มัทธิวอัครทูตผู้ไม่ยอมหักปากกา

คำเทศนาเรื่อง

มัทธิวอัครทูตผู้ไม่ยอมหักปากกา

    

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรม ลก.5 : 27 - 31 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ ลก. 5 : 27 - 31 และอ่านอย่างช้าๆ พร้อมๆ กันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับและผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “มัทธิวอัครทูตผู้ไม่ยอมหักปากกา” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่น้องที่รักครับ วันที่ 19 ธ.ค. 2009 คณะกรรมการประสานงานคริสตจักรนิกายโปรแตสแตนท์แห่งประเทศไทย ร่วมกับองค์การ การประกาศข่าวประเสริฐนานาชาติ ของ ดร.บิลลี่ เกรแฮม ได้จัดให้มีการประกาศพระกิตติคุณขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผ่านทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ตั้งแต่เวลา 17.05 - 17.30 น. โดยประมาณ โดยมุ่งเน้นที่จะให้คริสตชนไทยนั้นได้เปิดบ้านของตนเหมือนกับมัทธิวคนเก็บภาษี

ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็ได้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนใน ลก.5:29 และให้เจ้าบ้านนั้นได้จัดเลี้ยงอาหารให้แก่คนที่เราได้เชิญมาเป็น Guest หรือเราได้เชิญมาเป็นแขกของเราโดยมีวัตถุประสงค์ใหญ่ๆ 3 ประการด้วยกันคือ

* เพื่อที่จะให้แขกที่เราได้เชิญมานั้น ได้ยินพระกิตติคุณของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง

* เพื่อให้แขกที่เราได้เชิญมานั้นได้รับความรอด

* เป็นการประกาศตัวท่ามกลางญาติพี่น้องของเรา หรือเพื่อนร่วมงานของเราและหรือเป็นการประกาศตัวท่ามกลางคนที่เรารู้จักว่าเรานั้นเป็นคริสเตียน

ขอบคุณพระเจ้าที่คริสตจักรนิกายโปรแตสแตนท์ในประเทศไทย ซึ่งทั่วประเทศไทยมีประมาณ 4,000 กว่าคริสตจักร ได้สมัครเข้าร่วมโครงการนี้ประมาณ 3,000 กว่าคริสตจักรโดยผู้บริหารโครงการ ยังมีหวัง เชื่อว่าน่าจะมีคริสตชนไทยทั่วประเทศเปิดบ้านเลี้ยงอาหารให้กับสายสัมพันธ์ของเขาเหมือนกับมัทธิวในช่วงวันและเวลาดังกล่าวนี้ ประมาณ 10,000 กว่าหลังคาเรือน

นอกจากนี้ผู้บริหารโครงการยังมีหวัง ยังเชื่อต่อไปอีกว่าน่าจะมีพี่น้องชาวไทยที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าจะได้เปิดใจของเขาออก และต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตอีกหลายหมื่นคน ผ่านการประกาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ในครั้งนี้ด้วย

ดังนั้นในเช้าวันนี้ ผมจะแบ่งปันเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่ามัทธิวหรือเลวีเพื่อที่พี่น้องจะได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้มากยิ่งขึ้น   

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 ให้เราเปิดไปที่ มก.2 : 14 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมกันด้วยเสียงที่ดัง

ประการที่ 1 เราพบบุตรชายของ “ อัลเฟอัส ”

            บุตรชายของ อัลเฟอัส คนนี้มี 2 ชื่อด้วยกัน ชื่อแรกของเขาคือ มัทธิว ซึ่งแปลว่า ของประทานของพระเจ้า แต่พ่อของ มัทธิว ก็ได้ให้ชื่อกับ มัทธิว อีกชื่อหนึ่งด้วยนั่นก็คือ เลวี แต่ไม่ว่าบุตรชายของ อัลเฟอัส คนนี้จะมีชื่อว่าอะไรก็ตาม

ขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า มัทธิวเขามีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นักในหมู่ชาวยิวด้วยกัน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วพระวจนะคำของพระเจ้าใน สภษ.22:1 และในหนังสือ ปญจ. 7:1 ก็ได้บอกกับเราเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ให้เรานั้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงดี

เหตุที่มัทธิว หรือ เลวี คนนี้ มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่นักในหมู่พี่ - น้องชาวยิวนั้นเป็นเพราะเขาเป็นยิวที่ยอมอยู่ภายใต้การรับใช้ของรัฐบาลโรม รัฐบาลโรมในเวลานั้นได้มอบหมายให้ มัทธิว เก็บภาษีที่เมือง คาเปอรนาอูม ซึ่งถือว่าเป็นเมืองยุทธศาสตร์ของการปกครองในสมัยของกษัตริย์เฮโรด

