แม่ คนที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวอยู่กันอย่างเป็นครอบครัว

คำเทศนาเรื่อง

แม่ คนที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวอยู่กันอย่างเป็นครอบครัว

          

พี่ - น้องที่รักครับ ในเช้าวันนี้แม้ว่าจะไม่ใช่วันที่ 12 สิงหามหาราชินีหรือไม่ใช่วันแม่แห่งชาติก็ตาม แต่กลิ่นไออันอบอุ่นของวันแม่แห่งชาติ พี่ - น้องคิดว่ามันได้จางหายไปจากสังคมไทยหรือยังครับ ? โดยส่วนตัวผมคิดว่ายังน๊ะครับ ?

เหตุ เพราะว่า มีห้างสรรพสินค้าในบางที่ บางแห่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครยังจัดให้มีกิจกรรมวันแม่แห่งชาติไปจนถึงสิ้นเดือน นี้ก็มี สำหรับคนที่ใช้ Internetพี่ - น้องก็จะพบว่าWeb บาง Web ก็ยังจัดให้มีการอวยพรวันแม่ผ่าน Web กันอยู่ก็มี เช่น Web ของ Sanook เป็นต้น

ดังนั้นในเช้าวันนี้ผมจะแบ่งปันกับพี่ - น้องเกี่ยวกับเรื่อง “ แม่ ” โดยพระวจนะของพระเจ้าที่จะมาแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้ จะมาจากหลายบท หลายตอนด้วยกันและผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ แม่ คนที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวอยู่กันอย่างเป็นครอบครัว ” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่ - น้องที่รักครับ การที่สตรีได้เป็นภรรยาของสามี และการที่สตรีได้เป็นแม่ของคนนั้น ถือว่าเป็นเกียรติและเป็นสิทธิพิเศษ ที่พระเจ้าได้ทรงประทานมอบให้กับคนที่เป็นแม่ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วในโลกใบนี้ มีสตรีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวพี่ - น้องที่รัก ที่คิดว่าการมีลูกได้ คือ การได้เป็นแม่ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เหตุเพราะมีสตรีหลายคนที่คลอดลูกได้แต่ไม่เคยได้เป็นแม่ก็มี

ดัง นั้นการเป็นแม่จึงเป็นสิ่งที่มีเกียรติและเขาสมควรได้รับการยกย่องเป็นอย่าง ยิ่งจากสามีและลูก แต่เกียรติและสิทธิพิเศษที่พระเจ้าได้ทรงประทานมอบให้กับสตรีนั้น จะไม่สมบูรณ์ หรือได้รับพระพรจากพระเจ้า อย่างไม่เต็มที่หรือไม่เต็มขนาดเลย หากผู้เป็นภรรยาหรือผู้เป็นแม่นั้น ได้ทำผิดแปลกแตกต่างไปจากน้ำพระทัยของพระเจ้า ที่ได้ทรงวางเอาไว้ให้กับผู้ที่เป็นแม่ แม้ว่าบ้านนั้นจะสะอาดๆ และทุกชีวิตในบ้านนั้นจะอิ่มอร่อยจากฝีมือของผู้เป็นแม่ก็ตาม

คำถามก็คือว่า อะไรคือสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้า ได้ทรงสอนเราเอาไว้ในฐานะผู้เป็นมารดาหรือเป็นแม่

ประการที่ 1 อยู่ในปฐก. 1 :27 - 28 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆ กันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

ประการที่ 1 คือ ผู้เป็นแม่ต้องรู้จักพื้นฐานเกี่ยวกับชีวิตของครอบครัว

            ผู้ เป็นแม่ต้องรู้และต้องเข้าใจว่า ครอบครัวนั้นไม่ใช่สถาบันที่มนุษย์เป็นผู้จัดตั้งขึ้นมา แต่พระเจ้าได้เป็นผู้ก่อตั้งหรือเจิมตั้งสถาบันครอบครัวนั้นขึ้นมา ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าได้ทรงสถาปนาสถาบันการเป็นพ่อ การเป็นแม่ เอาไว้ในคราวเดียวกันด้วย ผ่านทางอาดัมกับเอวา พระคำของพระเจ้าจึงบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า แล้วพระเจ้าจึงอวยพรแก่ครอบครัว ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงอวยพระพรใครด้วยครับ ? พระเจ้าทรงอวยพระพรให้กับผู้ที่เป็นพ่อและผู้ที่เป็นแม่ที่เชื่อในพระเจ้า ทุกคนด้วยและนี่เป็นสิทธิพิเศษที่พระเจ้าได้ทรงประทานมอบให้กับเรา

