คำเทศนาเรื่อง ไฟของพระเจ้า
ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจาก กจ.2:1- 4 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เมื่อวันเทศกาลเพ็นตาคอสมาถึง จำพวกศิษย์จึงรวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุกล้าสั่นก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั่น มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้นปรากฏแก่เขากระจายอยู่บนเขาสิ้นทุกคน เขาเหล่านั้นก็ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ไฟของพระเจ้า” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน
พี่น้องที่รักครับ ภายหลังจากที่มีการปฏิวัติรัฐบาลของคุณทักษิณ มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอๆนั่นก็คือ การลอบวางเพลิง มีการลอบวางเพลิงสถานศึกษาหรือโรงเรียน มีการลอบวางเพลิงเผาหน่วยงานราชการ ซึ่งการลอบวางเพลิงส่วนมากนั้นถูกจุดขึ้นโดยมนุษย์
สิ่งที่จะนำมาแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้ก็ คือ เรื่องที่เกี่ยวกับไฟ
พี่น้องที่รักครับ ไฟในโลกนี้มี 2 ชนิด ชนิดที่ 1 คือ ไฟในฝ่ายธรรมชาติ ชนิดที่ 2 คือ ไฟในฝ่ายวิญญาณ
ไฟชนิดที่ 1 คือ ไฟในฝ่ายธรรมชาติ ซึ่งส่วนมากถูกจุดขึ้นโดยมนุษย์ วัตถุหรือเชื้อที่นำมาใช้ในการติดไฟ ได้แก่ กระดาษ ฟืน ขี้ไต้ ถ่าน หรือเชื้อเพลิง เป็นต้น
ประโยชน์ของไฟในฝ่ายธรรมชาติ คือ ให้พลังงาน ให้ความอบอุ่น ใช้สำหรับการเตรียมอาหาร เผาผลาญสิ่งที่ไม่มีค่า เผาไหม้สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ในเงินและทอง พี่น้องเกษตรกรที่ทำไร่ ไถนา ใช้ไฟเพื่อการเผาไหม้พื้นดินในบริเวณควบคุม ซึ่งจะทำให้มีผงขี้เถ้าซึ่งเป็นปุ๋ยแก่พื้นดินทำให้การเก็บเกี่ยวนั้นดีขึ้น
พี่น้องที่รักครับ ไฟฝ่ายธรรมชาติมักจะดับไปถ้าไม่ได้รับการเติมเชื้อเพลิงอยู่เรื่อยๆ อย่างไรก็ตามไฟฝ่ายธรรมชาติที่ริบหรี่ ริบหรี่จวนจะดับอยู่แล้ว อาจจะถูกลมพัดให้ลุกโพลงขึ้นได้อีก
ไฟชนิดที่ 2 คือไฟในฝ่ายวิญญาณ ไฟในฝ่ายวิญญาณนั้นถูกจุดโดยปราศจากเชื้อให้ลุกโชติช่วงขึ้นโดยพระเจ้า
ในสมัยพันธสัญญาเดิม ไฟในฝ่ายวิญญาณถูกจุดขึ้นเพื่อที่พระเยโฮวาห์ต้องการที่จะตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ เช่นในอพยพ 3 ที่พระเยโฮวาห์ปรากฏกับโมเสสที่พุ่มไม้นั้น
ไฟในฝ่ายวิญญาณถูกจุดโดยปราศจากเชื้อให้ลุกโชติช่วงขึ้นโดยพระเจ้า เพื่อทำลายสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ เพื่อทำลายรูปเคารพ เพื่อทำลายสิ่งที่ยึดมาจากศัตรู เช่น ไฟแห่งการพิพากษา ที่เกิดขึ้นกับโสดอม - โกโมราห์ ทำให้โสดอม - โกโมราห์ได้รับความพินาศเป็นเถ้าถ่าน
ในสมัยพันธสัญญาใหม่ ไฟฝ่ายวิญญาณถูกจุดโดยปราศจากเชื้อให้ลุกโชติช่วงขึ้นโดยพระเจ้า ผ่านวันเพ็นเทคอสซึ่งคริสเตียนมักจะเรียกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเพ็นตาคอสนี้ว่า ไฟแห่งวันเพ็นเทคอส หรือ ไฟของพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานไฟของพระองค์ลงมาจากสวรรค์เพื่อแตะต้องสาวกของพระองค์มิใช่บางคน แต่ทุกๆคนรวมทั้งพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย
คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า พระเจ้าได้ทรงประทานไฟฝ่ายวิญญาณของพระองค์ลงมาให้กับสาวกของพระองค์เพื่ออะไร ?