ดังนั้นเมืองนี้จึงเป็นเมืองที่สำคัญมาก เป็นเมืองหน้าด่าน เป็นเมืองที่มีกองคาราวานที่เดินทางมาจากทุกสารทิศ รวมทั้งเป็นเมืองที่มีทั้งคนเข้าและคนออก อยู่เป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ทุกคนที่จะเดินทางเข้า - ออกนอกเขตการปกครองของเฮโรดนั้น จะต้องจ่ายภาษีขาออกให้กับรัฐบาลโรม และที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือว่าเมืองคาเปอรนาอูมนี้ยังเป็นเมืองที่ติดอยู่ทะเล

ดังนั้นธุรกิจที่ติดอยู่ชายทะเลจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ดีไหมครับพี่น้อง ? จะต้องดีอย่างแน่นอน ดังนั้นใครๆก็คงอยากที่จะมาทำหน้าที่เก็บภาษีในเมืองนี้กันทั้งนั้น

เหตุเพราะรวยเร็วเนื่องจากมีเงินสะพัดมาก ดังนั้นคนที่จะมาทำหน้าที่นี้ได้ดีก็จะต้องทิ้งจิตสำนึกในเรื่องของการรักชาติ รักบ้าน รักเมืองของตน มัทธิว ซึ่งเป็นชาวยิวนั้น เขาได้รับมอบหมายจากรัฐบาลโรมให้เก็บภาษีกับพวกยิวด้วยกันเองซึ่งเขาจะต้องเก็บภาษีให้เข้าเป้าหรือเก็บให้ได้ยอดตามที่รัฐบาลโรมได้กำหนดเอาไว้ให้แก่เขา ส่วนภาษีที่เกินเป้าหรือยอดที่เกินนั้นรัฐบาลโรมได้กำหนดให้ตกเป็นของคนที่หน้าที่ในการเก็บภาษีนั่นเอง

จากเหตุและผลที่ได้กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ พี่ - น้องคิดว่ามัทธิวหรือเลวีคนนี้เขาจะเก็บภาษีกับพี่ - น้องซึ่งเป็นชาวยิวด้วยกันตามพิกัดที่เขาเห็นสมควรหรือเขาจะเก็บตามใจชอบครับ ?

การเก็บตามใจชอบของมัทธิวเนี่ยแหละพี่น้องที่รัก คือ การขูดรีดพี่น้องชาวยิวด้วยกันเอง มัทธิวยิ่งเก็บภาษีมากก็ยิ่งมีเงินเข้ากระเป๋ามาก พูดอย่างง่ายๆก็คือยิ่งทำก็ยิ่งรวยอาจจะกล่าวได้ว่ามัทธิวสร้างความร่ำรวยบนความทุกข์ของเพื่อนร่วมชาติก็ว่าได้และเหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้อยู่ทุกวัน

ดังนั้นชาวยิวโดยทั่วๆ ไปจึงมีทัศนคติต่อคนยิวที่มีอาชีพเป็นคนเก็บภาษีต่อคนยิวด้วยกันในลักษณะที่ว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ 1 ) ทรยศต่อชาติ ทรยศต่อพี่น้องชาวยิวด้วยกัน 2 ) เลวและต่ำทรามที่สุด 3 ) คุณไม่สามารถที่จะกลับเนื้อกลับตัวมาเป็นคนดีได้   และนี่คือทัศนคติ มุมมอง นี่คือความรู้สึก ความนึกคิดที่คนยิวโดยทั่วๆไปต่างมีต่อคนยิวที่มีอาชีพเป็นคนเก็บภาษี

ดังนั้นพี่ - น้องจึงไม่ต้องแปลกใจเลย หากจะมีนักศาสนศาสตร์บางคนกล่าวว่า ถ้าซีโมนพรรคชาตินิยม ได้พบกับมัทธิวคนเก็บภาษีบนท้องถนน ในเมืองคาเปอรนาอูม ซีโมนพรรคชาตินิยมคนนี้อาจจะฆ่ามัทธิวด้วยกฤชประจำตัวของเขาก็เป็นได้ เหตุเพราะยิว 2 กลุ่มนี้ไม่ค่อยจะถูกกันสักเท่าไหร่

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 อยู่ใน มก. 2 : 14 ให้ที่ประชุมอ่านช้าๆพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดัง

