พระคำของพระเจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า ชีวิตสำคัญกว่าอาหารมิใช่หรือ ชีวิตสำคัญกว่าวัตถุสิ่งของมิใช่หรือ ดังนั้นชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญไหมครับ ? ดังนั้นชีวิตจึงเป็นสิ่งที่ 1) สำคัญที่สุด 2) สำคัญกว่าทุกสิ่ง

คำถามก็คือว่า ชีวิตคืออะไร ? ชีวิต คือ สุขภาพ หลักการดูแลสุขภาพ คือ การกินอาหารให้เป็นยา มิใช่กินยาให้เป็นอาหาร ด้วยเหตุนี้เองพี่น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าจึงสนับสนุนให้เรานั้นกินผักเป็นอาหารหลักและกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารเสริม และถ้าเราดูแลชีวิตของเราอย่างดีแบบนี้เราจะอยู่รับใช้พระเจ้ากันได้อีกยาวนาน

คำถามก็คือว่า ชีวิตคืออะไร ? ชีวิต คือ ความคิด ใครคิดได้มาก (ไม่ใช่คิดมาก) ก็มีความสุขมาก ใครคิดได้น้อยก็มีความสุขน้อย ใครคิดไม่ได้เลยก็ไม่มีความสุขเลย ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญกับความคิดด้วย เพราะความคิด กำหนดชีวิต และชีวิตก็คือความคิดนั่นเอง

คำถามก็คือว่า ชีวิตคืออะไร ? ชีวิต คือ 1) คุณธรรม 2) วุฒิภาวะ พระคำของพระเจ้าจึงถามเราว่า คุณธรรม วุฒิภาวะ นั้นมันสำคัญกว่าวัตถุสิ่งของ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ

สิบกว่าปีที่ผ่านมา มวลรวมความสุขของคนไทยหายไปเพราะผู้มีอำนาจทางการเมืองของเรานั้น มีคุณธรรมต่ำหรือมีวุฒิภาวะที่ต่ำใช่หรือไม่ เมื่อเราได้ผู้ที่มีคุณธรรมต่ำหรือได้ผู้ที่มีวุฒิภาวะที่ต่ำมาปกครองประเทศ เขาก็ตกเป็นทาสของสรรพสิ่ง มันจึงส่งผลให้คนไทยความสุขลดน้อยลงแต่ทุกข์มากขึ้น

ด้วยเหตุนี้พระคำของพระเจ้าจึงบอกกับเราว่า ชีวิตของมนุษย์เราจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อเราให้ความสำคัญกับ สุขภาพ ความคิด คุณธรรม วุฒิภาวะ ไม่ใช่ให้ความสำคัญกับบ้าน เงิน วัตถุสิ่งของหรือชื่อเสียง ดังนั้นเราต้องเรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง

น่าเสียดายตรงที่ว่า มนุษย์เราบางคนและหลายๆคน นอกจากไม่เรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้องแล้ว บางคนและหลายๆคนยังไปเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ได้พัฒนา 1) สุขภาพ 2) ความคิด 3) คุณธรรมหรือวุฒิภาวะของเขาให้ดีขึ้น เช่น ไปตามล่า โปเกม่อนโก เป็นต้น

มวลรวมของความสุข ตามหลักการแห่งพระคำของพระเจ้าว่ามีอะไรบ้าง

ประการที่ 2 ปฐก.1:26 “แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"

            พี่น้องที่รักครับ มวลรวมของความสุข ตามหลักการแห่งพระคำของพระเจ้า คือ เราต้องรู้ว่า พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ? ปฐก.1:26 พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ตามพระฉายของพระเจ้า ขอบเขต ความรับผิดชอบ และหน้าที่ๆพระเจ้ามอบให้กับเรา คือ เป็นผู้ปกครอง

            ดังนั้นอะไรก็ตามที่เรามี เราต้องสามารถที่จะปกครองสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้ ไม่ใช่ให้สิ่งต่างๆเหล่านั้นมาปกครองเรา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียงและหรือจะอะไรก็ตาม

            เวลานี้มวลความสุขมันหายไปจากชีวิตของเราถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้วก็ตามเพราะอะไรครับ ? เพราะเราปกครองมันไม่ได้

            ปญจ.3 : 12-13 “ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า สำหรับเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าเปรมปรีดิ์และร่าเริงตลอดชีวิตและว่าเป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์ ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในบรรดาการงานของเขา”

            พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า สำหรับมนุษย์แล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการกินการดื่ม ซึ่งนั่นหมายความว่า เราปกครองมันไม่ได้ เมื่อเราปกครองมันไม่ได้ มนุษย์จึงไม่ใด้มีชีวิตกินเพื่ออยู่ แต่มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อกิน