ประการที่ 1 เพื่อแสดงให้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
พี่น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าในหนังสือ 1 พศก. 18 เป็นเรื่องราวของเอลียาห์บนภูเขาคารเมล ทำให้เรารู้ว่าเรื่องนี้พระเจ้าได้แสดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ โดยการแสดงออกให้เห็นด้วยไฟจริงๆ เพื่อที่ชนชาตินี้จะได้หันจิตใจของเขากลับมาและทราบว่าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้า
ในขณะที่เรารับใช้พระเจ้าอยู่ในเวลานี้ แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้ทรงแสดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ด้วยไฟจริงๆ เหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขาคารเมลในสมัยของเอลียาห์ แต่พระเจ้าจะหันจิตใจของคนในยุคนี้กลับมาหาพระองค์ ด้วยไฟของพระเจ้าที่อยู่ในเรา
การอัศจรรย์และหมายสำคัญใช่หรือไม่ ? ที่ทำให้เราหันจิตใจของเรามาหาพระเจ้าและยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่
เช่นเดียวกันพี่น้องที่รักครับ การอัศจรรย์และหมายสำคัญ จะทำให้คนในยุคนี้หันจิตใจของเขามาหาพระเจ้า และยอมรับว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่
ประการที่ 2 เพื่อทำให้งานรับใช้ของเรามีฤทธิ์อำนาจ
กิจการ 1:4 “เมื่อพระองค์ได้ทรงพำนักอยู่กับอัครฑูต จึงกำชับเขามิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดาคือพระองค์ตรัสว่า “ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ”
ยน. 14 :26 “แต่องค์พระผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว”
ภายหลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ได้ทรงไปปรากฏตัวกับสาวกพร้อมด้วยหลักฐานหลายอย่างและได้กำชับกับสาวกของพระองค์ว่า มิให้ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยอะไรครับพี่น้อง? แต่ให้สาวกของพระองค์คอยไฟในฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ผ่านวันเพ็นเทคอส ที่พระเจ้าจะทรงจุดลงมาจากฟ้าสวรรค์ เพื่อให้ทิศทางแก่สาวกในการปรนนิบัตรับใช้พระองค์
การที่สาวกของพระเยซูคริสต์รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าในวันเพ็นเทคอสนั่นคือการที่สาวกของพระเยซูคริสต์นั้นได้รับ
เอาไฟในฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าเข้าไปในชีวิตของเขา
เอาการทรงสถิตย์ของพระเจ้าเข้าไปในชีวติของเขา
เอาฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเข้าไปในชีวิตของเขา
ภายหลังจากที่สาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้รับบัพติสมาด้วยไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าไปแล้วนั้นการรับใช้พระเจ้าของอัครสาวกทุกคนเป็นอย่างไรครับพี่น้อง ?
กจ.2:41- 42 “คนทั้งหลายที่รับคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน เขาทั้งหลายได้ขะมักขะเขม้นฟังคำสอนของจำพวกอัครฑูตและร่วมสามัคคีธรรม ทั้งขะมักขะเขม้นในการหักขนมปังและการอธิษฐาน”
กจ.4: 4 “แต่คนเป็นอันมากที่ได้ฟังคำสอนนั้นก็เชื่อ จำนวนผู้ชายจึงเพิ่มขึ้นจนนับได้ประมาณห้าพันคน”
การรับใช้พระเจ้าของอัครสาวกทุกคนเป็นอย่างไรครับพี่น้อง ? เกิดผล เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ รับใช้ด้วยความมั่นใจและด้วยความกล้าหาญ และไฟในฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าอย่างเดียวกันและชนิดเดียวกันนี้ก็ทรงอยู่ภายในเราทุกคนและจะทรงอยู่กับเราตลอดไปจนกว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมา
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ? เราได้ใช้ไฟในฝ่ายวิญญาณที่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้านี้ออกไปด้วยความมั่นใจ ออกไปด้วยความกล้าหาญมากน้อยแค่ไหน
ประการที่ 3 เพื่อชำระเราทั้งหลายให้สะอาดและทำให้บริสุทธิ์
1 ปต.1:16 “ดังที่มีพระวจนะเขียนไว้แล้วว่าท่านทั้งหลายจงบริสุทธิ์เพราะเราบริสุทธิ์”
อฟซ.1:14 “ในพระเยซูคริสต์พระองค์ทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระเจ้า”
ไฟฝ่ายธรรมชาติเผาไหม้ขี้ทอง ขี้เงิน ให้แยกออกจากทองและเงิน เราจึงได้ทองและเงินที่บริสุทธิ์ เช่นเดียวกันกับไฟในฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าต้องการเผาไหม้และทำลายสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกจากชีวิตของเรา พระเจ้าไม่ต้องการเห็นเราเป็นคริสเตียนขี้ทอง ขี้เงิน
อฟซ.1:14 พระองค์ทรงเลือกและทรงแยกเราไว้ เพื่อให้เราบริสุทธิ์เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์
สิ่งที่พระเจ้าต้องการเผาไหม้และทำลายสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกจากชีวิตของเรานั้นมีอะไรบ้าง ?