ประการที่ 2 เราพบวันที่วิถีชีวิตของมัทธิวตัดกับชีวิตของพระเยซู

            พี่ - น้องที่รักครับ วันหนึ่งขณะที่มัทธิวคนเก็บภาษีกำลังนั่งปฏิบัติหน้าที่ทางราชการตามปกติอยู่ที่โต๊ะเก็บเงินที่เมืองคาเปอร์นาอูมนั้น โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าวันนั้นก็คงจะเป็นเหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์ก็คงจะขึ้นทางทิศตะวันออกและคล้อยตกทางทิศตะวันตก นกก็คงจะร้องในยามเช้าและบินกลับรังในยามค่ำ เรือสินค้าก็คงจะเข้าจะออกตามปกติ ผู้คนก็คงจะเสียภาษีที่โต๊ะเสียภาษีเหมือนวันก่อนๆ ที่ผ่านมา

แต่วันนี้สำหรับมัทธิวแล้ว ถือได้ว่าเป็นวันที่พิเศษ เพราะเป็นวันที่เงาของชายคนหนึ่งที่มีนามว่า เยซู ได้ตกกระทบบนโต๊ะเก็บเงินของเขา เงานี้ก็ดูเหมือนเงาของคนทั่วๆ ไปที่มาจ่ายภาษี แต่ที่แปลกก็คือว่า มันไม่ได้มีเสียงของเหรียญเงินตกกระทบบนพื้นโต๊ะของมัทธิวแต่อย่างใด

เมื่อมัทธิวเริ่มรู้สึกตัวจึงเงยหน้าขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไรพี่ - น้องทราบไหมครับ ? ซึ่งนั่นหมายความว่า มัทธิวคนเก็บภาษีได้เห็นใบหน้าและดวงตาของชายที่มีชื่อว่า เยซู นั้นเต็มๆ ในดวงตาของชายคนนี้ เป็นดวงตาของคนที่มีเมตตาธรรมอย่างที่สุด

และไม่เพียงเท่านั้นพี่ - น้องที่รักครับ ในเวลาอีกไม่ช้านานมัทธิวคนเก็บภาษีคนนี้ก็ได้ยินน้ำเสียงของชายที่ชื่อว่า เยซู พูดกับเขาอย่างมีสิทธิอำนาจเพียงแค่ 2 คำเท่านั้นคือคำว่า Follow Me ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า จงตามเรามาและจงรักษาการติดตามเราเสมอไป

พี่ - น้องที่รักครับ ผมคิดว่าเสียงพูดเพียงแค่ 2 คำ ที่ออกจากปากของชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า เยซู นั้น ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเสียงของผู้มีอำนาจยิ่งกว่าเสียงของผู้มีอำนาจใดๆ ในโลกนี้ทั้งหมดตั้งแต่ที่มัทธิวเคยได้ยินมา

ถ้าจะให้ผมเปรียบความรู้สึกของมัทธิวในเวลานั้น ก็คงจะเปรียบได้กับตัวของเขาเองในเวลานั้นเป็นเพียงแค่ผงเหล็กชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งแต่ดันไปอยู่ใกล้ๆ กับแม่เหล็กขนาดใหญ่อย่างไง อย่างงั้น ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเสียงพูดเพียงแค่ 2 คำสั้นๆ ที่ออกจากปากของผู้ชายที่ชื่อว่า เยซู คนนี้ทำไมถึงได้มีอิทธิพลต่อมัทธิวเป็นอย่างมาก

ดังนั้นการพบกันระหว่างชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า เยซู กับชายอีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่า มัทธิว ในครั้งนี้นั้น คงจะมิใช่เป็นเหตุบังเอิญอย่างแน่นอน ( อาเมน ) แต่มันคงจะเป็นเรื่องที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น ทรงจงใจและตั้งใจที่จะนำเอาแผนการอันประเสริฐของพระเจ้ามาเหนือชีวิตของเขาอย่างแน่นอน

สิ่งที่พระวจนะคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อสารกับพี่ - น้องในตอนนี้ก็คือว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้น สามารถที่จะเสด็จพระราชดำเนินผ่านชีวิตของเราได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในสถานที่ๆ พี่ - น้องพำนักหรืออาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงานหรือที่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นในห้องน้ำหรือที่ห้องนอนและไม่ว่าจะที่ใดๆ ก็ตาม

สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้ก็คือว่า ไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปพบกับพี่ - น้องในที่ใดๆ ก็ตาม ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า นั่นไม่ใช่เป็นเหตุโดยบังเอิญอย่างแน่นอน ( อาเมน )

ที่สำคัญก็คือว่า มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า กำลังเรียกให้พี่ - น้องได้ติดตามองค์พระเยซูคริสต์อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เหมือนดังที่พระเยซูทรงเรียกมัทธิวในตอนนี้ก็เป็นได้

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 อยู่ใน มก. 2 : 14 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงดัง

ประการที่ 3 การทรงเรียกที่ยิ่งใหญ่

พี่น้องทราบไหมครับว่า สาวก 12 คนที่พระเยซูทรงเรียกให้ติดตามพระองค์นั้น มีมัทธิวเพียงคนเดียวเท่านั้นจริงๆที่มาจากอาชีพ การงานที่ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ส่วนสาวกอีก 11 คนที่เหลือนั้นผมขอฝากให้พี่น้องได้กลับไปศึกษาเป็นการบ้านว่าแต่ละคนนั้นเขามีอาชีพอะไรกัน

อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ การทรงเรียกที่เกิดขึ้นกับมัทธิวในที่ทำงานและเกิดขึ้นในเวลาราชการนั้น ผมถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดา ถ้าเราอ่านในพระวจนะของพระเจ้าเราก็จะพบว่า พระเจ้าทรงเรียกประชากรของพระองค์ให้มาเป็นผู้ปรนนิบัติเป็นรับใช้ของพระองค์ ในลักษณะที่คล้ายๆ กันเช่นนี้อยู่เสมอ  

วนฉ. 6 : 11 ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงเรียกกิเดโอน ขณะที่เขากำลังนวดข้าวสาลีอยู่

1 ซมอ. 3 : 1 - 9 ทำให้เราทราบว่า พระเจ้ากำลังตรัสกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังจะเข้านอนนั่นก็คือ ซามูเอล

1 ซมอ. 16 : 11 ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงเรียกเด็กคนหนึ่งที่กำลังลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งหญ้า คือ ดาวิด ให้มาเป็นกษัตริย์แทนซาอูล

ฮชย. 1 : 2 ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงเรียกโฮเชยา ให้ไปรับหญิงชู้มาเป็นภรรยาเพื่อที่จะสอนประชากรของพระองค์ถึงความรักมั่นคงของพระองค์

มก. 1 : 19 ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงเรียกชาวประมงคนหนึ่งที่มีชื่อว่า ยากอบ ในขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาชุนอวนอยู่

กจ. 9 : 3 ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงเรียกเปาโลขณะที่เปาโลนั้นกำลังเดินทางไปทำงานที่เมืองดามัสกัสและงานของเปาโลในเวลานั้นนั่นก็คือ การฆ่าและทำลายล้างคริสเตียน

ทั้งหลาย ทั้งปวงที่ได้กล่าวมานั้นทำให้เราทราบว่านี่คือการทรงเรียกของพระเจ้าที่เราเห็นได้จากพระคริตธรรมคัมภีร์ทั้งในภาคพันธสัญญาเดิมคัมภีร์เดิมและในภาคพันธสัญญาใหม่ แต่การทรงเรียกมัทธิวในตอนนี้นั้น ผมถือว่าเป็นการทรงเรียกที่ยิ่งใหญ่

เหตุเพราะพระเจ้าทรงเรียกมัทธิว จากคนที่มีอาชีพที่ขัดกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นอาชีพที่สังคมชาวยิวพากันรุมประณามหยามเยียดเป็นอย่างมาก แต่พระเจ้าก็ยังทรงเรียกให้มัทธิวมาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ แล้วทำไมเล่าครับพี่น้องที่รักที่พระเจ้าจะทรงเรียกคนธรรมดาๆสามัญที่สวย รูปหล่อ หน้าตาดีและมีอาชีพ หน้าการงานที่สังคมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรเลยอย่างพี่ - น้องและผมให้มาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าไม่ได้เล่า และอาจจะเป็นไปได้ว่าในเช้าวันนี้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้ากำลังเรียกใครบางคน ให้มาเป็นสาวกของพระองค์อยู่ก็เป็นได้

            สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าในตอนนี้ต้องการที่จะสื่อกับพี่น้องอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า การทรงเรียกของพระเจ้านั้น สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ในทุกหนและทุกแห่ง ไม่ว่ามนุษย์คนนั้นจะอยู่ที่ใดในโลกนี้ก็ตาม

และพระวจนะคำของพระเจ้าใน อฟซ.4:10 ก็บอกกับเราอย่างนั้นด้วยเช่นกันว่า “ พระเจ้าสถิตอยู่ทั่วในสิ่งสารพัด” ( อาเมน ) เพราะฉะนั้นไม่มีมนุษย์คนใดที่จะหนีการทรงเรียกของพระเจ้าไปได้เลย

            จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 4 อยู่ในข้อที่ 28 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมกันด้วยเสียงที่ดัง

ประการที่ 4 คือ มัทธิวติดตามพระเยซูทันทีและทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง

            พี่ - น้องที่รักครับ การทรงเรียกมัทธิวในพระกิตติคุณพ้องอีก 2 เล่มที่เหลือนั่นก็คือพระธรรมมัทธิวกับมาระโกนั้น อาจจะไม่ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนเหมือนกับพระธรรมลูกา อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า พระธรรมลูกาเพียงเล่มเดียวเท่านั้นที่บันทึกว่า มัทธิวนั้นได้ทิ้งสิ่งและทุกอย่างแล้วลุกขึ้นติดตามองค์พระเยซูคริสต์ไปในทันที

            4.1 คำถามที่น่าสนใจก็คือว่ามัทธิวคนนี้เขาได้ทิ้งอะไรบ้างในการติดตามพระเยซู

            คำตอบก็คือ มัทธิวเขาได้ทิ้งธุรกิจทั้งหมดที่ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ถึงแม้ว่าธุรกิจนั้นจะเป็นธุรกิจที่ทำกำไรให้กับเขาเป็นอย่างมากก็ตาม สิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้ก็คือว่า

ถ้าพี่ - น้องทำธุรกิจที่ไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เช่น ปล่อยเงินกู้ ขายหวย ขายเรียงเบอร์ ค้ายา E ขายยาไอซ์ ขายแผ่นผีซีดีเถื่อนหรือโกงตาชั่งกิโลคนซื้อและหรือจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตามที่คล้ายๆ กับที่ได้กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้

พี่ - น้องจะต้องพิจารณาปรับปรุงธุรกิจนั้นใหม่ทั้งหมดในทันที ถ้ามันปรับปรุงไม่ได้จริงๆ พี่ - น้องก็ต้องพิจารณาที่จะเลิกทำธุรกิจนั้นในทันทีเช่นกัน อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ธุรกิจของเรามันขัดกับศาสนาที่เราเชื่อหรือเดินตามอยู่ในปัจจุบัน ให้เราพิจารณาธุรกิจนั้นในทันที ( อาเมน )

อย่าให้เราเป็นเหมือนกับคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า เหตุเพราะคนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้านั้นเขาจะแยกธุรกิจออกจากพระศาสนา เหมือนกับที่เขาแยกทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจาก โกงคือโกง ทำบุญคือทำบุญ แต่คริสเตียนจะต้องเอา 2 เรื่องนี้มาผนวกด้วยกันเพื่อที่พระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติจากธุรกิจของเรา

4.2 คำถามที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า มัทธิวคนนี้เขาได้ทิ้งอะไรบ้างในการติดตามพระเยซู

คำตอบก็คือ มัทธิวยอมเสียเพื่อนร่วมอาชีพหรือเพื่อนร่วมงาน ซึ่งถ้าเราจะเปรียบการเก็บภาษีนั้นเป็นธุรกิจ นั่นก็หมายความว่า มัทธิวเขาก็ยอมที่จะเสียเพื่อนร่วมธุรกิจ แต่การที่คนเราจะยอมเสียอะไรมากมายอย่างนั้นเราก็จะต้องเข้าใจเสียก่อนว่า การติดตามพระเยซูนั้นคืออะไร ?

มีพี่ - น้องที่นี่กี่คนครับ ที่ทราบว่าการติดตามพระเยซูนั้นคืออะไร ยกมือขึ้นครับ การติดตามพระเยซูคือ การทำให้พระเยซูนั้นทรงพอพระทัย เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่มันเป็นตุ้มถ่วงในการที่ทำให้เรานั้นไม่สามารถที่จะติดตามพระเยซูได้ เราจะต้องสลัดสิ่งนั้นออกไป

ซึ่งเราต้องไม่ลืมว่า ทันทีที่มัทธิวได้ยินเสียงเรียกของพระเยซูนั้น เขาก็ได้ทิ้งชีวิตเดิมๆของเขาเสียและติดตามพระองค์ไป ถ้าเราจะมองมิติในฝ่ายวิญญาณ นี่ก็คือภาพของการกลับใจใหม่และบังเกิดใหม่ในฝ่ายจิตวิญญาณอย่างแท้จริง

น่าเสียดายตรงที่ว่าในเวลานี้ มีคริสเตียนจำนวนมากในประเทศไทยที่อยากจะติดตามองค์พระเยซูคริสตเจ้า แต่เขาไม่อยากที่จะทิ้งอะไรไปและเขาก็ไม่อยากที่จะเสียอะไรไปด้วย นอกจากไม่อยากทิ้งและไม่อยากเสียอะไรไปแล้ว บางคนยังจะใช้การมาเป็นคริสเตียนเป็นช่องทางในการแสวงหาผลประโยชน์กับคริสเตียนให้กับตนเองอีกด้วย ( ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย ข้างขวาว่า คุณต้องไม่ใช่คนนั้น )