            ดังนั้นคนที่เป็นแม่ โดยเฉพาะคุณแม่ที่เป็นผู้เชื่อ จะเป็นฐานให้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี ถ้าคนที่เป็นแม่นั้นทราบว่า การอวยพรครั้งแรกของพระเจ้านั้น เริ่มต้นจากที่ครอบครัวและเริ่มจากที่ตัวของแม่ก่อน

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ฉลธ.6:4 - 9 และอ่านพร้อมๆ กันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าผู้ที่เป็นแม่ได้ปลูกฝังโดยการถ่ายทอดคำสอนในทางของพระเจ้านี้ ให้กับลูกของตนในทุกๆทาง ลูกเขาก็จะรู้ว่าเขาเกิดมาในที่ๆพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่เขา และเมื่อลูกเขารู้ว่าเขาเกิดมาในที่ๆพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่เขา

ลูกที่เกิดมาเขาอยากจะหนีเราไปหรืออยากที่จะอยู่ร่วมกับเราครับพี่ - น้อง ?

คำ ตอบคือ เขาอยากที่จะอยู่ร่วมกับเรา เขาจะไม่หนีเราไปไหน แต่ถ้าเขาหนีพ่อ หนีแม่ ถ้าเขาหนีจากครอบครัวไปอยู่ในที่ชอบๆ นั่นก็เท่ากับว่า เขาหนีจากพระพรของพระเจ้า

            ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ 2 คร. 6:14 และอ่านพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

ถ้า ผู้ที่เป็นแม่ได้ปลูกฝังโดยการถ่ายทอดคำสอนในทางของพระเจ้านี้ ให้กับลูกของตนในทุกๆทาง ลูกเขาก็จะรู้ว่าเขาเกิดมาในที่ๆพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่เขา และเมื่อลูกเขารู้ว่าเขาเกิดมาในที่ๆพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่เขา

ลูกที่เกิดมา เขาอยากที่จะไปเทียมแอกหรืออยากไปแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าไหมครับ ?

คำตอบคือ ไม่

พี่ - น้องฟังให้ดีๆนะครับ การที่ผู้เชื่อแต่งงานกับผู้เชื่อด้วยกัน มิใช่เป็นเพียงแค่การรวม 2 ครอบครัวเข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ยังเป็นการรวมแหล่งแห่งพระพร 2 แหล่งเข้าด้วยกันอีกด้วย แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เขาไม่เชื่อฟังและคิดที่จะไปเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เขาอาจจะได้รับคำพูดเช่นนี้ก็ได้ว่า “ฉันแต่งกับคุณนะไม่ได้แต่งกับครอบครัวของคุณ” ปัจจุบันนี้คำพูดนี้มีอยู่จริงไหมครับในสังคมไทย ?

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ อพยพ 20:12 และ สภษ.23: 22 , 25 และอ่านพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

ถ้า ผู้ที่เป็นแม่ได้ปลูกฝังโดยการถ่ายทอดคำสอนในทางของพระเจ้านี้ ให้กับลูกของตนในทุกๆทาง ลูกเขาก็จะรู้ว่าเขาเกิดมาในที่ๆพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่เขา และเมื่อลูกเขารู้ว่าเขาเกิดมาในที่ๆพระเจ้าทรงอวยพระพรแก่เขา

เขาจะทิ้งพ่อ ทิ้งแม่ไหมครับ ?

คำตอบคือ ไม่   มีคำกล่าวว่า “ ชาติจะไม่ล่มสลายถ้าคนในครอบครัวไม่ทิ้งกัน ” ซึ่ง นักสังคมวิทยาก็ได้ทำกรณีศึกษาจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ซึ่งนักสังคมวิทยาพบว่ามีเพียง 2 ชาติ เท่านั้นที่สามารถรักษาชาติมาได้อย่างยาวนาน และชาติที่ว่านี้คือก็คือ ชาติยิวกับชาติจีน

เหตุ เพราะ 2 ชาติหรือ 2 ประเทศนี้ ได้ผ่านการรุกรานจากชาติต่างๆ มาอย่างโชกโชนแต่ทั้ง 2 ชาติหรือทั้ง 2 ประเทศนี้ต่างไม่ทิ้งกัน เหตุเพราะครอบครัวคือ แหล่งกำเนิดแห่งพระพรของพระเจ้าไปยังมนุษยชาติ

ดัง นั้นถ้าผู้เป็นแม่ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นแม่ที่มีความเชื่อในพระเจ้า ต่างที่จะมุ่งมั่น ตั้งใจในการดูแลเอาใจใส่ครอบครัวให้ดีๆ ครอบครัวนั้นจะได้รับพระพรจากพระเจ้าผ่านผู้เป็นแม่ไปอย่างเต็มๆ

อะไรคือสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าได้ทรงสอนเราเอาไว้ ในฐานะผู้เป็นมารดาหรือผู้เป็นแม่

ประการที่ 2 อยู่ใน 1 ทมธ. 5 : 8 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

ประการที่ 2 คือ รู้วัตถุประสงค์ของครอบครัว

ผู้ที่เป็นแม่จะต้องรู้ว่าพระเจ้าทรงตั้งครอบครัวไว้เพื่ออะไร ? และทรงตั้งผู้เป็นแม่ไว้ในครอบครัวเพื่ออะไร ?