            เมื่อวันแม่แห่งชาติที่ผ่านมา ถ้าพี่น้องจะพาคุณแม่ไปกินอาหารญี่ปุ่นที่ร้านชาบูชิ หรือไปกิน MK สุกี้ ที่ Big C หรือ Lotus พี่น้องก็จะพบว่า พี่น้องจะต้องต่อคิวรอเป็นชั่วโมง เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่เพื่อกินมวลรวมของความสุขมันก็หายไป เพราะมันปกครองเรา ไม่ใช่เราปกครองมัน

            พระคำของพระเจ้ายังได้บอกกับเราต่อไปอีกด้วยว่า สำหรับมนุษย์แล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการเพลิดเพลินในการงานของเขา

พี่น้องที่รักครับ สัปดาห์หนึ่งมีกี่วันครับ ? แล้วพระเจ้าทำงานกี่วันครับ ? แล้ววันที่ 7 พระองค์ทำอะไรครับ ?

            ปฐก.2:2 “วันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงกระทำมานั้น ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ”

            คำถามก็คือว่า แล้วทำไมยังมีมนุษย์บางคนหรือหลายคนที่ยังทำงานในวันที่ 7 กันอยู่อีก

ซึ่งแน่นอนการทำงานในวันที่ 7 ทำให้พี่น้องหาเงินได้มากขึ้น 1) แต่คำถามคือว่า พี่น้องทุกข์มากขึ้นด้วยหรือไม่ 2) มีบ้านหลังใหญ่ขึ้นแต่คำถามคือว่า คนในครอบครัวของพี่น้องมีความสุขมากขึ้นด้วยหรือไม่ บางครอบครัว 1) พ่อสุข แต่แม่ทุกข์ 2) พ่อแม่สุขแต่ลูกทุกข์ 3) พ่อแม่ทุกข์แต่ลูกสุข แต่มวลรวมของความสุขนั้นจะเกิดขึ้นในทันที ที่ทุกคนต่างอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน

            แต่การที่ยังมีมนุษย์บางคนหรือหลายคนที่ยังทำงานในวันที่ 7 อยู่อีก 1) แปลความว่า เขาปกครองอาชีพการงานของเขาไม่ได้แต่การงานการอาชีพนั้นต่างหากที่เป็นฝ่ายปกครองเขาเอาไว้ 2) มก.3:4 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เขากำลังผลาญชีวิตตัวเองอยู่ คนที่ผลาญชีวิตตัวเองอยู่ คือ คนที่ไม่รักตัวเอง จะรักผู้อื่นไม่ได้

            ดังนั้นมวลรวมของความสุขจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราเข้าใจในพระประสงค์ของพระเจ้าอีกทั้งเราสามารถที่จะจัดการกับชีวิตของเราได้ด้วย

มวลรวมของความสุข ตามหลักการแห่งพระคำของพระเจ้าว่ามีอะไรบ้าง

ประการที่ 3 ลก.12:15 แล้วพระองค์จึงตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า "จงระวังและเว้นเสียจากการโลภทุกประการ เพราะว่าชีวิตของคนมิได้อยู่ในการที่มีของฟุ่มเฟือย"

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า มีอะไรก็จงพอใจสิ่งนั้น

หลักทางความคิดในการ “มีอะไรก็จงพอใจในสิ่งนั้น” คิดอย่างไรครับ ?

เมื่อเรามองน้ำในแก้ว ให้เรามองในส่วนที่มี ไม่ใช่มองในส่วนที่ขาด เพราะถ้าเรามองในส่วนที่มีหรือมองในส่วนที่เหลือ เราก็มีความสุข แต่เมื่อใดก็ตามที่เรามองในส่วนที่ขาด เราก็จะทุกข์ตลอดชีวิต

ดังนั้นเมื่อเรามอง เราจะต้องคิดให้ได้อย่างที่เรามอง และเมื่อเราคิดได้อย่างที่เรามอง มวลความสุขก็จะเกิดขึ้น

สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจให้ตรงกันนั่นก็คือว่า คำว่า “พอใจ”

คำว่า “พอใจ” คำนี้มิได้หมายความว่า

1) เราไม่ต้องทำการทำงานหรือเราไม่ต้องทำมาหากินอะไร ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ

2) เราไม่ต้องกระตือรือร้นอีกต่อไป ไม่ใช่นะครับ และถ้าเราไม่กระตือรือร้น นั่นก็เท่ากับว่า เราดับไฟแห่งความกระตือรือร้นนั้นไปจากชีวิตของเรา