4.3 คำถามที่น่าสนใจก็คือว่ามัทธิวคนนี้เขาได้ทิ้งอะไรบ้างในการติดตามพระเยซู

คำตอบก็คือ มัทธิวได้ทิ้งบาปของเขาลง แน่นอนการทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังนั้นไม่ใช่จะเป็นเรื่องที่จะทำกันง่ายๆ แต่เมื่อเขาบวก ลบ คูณ หาร ถอดสแควรูทเรียบร้อยแล้ว เขาจึงทิ้งบาปนั้นลงทั้งหมด ที่สำคัญก็คือว่า เขาทำมันในทันที ไม่ใช่ทยอยๆ ทำและเราอย่าพยายามที่จะรับเอาวิวัฒนาการ “ การเข้าข้างตนเอง ” ซึ่งเป็นวิวัฒนาการที่ไม่ถูกต้องมาใช้กับในทางของพระเจ้า เช่น ค่อยๆ ทำบาปลดลงเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเราจะไม่ทำบาปเลย เช่น ค่อยๆ ลดบุหรี่ลงเรื่อยๆ จากวัน 40 ตัวเหลือวันละ 39 ตัว จนวันหนึ่งเราจะเลิกได้เอง เช่น ค่อยๆลดเหล้าลงเรื่อยๆ วันละหยดแล้ววันหนึ่งเราก็จะไม่ดื่มมันอีกนี่คือวิวัฒนาการ “ การเข้าข้างตนเอง ”

พระวจนะของพระเจ้าใน อฟซ. 4 : 28 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า “ผู้ที่ขโมยก็อย่าขโมยอีก” ซึ่งนั่นหมายความว่า ให้เรานั้นหักดิบกับมันโดยพึ่งฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า มิใช่ให้เรานั้นขโมยลดลงหรือค่อยๆ ขโมย เพื่อที่วันหนึ่งเราจะเลิกนิสัยขโมยไปได้เองมันไม่ใช่อย่างนั้นนะพี่น้อง

มีเรื่องเล่าว่า เมื่อทหารโรมันต้องการที่จะยึดเกาะของข้าศึก เขาจึงใช้เรือรบเทียบท่า เมื่อขนทหารขึ้นเกาะหมดแล้ว เขาจึงเผาเรือทิ้ง ซึ่งเป็นการบอกให้ทหารของตนได้รู้ว่าถ้าไม่ชนะไม่กลับบ้าน

ตัวอย่างนี้สอนให้เรารู้ว่า ถ้าเราจะดำเนินชีวิตคริสเตียนของเราให้ประสบความสำเร็จตามแนวทางที่พระเยซูได้ทรงวางไว้เราจะต้องทิ้งชีวิตเดิมๆของเราเสียซึ่งนั่นหมายความว่า เขาได้ติดตามพระเยซูอย่างหมดหัวใจ โดยที่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรพระเยซูสักคำถามเดียว

4.4 คำถามที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า มัทธิวคนนี้เขาได้ทิ้งอะไรบ้างในการติดตามพระเยซู ลก. 5 : 29 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า มัทธิวติดตามพระเยซูด้วยความชื่นชมยินดี และข้อพระคัมภีร์ข้อนี้เองที่เป็นที่มาของโครงการ “ ยังมีหวัง ”

เหตุที่มัทธิวทำอย่างนี้ก็เพราะว่าเขาเป็นผู้เชื่อใหม่หรือเป็นคริสเตียนใหม่ ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ที่จะให้ผู้คนรอบข้างเขานั้นได้มารู้จักกับพระเยซู แต่เขารู้สึกอย่างมั่นใจได้ว่า เมื่อเขามารู้จักกับพระเยซูแล้วมันดี และมันมีความหมายต่อชีวิตของเขาเป็นอย่างมาก แต่การที่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรเนี่ยแหละคือ ปัญหาใหญ่ของเขา

            อย่างไรก็ตามผมพบว่าแท้จริงแล้ว ปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาของมัทธิวเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่เป็นปัญหาของผู้เชื่อใหม่หรือคริสเตียนใหม่มาทุกยุค ทุกสมัย รวมทั้งในยุคโลกาภิวัฒน์นี้ด้วยเช่นกัน ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะประกาศพระกิตติคุณของพระเจ้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ด้วยเหตุนี้นี่เองพี่ - น้องที่รักครับ ที่เป็นเหตุทำให้มัทธิวจึงได้เชิญชวนเพื่อนๆ ของเขาเป็นจำนวนมากซึ่งเราไม่รู้ว่ามีใครบ้าง แต่ที่แน่ๆ ก็น่าจะมี ศักเคียส คนเก็บภาษีที่อยู่ที่เมืองเยริโคคนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ คนเก็บภาษีที่ชอบอธิษฐานแบบตีอกชกหัวในพระวิหารที่น่าจะมาร่วมวงกินข้าวอย่างเป็นธรรมชาติกับมัทธิวในครั้งนี้ด้วย    