ใน อดีตที่ผ่านมาผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ในฝ่ายโลกมักจะคอยหาสิ่งต่างๆให้กับลูก หรือให้กับสมาชิกในครอบครัว เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคและที่อยู่อาศัย เป็นต้น

แต่ในยุคนี้ สมัยนี้มันพอไหมครับพี่ - น้อง สำหรับปัจจัย 4 ที่ได้กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ ? ไม่พอ

พ่อ แม่ในยุคนี้ พ.ศ. นี้ ยังต้องให้การศึกษา ให้วัตถุสิ่งของและยังต้องให้อื่นๆ อีกมากมายหลายอย่าง แก่สมาชิกในครอบครัวของตน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีและเป็นสิ่งถูกต้องและถ้าผู้เป็นพ่อเป็นแม่ มีกำลังความสามารถในการให้ ก็ควรที่จะทำสิ่งที่ดีๆ นี้ต่อไป จนกว่าเขาจะเติบโตขึ้นหรือแต่งงานออกเรือนไป

            แต่ในฐานะที่เราเป็นแม่ที่มีความเชื่อในพระเจ้า เราจะต้องไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นเพราะวัตถุ สิ่งของหรือสิ่งที่เป็นของๆโลก นั้นเป็นของที่ไม่ยั่งยืน อ. เปาโล ได้กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนใน ฟลป. 3 : 8 ว่า“สิ่งเหล่านั้น เป็นเหมือนหยากเยื่อ”มันไม่มีความจีรังยั่งยืนอะไร

ในขณะเดียวกัน พระวจนะของพระเจ้าใน 1 ทมธ. 5:8 ที่เราได้อ่านร่วมกันก็ได้พูดถึง คำว่า “ ไม่เลี้ยงดู ” ซึ่งในที่นี้ พระคำของพระเจ้าไม่ได้หมายถึง การเลี้ยงดูในฝ่ายร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมไปถึงการเลี้ยงดูในฝ่ายวิญญาณจิตด้วย

ดัง นั้นผู้เป็นพ่อ เป็นแม่ที่มีความเชื่อในพระเจ้าทุกคน จะต้องให้พื้นฐานการเลี้ยงดูต่อบุตรของตนในด้านฝ่ายจิตวิญญาณลูกของตนด้วย และผู้เป็นพ่อ เป็นแม่สามารถที่จะให้สิ่งเหล่านี้กับสมาชิกในครอบครัวของตนได้อย่างมี ประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ ผู้เป็นแม่ได้ให้ชีวิตและตัวของผู้เป็นแม่เองแก่ลูกของตน ซึ่งเราอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า การอบรมสั่งสอนในทางของพระเจ้าต้องคงเส้นคงวา ด้วยการดำรงชีวิตให้เป็นแบบอย่าง

ด้วย เหตุนี้เองพี่ - น้องที่รักครับ ศาสนาคริสต์ที่บ้าน จึงสำคัญกว่าศาสนาคริสต์ที่โบสถ์ เพราะบ้านนั้นเกิดก่อนโบสถ์ แต่ก็มีผู้ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ ที่มีความเชื่อในพระเจ้าเป็นจำนวนมากที่ได้ลืมความจริงในข้อนี้ไป

ผู้ เชื่อใหม่หลายต่อหลายคน ก็ไม่รู้ความจริงที่ว่านี้ แต่วันนี้เมื่อท่านได้รู้แล้ว ท่านก็ควรที่จะทำให้ครอบครัวของท่านเป็นโบสถ์หลังแรกของพระเจ้า

ซึ่งนั่นหมายความว่า การสอนรวีของโบสถ์จะมาแทนการสอนรวีของบ้านไม่ได้ รวีของโบสถ์เป็นเพียงส่วนที่มาเสริมสร้างเท่านั้น

ซึ่ง นั่นหมายความว่า ความรักต้องเริ่มที่บ้าน ศาสนาต้องเริ่มที่บ้าน การฝึกเด็กในทางสังคมต้องเริ่มที่บ้าน บ้านจึงสำคัญกว่าโบสถ์ เพราะเด็กอยู่บ้านมากกว่าและนานกว่าอยู่โบสถ์