3) คริสเตียนเรานั้นมีมากไม่ได้ ไม่ใช่นะครับ คริสเตียนเรานั้นมีมากได้และการมีมากนั้นไม่บาป แต่เรามีมากเพื่อที่จะ “ให้” และถ้าเราสามารถที่จะควบคุมสิ่งที่เรามีนั้นได้ ถ้าเรามีมากไม่ใช่เพื่อที่จะให้ อีกทั้งเราไม่สามารถที่จะควบคุมสิ่งที่เรามีนั้นได้ แถมยังให้มันมาควบคุมเราให้มันมาเป็นนายเรานั่นแหละคือ “บาป”

แต่คำว่า “พอใจ” คำนี้หมายความว่า อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เราก็จะทุกข์เมื่อนั้นทันที

และส่วนหนึ่งของการที่ “มวลรวมของความสุข” ของคนมนุษย์เราหายไปเพราะอะไรครับ ? เพราะเราเอาความไม่มีของเรานั้นอ่ะ ไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น หลายคนเห็นเพื่อนบ้านมีรถคนใหม่ มีบ้านหลังใหญ่ เราก็อยากมีกับเขาด้วย ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะครับพี่น้องที่รัก

แต่มันคุ่มค่ากันไหมครับ ที่มีรถคันใหม่ มีบ้านหลังใหญ่ แต่เรากับ 1 ) มีชีวิตที่จะต้องยุ่งยากลำบากมากขึ้น ต้องทำงานทั้ง 7 วัน ต้องทำ Over Time 2) ดูแลผู้คนในบ้านของเรานั้นไม่ได้เลย ลูกไปทาง สามีไปทาง ภรรยาไปทาง มันคุ้มค่ากันไหม ?

1 ทมธ.6:7-8 “เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด”

พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนนะครับว่า ไม่ได้ห้ามเราที่จะมีวัตถุสิ่งของมากขึ้นนะครับ แต่ถ้าเรามีวัตถุสิ่งของมากขึ้นแล้ว และมันทำให้มวลรวมความสุขของเรานั้นหายไป ครอบครัวไปกันคนละทาง

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า ถ้าอย่างนั้นพี่น้องก็จงพอใจกับสิ่งของที่มีอยู่นั้นเถิดอย่าไปมีมันมากกว่านี้เลย เจ้าจะเชื่อถ้อยคำของเราไหมล่ะ จะเชื่อก็เชื่อ ไม่บังคับ ไม่ควบคุม ทั้งที่เราสามารถที่จะควบคุมเจ้าได้ แต่เราให้อิสระในการตัดสินใจกับเจ้า

มวลรวมของความสุข ตามหลักการแห่งพระคำของพระเจ้าว่ามีอะไรบ้าง

            ประการที่ 4 มธ.11:30 “ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา"

พี่น้องทราบใช่ไหมครับว่า ประเทศไทยของเรานั้นใช้ช้างลากซุง และการที่ช้างมันลากซุงได้เพราะ ? ไม่เกินกำลังของมัน มันถึงลากได้

พี่น้องทราบไหมครับว่า บางประเทศนั้นเขาเอากระดานล้อเลื่อนใส่คอสุนัขเพื่อใช้ให้มันลากของ และการที่สุนัขมันลากของไปได้เพราะ ? ไม่เกินกำลังของมัน

พี่น้องทราบใช่ไหมครับ ว่ามดมันลากข้าวได้ แต่ที่มันลากข้าวได้เพราะอะไร ? ไม่เกินกำลังของมัน

พระคำของพระเจ้าในข้อนี้สอนให้เราได้ตระหนักว่า “ชีวิตนี้คือการเดินทางไกลดังนั้นอย่าแบกของหนัก”

            ทุกวันนี้มวลรวมของชีวิตเราหายไปเพราะอะไรครับ ? เราแบกของหนัก แต่เราจะเดินทางได้ไกล ถ้าเราแบกของที่ไม่เกินกำลังของเรา และเราจะเดินทางได้ไกลมากขึ้นและมากขึ้นถ้าเราแบกของที่เบาลงและเบาลง

            คำถามก็คือว่า ทุกวันนี้มีอะไรที่เป็นของหนักเกินความจำเป็นในชีวิตของพี่น้องบ้าง ?