ซึ่งในสมัยโบราณนั้น งานเลี้ยงใหญ่ในลักษณะอย่างนี้ หมายถึงการประกาศคือ ประกาศให้เพื่อนๆ รู้ว่าเจ้าของงานหรือเจ้าภาพนั้น ได้ประสบกับเหตุการณ์ใหญ่ของชีวิต เช่น การเกิด การแต่งงาน การฉลองวันเกิด การตาย เป็นต้น

มัทธิวถือว่าการที่เขาได้พบกับพระเยซูนั้น เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิต เขาจึงอยากที่จะแนะนำการกลับใจใหม่ให้กับเพื่อนๆ ของเขาทุกคนได้รู้ว่า

1 ) เดี๋ยวนี้เขาได้เป็นผู้ติดตามพระเยซูแล้ว

2 ) มัทธิวคนเก่านั้นได้ตายไปแล้วและที่เห็นอยู่ตัวเป็นๆเนี่ยคือมัทธิวคนใหม่

พี่น้องที่รักครับ สิ่งที่มัทธิวได้กระทำนั่นก็คือ การประกาศที่จะยืนหยัดในฝ่ายพระเจ้า

แต่พี่ - น้องทราบไหมครับว่า มีคริสเตียนจำนวนไม่น้อยเลยที่ชีวิตของเขานั้นไม่เคยยืนหยัดในฝ่ายพระเจ้าเลย ทั้งในที่ทำงาน ที่บ้านหรือแม้กระทั่งสังคมที่เขาอาศัยอยู่

เหตุเพราะเขากลัว กลัวว่าเพื่อนในที่ทำงานและที่บ้านของเขานั้นจะรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียนบางคนกลัวขนาดไม่กล้าที่จะอธิษฐาน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหารที่ตั้งอยู่ต่อหน้า เขากลัวว่าสังคมของเขานั้นจะคิดกับเขาอย่างไร มากกว่าจะสนใจว่าพระเจ้าจะคิดกับเขาอย่างไร

ท่าทีและการกระทำของคริสเตียนประเภทนี้ ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรไปจากสาวกกลุ่มหนึ่งที่ชอบแอบไปหาพระเยซูในตอนกลางคืน ดังนั้นชีวิตของผู้เชื่อเหล่านี้จึงได้เป็นแต่ผู้เชื่อแบบลับๆ ชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณของผู้เชื่อแบบลับๆ เหล่านี้ไม่ได้ไปถึงไหนกับพระเจ้าเลย

ผู้เชื่อบางคนก็ขี้อายที่จะแบ่งปันเรื่องราวที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน แต่ อ. เปาโล บอกกับเราเอาอย่างชัดเจนใน รม.10 : 11 ว่า “พระองค์ทรงยอมอับอายเพื่อที่เราจะไม่ได้รับความอับอาย” เพราะฉะนั้นถ้าพี่ - น้องท่านใดมีพฤติกรรมดังที่ได้กล่าวมาเมื่อสักครู่ ผมขอหนุนใจให้ท่านได้อธิษฐานสารภาพบาปกับพระเจ้าและขอที่ท่านจะกลับใจใหม่และเริ่มต้นกับพระเจ้าใหม่อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ ในพระธรรมวิวรณ์นั้นได้มีการพูดถึงเจ้าสาวของพระคริสต์หรือพระเมษโปดกเอาไว้ถึง 8 ครั้ง ดังนั้นถ้าเราจะมองงานเลี้ยงที่บ้านของมัทธิวในครั้งนี้ในมุมมองของมิติฝ่ายจิตวิญญาณ ก็อาจจะกล่าวได้ว่ามัทธิวนั้นกำลังแต่งงานทางจิตวิญญาณกับพระเยซูอยู่ได้ไหมครับ ?  

ดังนั้นก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่แปลก ถ้าใบหน้าของมัทธิวนั้นจะเกิดความชื่นบานอยู่ตลอดเวลา เหตุเพราะเขากำลังแต่งงานในฝ่ายวิญญาณกับเจ้าบ่าวของเขาอยู่นั่นเอง

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 5 คือ มัทธิวถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ในงานของพระเจ้า

            ผมเชื่อว่าเมื่อเพื่อนๆ ของมัทธิวพอที่จะรู้แล้วว่ามัทธิวจัดงานนี้ขึ้นมาเพื่ออะไร ผมเชื่อว่าก็คงจะมีเพื่อนของเขาบางคนอาจจะพูดกับมัทธิวอย่างนี้ก็ได้ว่า มัทธิวคุณนี่ช่างโง่แสนโง่จริงๆ คุณทิ้งเงิน ทิ้งโอกาสไปติดตามพระเยซูไปได้อย่างไรเนี่ย

พี่น้องคิดว่าน่าที่จะมีคนพูดกับมัทธิวอย่างนี้ไหมครับ ?