ดัง นั้นผู้ซึ่งเป็นบิดามารดาทั้งหลาย ท่านจะต้องตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญต่อการอยู่รวมกันให้มากยิ่งขึ้น ผู้เป็นพ่อ เป็นแม่จะต้องร่วมกันสร้างสปิริตนี้ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อเขายังเล็กอยู่ เหตุเพราะมันจะส่งผลต่อเด็ก และมีอิทธิพลแก่เด็กในอนาคต

อย่าง ไรก็ตามพี่ - น้องที่รัก ถ้าผู้เป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้สร้างสปิริตนี้ขึ้นมาในบ้านเมื่อลูกโตขึ้นมา ศาสนาคริสต์ที่บ้านก็จะเริ่มทำได้ยากแล้ว ถ้าเราเป็นคริสเตียนที่บ้านยังเป็นกันไม่ได้เลย และเราจะมาเป็นคริสเตียนที่โบสถ์กันเพียงแค่ 2 ชม. ในวันอาทิตย์มันเป็นไปได้ไหมครับพี่ - น้อง ? อาจจะเป็นไปได้ แต่นั่นมันเป็นการเสแสร้ง

เหตุ เพราะชีวิตของผู้เชื่อที่โบสถ์บางคน อาจจะไม่ใช่ตัวจริงของเขาเมื่ออยู่ที่บ้านก็เป็นได้ ซึ่งโดยแท้จริงมันต้องดูกันจากที่บ้าน ดังนั้นคริสต์ศาสนาในบ้าน จึงทำยากกว่าคริสตศาสนาที่อยู่ที่โบสถ์

อะไรคือสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าได้ทรงสอนเราเอาไว้ ในฐานะผู้เป็นมารดาหรือผู้เป็นแม่

ประการที่ 3 สิ่งที่บั่นทอนครอบครัว

พี่ - น้องที่รักครับ เราต่างต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า สถาบันครอบครัวนั้นเป็นสถาบันที่เปราะบางมาก และไม่ว่าครอบครัวนั้นจะดีขนาดไหนก็ตาม วันหนึ่งครอบครัวแต่ละครอบครัวนั้น ก็จะต้องมีปัญหาของมันขึ้นมาเองโดยธรรมชาติในตัวของมันอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนครอบครัวพอสมควร ซึ่งผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าคงจะไม่มีครอบครัวใดในโลกใบนี้ที่ไม่มีปัญหา

แต่ ปัญหาซึ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนครอบครัวนั้น มันจะต้องไม่เกิดมาจากผู้เป็นพ่อหรือผู้เป็นแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาซึ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนครอบครัวนั้น จะต้องไม่เกิดจากผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ที่มีความเชื่อในพระเจ้า

คำถามก็คือว่า อะไรคือปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดจากผู้เป็นพ่อ เป็นแม่ที่มีความเชื่อในพระเจ้า

พี่ - น้องคิดว่า การรักลูกลำเอียงนี้ เป็นปัญหาที่บั่นทอนครอบครัวได้ไหมครับ ?

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ. 28 : 19 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าอย่างไรครับ “ ชนทุกชาติ ” ซึ่งทำให้เราทราบว่า ความรักของพระบิดาหรือพระกิตติคุณของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ชาตินั้น ไม่มีความลำเอียง ดังนั้นความรักของพ่อแม่ที่มีความเชื่อในพระเจ้าก็จะต้องไม่มีความลำเอียง ต่อผู้เป็นบุตรด้วยเช่นกัน

พี่ - น้องคิดว่า การเลี้ยงลูกตามใจมากเกินไปนั้นจะเป็นปัญหาที่บั่นทอนครอบครัวไหมครับ ?

ผู้ ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ที่มีความเชื่อในพระเจ้าจะต้องไม่ตามใจลูกมากเกินไป ซึ่งนั่นหมายความว่า ท่านจะต้องมีเวลาในการอบรมสั่งสอนหรือชี้แนวทางที่ถูกต้องให้กับสมาชิกใน ครอบครัวของท่านอย่างแท้จริง

พ่อ แม่ที่อบรมสั่งสอนลูก ชี้แนวทางที่ถูกให้ลูกเดิน ไม่ยอมปล่อยลูกให้ไปตามเรื่องตามราว หรือตามเพื่อนที่ไม่ดี ไม่ยอมปล่อยลูกไปตามกระแส กำหนดกรอบให้ลูกได้กระทำ ย่อมเป็นคุณแม่ที่ได้รับพระพร

ส่วน ลูกที่ยอมอยู่ในกรอบ ยอมอยู่ในโอวาท ยอมเดินไปตามแนวทางที่แม่สอน ว่ายไปตามกระแสน้ำที่แม่บอก เขาจะนำพระพรมาสู่ผู้เป็นแม่และตัวเขาเองก็จะได้รับพระพรด้วยเช่นกัน

ปัญหาที่สำคัญก็คือว่า เวลานี้พ่อแม่ที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า แต่กับขาดพระพรที่ควรจะได้รับจากพระเจ้านั้นมันเพราะอะไรครับ ?