            พี่น้องทราบไหมครับว่า พระเจ้าทรงสร้างนกแต่ละชนิดขึ้นมาโดยให้นกแต่ละชนิดนั้นมันมีขนที่แตกต่างกัน แต่ที่สำคัญก็คือว่า นกทุกตัวนั้นมันมีขนที่พอเหมาะกับตัวของมัน

            “ขนนก” หมายถึง ความสามารถในการใช้ชีวิตของมัน ดังนั้นขนต้องพอดีกับตัวของมัน

และถ้าขนไม่พอดีกับตัวของมันล่ะ มันทำอย่างไร ? มันสลัดขนที่ไม่พอดีนั้นออกจากตัวของมันเราเองก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก ที่เราจะต้องมีทุกอย่างที่ขนาดพอเหมาะกับตัวของเรา

            วันนี้มวลรวมของความสุขของเราหายไปเพราะ เราเอาของหนักเกินความจำเป็นมาใส่ในชีวิตของเราใช่หรือไม่ และการยอมเป็นหนี้สินทวีคูณเพื่อสร้างภาพให้ภายนอกของตัวเองดูดีขึ้นก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราทำกันอยู่ใช่หรือไม่

            พอเมื่อถึง Dew ที่จะต้องจ่ายแล้วเราจ่ายไม่ได้หรือไม่มีจะจ่าย เราก็ไม่ต่างอะไรไปจากนกตัวเล็กที่เอาขนใหญ่ๆมาคลุมเอาไว้ที่ตัว แล้วมันบินขึ้นไม่ได้ เพราะมันหนักอ่ะ

            ทุกวันนี้มีอะไรที่เป็นของหนักเกินความจำเป็นในชีวิตของพี่น้องบ้าง ?

            ถ้าพี่น้องปรารถนาที่จะมีมวลรวมความสุขของชีวิต พี่น้องจะต้องหยิบเอาสิ่งที่หนักเกินความจำเป็นออกจากชีวิต 1) บ้านมีหลายหลังที่จะต้องผ่อน เอาผ่อนเหลือหลังเดียวได้ไหม 2) ที่ดินมีหลายแปลงที่จะต้องผ่อน เอาผ่อนเหลือแปลงเดียวได้ไหม 3) หนี้สินมีหลายกองที่จะต้องจ่าย เอาเป็นว่าสิ้นปีนี้ขอลบคำว่าหนี้สินออกจากชีวิตนี้จะได้ไหม

            หนุนใจพี่น้องนะครับว่า พวกเราเสียเวลาและสูญเสียพลังงานไปกับสิ่งที่ไม่ได้เอื้อต่อการพัฒนาชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเรามากพอแล้ว จากนี้ต่อไปเราจะ 1) แบกแอกที่พอเหมาะ 2) ไม่รับอะไรที่มันเกินกำลังของเราอีกต่อไป

มวลรวมของความสุข ตามหลักการแห่งพระคำของพระเจ้าว่ามีอะไรบ้าง

            ประการที่ 5 รม.14:17 “เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์”

            การที่มวลความสุขในชีวิตของมนุษย์เราลดน้อยลงเป็นเพราะ มนุษย์เรานั้นทุ่มเทกับ 1) สิ่งที่อยู่ภายนอก 2) การหาทรัพย์สินเงินทองมาก จนละเลยสิ่งที่เรียกว่าภายในหรือที่เราเรียกว่า จิตวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เรานั้นควรที่จะทุ่มเท

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า “แผ่นดินของพระเจ้า” หรือ “แก่นสารของชีวิตมนุษย์” นั้นไม่ใช่เรื่องของการกินการดื่ม ไม่ใช่เป็นเรื่องของวัตถุสิ่งของ แต่มันเป็นเรื่องของ “ความชอบธรรม”

            1ทมธ.6 : 11-12 “แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพ จงต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ จงยึดชีวิตนิรันดร์ไว้ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านรับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน”

ความชอบธรรมเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน เป็นสิ่งที่อยู่ข้างในชีวิตของมนุษย์ ซึ่งพระเจ้าปรารถนาที่จะให้เรานั้น 1) สนใจ 2) ทุ่มเทกับสิ่งที่อยู่ภายในนี้ก่อน เมื่อภายในดีแล้ว มันก็จะค่อยๆสร้างภายนอกของเรานั้นให้ดีขึ้นและดีขึ้นและจะเป็นการดีอย่างถาวร ซึ่งจะทำให้เรานั้นสามารถที่จะปกครองหรือเป็นเจ้านายต่อสิ่งที่เรามีนั้นด้วย และการที่เรามีนั้นเพื่ออะไรครับ ? เพื่อที่จะให้ เพื่อที่จะแจกจ่าย

สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้คือ มวลรวมความสุขของชีวิตเกิดขึ้นได้ ถ้าเราสามารถจัดการชีวิตของเราให้อยู่บนพื้นฐานตามพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระวจนะของพระเจ้าเป็นคู่มือการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ใครเชื่อฟัง ทำตาม ชีวิตของคนๆนั้นรับพระพร ประสบความสุข พบความสำเร็จ แม้เราจะมีวัตถุไม่มาก แต่เราสามารถที่จะมีความสุขที่มากได้

Green City