ขอบคุณพระเจ้าที่มัทธิวเลือกที่จะฟังเสียงของพระเจ้ามากกว่าที่จะฟังเสียงของมนุษย์ เขาจึงเลือกที่จะยอมมอบชีวิตของเขาทั้งหมดในการที่จะติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้าไป

อาจจะกล่าวได้ว่า ใครก็ตามที่ได้มอบชีวิตของเขาทั้งหมดให้กับพระเจ้า ผมเชื่อว่าชีวิตของเขานั้นจะถูกพระเจ้าใช้ และทำให้เกิดประโยชน์อย่างใหญ่หลวงอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามก็มีนักเทศน์บางคนได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า แท้จริงแล้วมัทธิวนั้นไม่ได้ทิ้งทั้งหมดแต่มัทธิวน่าจะมีปากกาสักด้ามหนึ่งติดตัวของเขาไปด้วย

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก เขาจึงเริ่มบันทึกพระกิตติคุณมัทธิว ซึ่งเป็นพระกิตติคุณเล่มแรกของพระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งแต่ก่อนนั้นเขาอาจจะใช้ปากกาเล่มเดียวกันนี้บันทึกตัวเลขภาษีที่ขูดรีดเขามาหรือโกงเขามา แต่เดี๋ยวนี้เขากับใช้มันเพื่อบันทึกพระวจนะคำพระเจ้า ซึ่งนำคนที่ได้พบชีวิตกับใหม่นั้น ได้ศึกษาค้นคว้าหาอ่าน เป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่มีคุณประโยชน์อย่างมหาศาล เป็นถ้อยคำที่ทรงพลานุภาพ เช่น คำเทศนาบนภูเขา เป็นต้น

ดังนั้นพระกิตติคุณของพระเจ้าที่เขียนโดยมัทธิว จึงเป็นพระกิตติคุณที่สมบูรณ์ที่สุดและยาวที่สุดเล่มหนึ่ง โดยเฉพาะคำเทศนาบนภูเขานั้นเป็นคำเทศน์ คำสอนที่มัทธิวบันทึกได้อย่างกินใจเป็นอย่างมาก

ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมครับพี่ - น้องที่รัก จากคนๆหนึ่งที่ใช้ปากกาโกงคน ขูดรีดกับคน หากินกับคน แต่เมื่อเขาได้มอบชีวิตของเขาทั้งหมดให้กับพระเยซูสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้กลายเป็นพรให้กับผู้คนอย่างมากมาย จากคนๆ หนึ่งที่ถูกเพื่อนร่วมในสังคมตราหน้าว่าเป็นไอ้คนเลว ขายชาติ ซึ่งชื่อเสียงนี้คงจะเป็นจริงอยู่หลายปี

แต่เมื่อมัทธิวเขาได้ตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเยซู ลักษณะชีวิตของเขาและความประพฤติของเขาได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ชื่อของผู้ชายคนนี้จึงได้ถูกบันทึกเอาไว้อย่างสวยงามว่าเขาเป็นหนึ่งใน 12 อัครสาวกของพระเยซู และชีวิตของเขากลายเป็นของขวัญให้กับคริสตจักรของพระเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าในเช้าวันนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสด็จผ่านมายังเก้าอี้ที่พี่ - น้องนั่งอยู่ และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงเรียกท่านด้วยพระสุรเสียงของพระองค์เองว่า “ จงตามเรามา ” พี่น้องและผมซึ่งต่างได้รับประโยชน์จากการติดตามพระองค์ผ่านทางไม้กางเขน

คำถามคือว่า พี่น้องพร้อมที่จะสละซึ่งทุกสิ่งและทุกอย่างในการติดตามพระองค์ไหม อันนี้เป็นคำถามที่ทิ้งไว้ให้พี่น้องตอบตัวของท่านเอง

สรุป     พระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้

1. เราพบบุตรชายของอัลเฟอัส

2. เราพบวันที่วิถีชีวิตของมัทธิวตัดกับพระเยซู

3. เราพบถึงการทรงเรียกที่ยิ่งใหญ่

4. เราพบว่ามัทธิวติดตามพระเยซูทันทีและทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง

5. เราพบว่ามัทธิวถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ในงานของพระเจ้า  

           

           

Green City