1 ) เพราะแม้แต่ตัวของผู้เป็นพ่อ เป็นแม่เองก็ยังติดบ่วงแร้วของมาร

2 ) เพราะตัวของผู้เป็นพ่อ เป็นแม่เองก็ยังติดกับค่านิยมของโลก พ่อแม่ที่เชื่อในพระเจ้าจึงไม่ได้แตกต่างอะไรจากพ่อแม่ที่ไม่ได้เชื่อในพระ เจ้า คือ ตามใจลูก ปล่อยลูกไปตามเรื่องตามราว ลูกอยากไปไหนก็ไป

ดัง นั้นผมจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคริสตจักรแห่งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยม ถึงได้เขียนคำหนึ่งและแขวนเอาไว้ที่โบสถ์ตัวโตๆ ว่า “ เสียจากที่บ้านแต่เอามาดัดสันดานกันที่โบสถ์ ” และอีกคำหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า “ ปั้นคนให้เป็นคน ” ขอพระเจ้าช่วยเราที่พี่น้องจะไม่เป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงดูบุตรแบบหักพระพรของพระเจ้า

1 ซมอ. 2 : 12 , 22 - 25 ทำให้เราทราบว่า เอลี ไม่ได้สอนลูกหรือได้มีการว่ากล่าวตักเตือนหรือตำหนิบุตรของตนตั้งแต่ในตอน แรก ในที่สุดลูกก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในสิ่งที่ถูกที่ควร

1 ซมอ. 8 : 3 - 5 ทำให้เราทราบว่า ซามูเอล ก็ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้ามากเกินไป จนมองไม่เห็นจุดอ่อนหรือความผิดพลาดของลุกในที่ลูกก็เป็นคนที่มีปัญหา

วนฉ. 14 : 1 , 3 แซมซันซึ่งเป็นบุตรที่พ่อแม่ควรจะได้รับพระพร แต่พ่อแม่ไม่ได้ให้กรอบกับเขา ปล่อยให้เขาไปแต่งงานกับคนต่างชาติ ในที่สุดชีวิตของเขาก็ไปไม่ได้ไกลและฉากจบของชีวิตนั่นก็คือความตาย

พี่ - น้องคิดว่า การเลี้ยงลูกแบบไข่ในหินของพ่อแม่บางครอบครัวนั้น เป็นปัญหาที่บั่นทอนครอบครัวไหมครับ ?

มีคำกล่าวว่า“ ลูกของเราก็เหมือนกับกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารไม่ต้องการอาหารตลอดเวลาฉันใด ลูกก็ไม่ต้องการเราตลอดเวลาฉันนั้น ”

ดังนั้น ผู้เป็นพ่อ เป็นแม่ จะต้องฝึกในการเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่บุตรของตน โดยเฉพาะเมื่อเขาโตขึ้น

พี่ - น้องที่รักครับ การปล่อยให้สมาชิกในครอบครัวของตน เรียนรู้ที่จะคิดเอง ตัดสินใจเอง ภายใต้การอธิษฐานอย่างสัตย์ซื่อของท่านนั้น จะทำให้เขาได้รับการพัฒนาความคิด จิตใจหรือได้รับการพัฒนาทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก

ถ้า ผู้เป็นพ่อ เป็นแม่ไม่ยอมให้เขาคิดเอง ตัดสินใจเอง โดยยึดเขาเอาไว้กับตัวเอง หรือปกป้องเขามากเกินไป โดยที่เขาก็ไม่ได้เหลวไหลอะไรเลย พี่ - น้องระวังนะครับ ? ระวังที่เขาจะไม่มีที่ยืน

เมื่อเขาไม่สามารถที่จะยืนอยู่บนขาของตัวเองได้หรือช่วยตัวเองก็ยังไม่ได้เลย 1 ) เขาจะช่วยสังคมและประเทศชาติได้ไหมครับ ? 2 ) เขาจะช่วยคริสตจักรหรือช่วยคนบาปได้ไหมครับ ?

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ยน.2:2 - 4 “ พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูทูลพระองค์ว่า “ เขาไม่มีเหล้าองุ่น” พระเยซูตรัสกับนางว่า “ หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด เวลาของข้าพเจ้ายังไม่มาถึง ”

            มารีซึ่งหวังดีบอกกับพระเยซูว่า ปัญหาต่างๆได้เกิดขึ้นแล้วและท่านพยายามจะแนะนำโดยการชี้ช่องต่างๆให้กับพระ เยซู แต่พระเยซูบอกว่าให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด

สิ่ง ที่ผมอยากจะสื่อกับพี่ - น้องผ่านทางพระวจนะของพระเจ้าในข้อนี้นั่นก็คือ พ่อ - แม่หลายคนเมื่อลูกแต่งงานไปแล้ว วัฒนธรรมไทยก็ดีหรือวัฒนธรรมจีนก็ดียังอาศัยอยู่กับพ่อกับแม่

แต่ เราก็พบว่าพ่อ - แม่หลายคนก็ยังดูแลลูกทั้งๆ ที่เขาแต่งงานแล้วแบบไข่ในหิน ซึ่งนั่นหมายความว่า ตามไปยุ่งเสียทุกเรื่อง จนกลายเป็นเรื่องแม่ผัวกับลูกสะใภ้หรือกลายเป็นเรื่องพ่อตากับลูกเขย เป็นต้น อย่าให้เราได้เป็นพ่อเป็นแม่แบบนั้น โดยเฉพาะเราผู้ซึ่งเป็นพ่อแม่ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์พระเจ้า

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ. 20:20 - 22 อย่าให้เราได้เป็นเหมือนกับแม่ของยากอบและยอห์นในตอนนี้ ที่คอยชักใยหรือคอยลุ้นลูกของตนเองอยู่เบื้องหลังอยู่ตลอดเวลาว่า ใครจะได้นั่งข้างซ้าย ใครจะได้นั่งข้างขวาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า

พี่ - น้องที่รักครับ ปัญหาซึ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนครอบครัวไม่ได้มีเพียงแค่ที่กล่าวมา เมื่อสักครู่นี้เท่านั้นแท้ที่จริงแล้วมันยังมีอีกเยอะแยะมากมาย แต่ถ้าพ่อแม่ที่เชื่อในพระเจ้า ได้ดำเนินการดูแลครอบครัวของตน ตามหลักแห่งพระวจนะคำของพระเจ้าที่ได้ทรงตรัสสอนเราเอาไว้ ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่า ปัญหาซึ่งเป็นสิ่งที่บั่นทอนครอบครัว อาจจะหายไปจากครอบครัวของท่านครึ่งหนึ่งก็เป็นได้

อะไรคือสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าได้ทรงสอนเราเอาไว้ในฐานะผู้เป็นมารดาหรือผู้เป็นแม่

ประการที่ 4 คือ คุณภาพชีวิตของครอบครัว

            ปัญหา หนึ่งของสถาบันครอบครัวไทยที่เป็นอยู่ในเวลานี้นั่นก็คือ การมีคุณภาพชีวิตของครอบครัวที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ และผู้ที่เป็นเด็กก็มักจะตกเป็นแพะรับบาปหรือตกเป็นจำเลยของปัญหาต่างๆ เหล่านี้เสียส่วนมาก และดูเสมือนว่าคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่หรือคนที่เป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่ค่อยที่จะยอมรับการมีส่วนของปัญหานี้กันสักเท่าไหร่

ซึ่ง แท้ที่จริงแล้วคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่นั่นแหละคือตัวการใหญ่ ของปัญหาที่วัยรุ่นมีอยู่ในขณะนี้ เหตุเพราะเมื่อเขาเลิกเรียน และเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน แต่เขากลับไม่เจอทั้งพ่อทั้งแม่ คำถามก็คือว่า และถ้าเป็นพี่ - น้องล่ะพี่ - น้องคิดอย่างไร ? พี่ - น้องอยากจะกลับบ้านตรงเวลาไหม หรือพี่ - น้องอยากจะไปเฉไฉที่นั่นนิดที่นี่หน่อย

ดัง นั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกพี่ - น้องที่รักครับ ที่เด็กสมัยนี้เขาจะไปอยู่รวมกันตามศูนย์การค้า หรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ตามร้านเน็ทหรือร้านวิดิโอเกมส์ต่างๆ

สิ่ง ที่น่าเศร้าก็คือว่า พ่อ - แม่บางคนเมื่อกลับมาถึงบ้านก็แสดงความไม่เต็มใจที่จะรับฟังปัญหาของพวกเขา ดังนั้นการพูดคุยกัน ระหว่างพ่อ แม่ ลูกในหลายๆ ครอบครัวจึงเป็นประสบการณ์ที่สมาชิกในครอบครัวโดยเฉพาะผู้เป็นบุตรจึงรู้สึก เจ็บปวดมากที่สุด

และ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเราไม่ได้มีเวลาที่ดีๆ ให้แก่กันเหมือนแต่ก่อน เหตุเพราะ การทำมาหากินหรืองานหรือค่านิยมทางวัตถุ มันได้เอาเวลาของครอบครัวของคนไทยไปเสียหมดสิ้น จนกระทั่งหลายสิบปีที่ผ่านมา สามีไม่มีเวลาให้กับภรรยา และภรรยาไม่มีเวลาให้กับลูก ลูกจึงขาดความมั่นคงในชีวิต และเมื่อเขาหาความมั่นคงไม่ได้จากผู้เป็นพ่อ เป็นแม่ เขาจึงไปหาความมั่นคงในชีวิตจากคนที่เป็นเพื่อน ซึ่งมันก็มีทั้งเพื่อนที่ดีและเพื่อนที่ไม่ดี

ซึ่ง ถ้าเขาไปคบกับเพื่อนที่ไม่ดี คนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ก็จะตำหนิเขา หาว่าคบเพื่อนก็คบแต่เพื่อนชั่วๆ แท้ที่จริงแล้วคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่หรือผู้ใหญ่นั่นแหละที่ไม่ได้มีเวลาให้กับลูกของตัวเองอย่างแท้จริง

พี่ - น้องที่รักครับ ในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่ที่เชื่อในพระเจ้า และพระคำของพระเจ้าก็บอกกับเราว่า ลูกเป็นของขวัญที่มาจากพระเจ้า

ดัง นั้นพี่ - น้องอย่าได้ทำหรือพี่ - น้องอย่าได้เป็นเหมือนกับพ่อแม่ อย่างที่ผมได้กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ เพราะพระเจ้าจะไม่ได้รับเกียรติจากการเป็นพ่อ เป็นแม่ในชีวิตของพี่ - น้องเลยแม้แต่นิดเดียว และผมก็ไม่ได้เชย ผมจึงรู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ในยุคนี้ พ.ศ. นี้ สังคมยุคใหม่ คนที่เป็นทั้งสามี เป็นทั้งภรรยา หรือคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่นั้นต่างก็จะต้องช่วยกันประคับประคองครอบครัวให้ผ่านไปด้วยดี

แต่ ไม่ว่าพี่ - น้องจะมีงานยุ่งขนาดไหนก็ตาม พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ น๊ะครับ พี่ - น้องก็จะต้องจัดสรรเวลาที่ดีให้กับลูกของพี่ - น้องอยู่เสมอ ทั้งการเฝ้าเดี่ยวร่วมกัน อธิษฐานร่วมกัน รับประทานอาหารด้วยกัน แบ่งปันความทุกข์ความสุขร่วมกัน หนุนใจเขาแม้ว่าเราจะไม่ได้ไปโรงเรียนด้วยกับเขา และรับฟังในปัญหาของเขาด้วยความยินดีและเต็มใจ

เมื่อ พี่ - น้องทำอย่างนี้แล้ว คุณภาพชีวิตภายในครอบครัวของพี่ - น้องก็จะดี แม้ว่าเศรษฐกิจภายในครัวเรือนของพี่ - น้องมันจะไม่ได้ก็ตาม แต่มันจะไม่สามารถที่จะเขย่าครอบครัวของพี่ - น้องลงได้ เพราะ

A ครอบครัวเสียสละต่างทำงานเพื่อเกื้อกูลกัน           

B ครอบครัวมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

C ครอบครัวมีความพะวงดูและซึ่งกันและกัน           

D ครอบครัวช่วยเหลือประคับประคองกัน

E ครอบครัวมีความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน     

F ครอบครัวแบ่งปันซึ่งกันและกัน

            อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ ที่เชื่อในพระเจ้าจะต้องช่วยกันสร้าง “ สปิริต ” หรือวิญญาณจิตนี้ขึ้นมาในครอบครัว ซึ่งนั่นหมายความว่า พ่อแม่ที่เป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าถูกพระเจ้าใช้มากกว่าพ่อแม่ที่ไม่ได้ เชื่อในพระเจ้า

อะไรคือสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าได้ทรงสอนเราเอาไว้ ในฐานะผู้เป็นมารดาหรือผู้เป็นแม่

ประการที่ 5 คือ เราเป็นครอบครัวคริสเตียน

            ผู้ที่เป็นแม่จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเราเป็นครอบครัวของพระเจ้า

ผู้ที่เป็นแม่จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเราเป็นครอบครัวคริสเตียน

พี่ - น้องที่รักครับ ครอบครัวของคริสเตียนจะต้องต่างไปจากครอบครัวอื่นๆเหตุเพราะครอบครัวของ คริสเตียนนั้น มีภาระหน้าที่และสิ่งที่จะต้องทำ โดยเฉพาะในฝ่ายจิตวิญญาณมากกว่าครอบครัวที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน

            เคล็ดที่ไม่ลับของการเป็นครอบครัวคริสเตียนนั่นก็คือ การที่เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกได้อยู่ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

เมื่อ เราอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เราก็จะต้องพึ่งพาพระองค์ เหตุที่เราจะต้องพึ่งพาพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นก็เพราะ เราไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะนำลูก ดูแลลูกของเรา ให้เป็นไปอย่างที่พระคริสต์อยากจะให้เป็น

            มีพ่อ - แม่ในห้องประชุมนี้กี่คนครับ ที่คิดว่ามีความสามารถที่จะนำลูก ดูแลลูกให้เป็นไปอย่างที่พระคริสต์อยากจะให้เป็นได้ช่วยยกมือหน่อยครับ ?       

คำ ถามก็คือว่า ถ้าพ่อแม่ที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า แต่ไม่ได้พึ่งพาพระเจ้า ไม่พึ่งได้พาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะเลี้ยงดูบุตรของตนได้ไหมครับ ?

คำ ตอบก็คือ ได้ และครอบครัวของผู้เชื่อหลายคนที่ผมรู้จัก รวมทั้งครอบครัวของพี่น้องเราที่เป็นสมาชิกของคริสตจักรฯ แห่งนี้อยู่หลายครอบครัวก็กำลังทำอย่างนี้อยู่ ซึ่งนั่นหมายความว่า ภาระในการเลี้ยงดูบุตรของพ่อแม่ที่เป็นคริสเตียนนั้นก็จะหนักมากไม่ต่างอะไร ไปจากพ่อแม่ที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้ากันสักเท่าไหร่

พี่ น้องทราบไหมครับว่า ในหลายๆครั้งที่ผมเห็นพ่อแม่ที่เป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหลายต่อ หลายคนไม่สามารถที่จะปฏิบัติต่อลูกของตนได้อย่างที่พระคริสต์ต้องการให้ ปฏิบัติ

ใน ทางตรงกันข้ามพี่ - น้องทราบไหมครับว่า ในหลายๆ ครั้ง ที่ผมเห็นลูกที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้า หลายต่อหลายคน ไม่สามารถที่จะปฏิบัติต่อพ่อแม่ของตนได้อย่างที่พระคริสต์ต้องการให้ปฏิบัติ ด้วยเช่นกัน

พี่ - น้องที่รักครับ ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะพ่อ ในฐานะแม่หรือในฐานะลูกก็ตาม แต่ถ้าเราอยากจะเป็นพ่อที่ดี เป็นแม่ที่ดีและถ้าเราอยากจะเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เราจะต้องพึ่งพาพระเจ้า เราจะต้องพึ่งพาวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกวัน

มี ผู้เชื่อหลายคนมักจะมีความเข้าใจอย่างนี้ว่า เมื่อเราได้เปิดใจของเราต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้ รอดในชีวิต เราก็จะได้รับพันธสัญญาทุกสิ่งและทุกอย่างจากพระองค์เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ซึ่งนั่นเป็นความจริง

แต่ นั่นก็มิได้หมายความว่า เมื่อเราได้รับสิ่งดีต่างๆ เหล่านั้นแล้วเราไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาพระองค์อีกต่อไป ซึ่งอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า เราจะพึ่งตรงนั้นทั้งหมดไม่ได้ หรือเราจะแอบพึ่งใบบุญตรงนั้น หรือเราจะกินบุญเก่าจากตรงนั้นวันเดียวไม่ได้ หรือเราจะรับมรดกฝ่ายวิญญาณจากตรงนั้นทุกอย่างไม่ได้

ดังนั้นพ่อแม่ที่เป็นผู้เชื่อทุกคน จะต้องพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าในทุกๆ วัน และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรด

1 ) ช่วยให้เรามีทัศนคติหรือมุมมองในการดูแลบุตรกับเรา

2 ) เปลี่ยนชีวิตของเราและครอบครัวของเรา

3 ) เปลี่ยนความสัมพันธ์ในครอบครัวของเรา

สรุป พระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้

1. แม่จะต้องรู้พื้นฐานเกี่ยวกับชีวิตของครอบครัว     

2. แม่จะต้องรู้วัตถุประสงค์ของครอบครัว    

3. แม่จะต้องไม่สร้างสิ่งที่บั่นทอนครอบครัว 

4. แม่จะต้องสร้างคุณภาพชีวิตของครอบครัว

5. แม่จะต้องรู้ว่าเราเป็นครอบครัวคริสเตียน

 

Green City