1 ปต.4 :3 “คือประพฤติตัวตามราคะตัณหา ตามใจปรารถนาอันชั่ว เมาเหล้าองุ่น เลี้ยงกันอย่างถึงใจ และการไหว้รูปเคารพซึ่งผิดธรรม”
1 ยน. 2 :15 “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”
พี่น้องที่รักครับ ถ้าเรายอมให้ไฟของพระเจ้าทำภารกิจแห่งการชำระนี้ให้สะอาดในชีวิตของเรา เราจะมีประสบการณ์กับไฟของพระเจ้ามากขึ้น พระเจ้าจะทรงใช้เราในพระราชกิจของพระองค์มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ไฟนรกหรือไฟของศัตรู เป็นไฟที่ไม่มีควัน ที่พูดไว้ใน มธ.18: 9 ก็จะมาทำลายเราไม่ได้ เพราะเราไม่มีเชื้อ 1ปต. 4 : 3 ตามที่มันต้องการ
นักดับไฟป่า เขาจะแบ่งทีมดับไฟป่าออกเป็น 3 ทีม ทีมที่ 1 เขาจะทำหน้าที่ในการตามดับไฟ ทีมที่ 2 เขาจะทำหน้าที่ในการกันไฟ พี่น้องเข้าใจคำนี้ไหมครับ ทีมที่ 2 เค้าจะไปอยู่ข้างหน้าแนวเพลิงและจุดไฟจากตนเองเข้าไปหาแนวเพลิง เมื่อไฟป่าที่กำลังลุกไหม้บวกกับไฟที่ ทีมที่ 2 จุดเข้าไปหาเกิดอะไรขึ้นครับ ? ไฟกับไฟชนกัน ทีมที่ 3 จะทำหน้าที่ในการตัดไฟเพื่อสกัดการลุกลามของไฟป่า นี่เป็นวิธีการของมนุษย์
การที่เรายอมให้ไฟของพระเจ้าทำภารกิจแห่งการชำระนี้ให้สะอาดในชีวิตของเรา โดยที่เราไม่มีเชื้อตามที่ไฟนรกหรือไฟของศัตรูต้องการ เป็นการใช้ไฟของพระเจ้าดับไฟของศัตรู และนี่เป็นวิธีการของพระเจ้า
ฉลธ. 9:3 “วันนี้ท่านทั้งหลายจงทราบเถอะว่า ผู้ที่ไปดังเพลิงเผาผลาญข้างหน้าท่านนั้นคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านพระองค์จะทรงทำลายเขาและทรงกระทำให้เขาพ่ายแพ้ต่อหน้าท่าน ดังนั้นท่านจะได้ขับไล่เขาออกไป กระทำให้เขาพินาศโดยเร็ว ดังที่พระเยโฮวาห์ทรงสัญญาไว้กับท่านทั้งหลายแล้วนั้น”ให้ไฟในฝ่ายวิญญาณซึ่งเป็นไฟของพระเจ้าที่พระองค์ทรงประทานลงมาจากสวรรค์แตะต้องเราและชำระเราให้สะอาดและบริสุทธิ์
ประการที่ 4 เพื่อให้เราจุดไฟกองอื่นๆ
อสย. 24:15 “เพราะฉะนั้นจงถวายพระสิริของพระเจ้าในไฟ ในแผ่นดินชายทะเล ถวายแด่พระนามแห่งพระเยฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล”เราสามารถที่จะใช้ไฟฝ่ายธรรมชาติ จากเทียนเล่ม 1 ต่อไปยังเทียนอีกเล่ม 1 หรือต่อไปยังเทียนอีกหลายๆ เล่มได้ เราสามารถที่จะใช้ไฟฝ่ายธรรมชาติจากไฟกองหนึ่ง ไปสู่ไฟอีกหลายๆกองได้ และไฟเหล่านี้เองที่ดึงดูดคน ซึ่งจะเห็นได้จากการที่มีฝูงชนออกมาเสมอ เมื่อมีบางอย่างลุกเป็นไฟขึ้นมา เช่นเดียวกันกับไฟในฝ่ายวิญญาณ ถ้าเรามีประสบการณ์กับไฟของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งการอัศจรรย์ การหายโรค ชีวิตใหม่ของเราในพระเยซู ความกระตือรือล้นในการมาคริสตจักร ความกระตือรือล้นในการแบ่งปันข่าวประเสริฐกับผู้อื่น และอื่นๆ อีกมากมาย
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นไฟฝ่ายวิญญาณ จากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง
สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นไฟฝ่ายวิญญาณจากชีวิต 1 ไปสู่อีกหลายๆ ชีวิตและไปสู่คนรอบข้าง
แน่นอนไฟฝ่ายธรรมชาติย่อมมีการริบหรี่และดับลง แต่ถ้าใส่เชื้อเพลิงลงไป เปลวไฟก็ยังลุกโชติช่วงอยู่อย่างต่อเนื่อง
ไฟในฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าไม่เคยดับ ที่มันดับก็ คือ ไฟฝ่ายวิญญาณในชีวิตของเรา แต่ถ้าเราใส่เชื้อเพลิงฝ่ายวิญญาณ โดยการนมัสการ อธิษฐาน ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ ไม่แยกตัวออกจากพี่น้องในคริสตจักร ไฟของพระเจ้าก็ยังลุกโชติช่วงอยู่อย่างต่อเนื่องในชีวิตของพี่น้องเช่นกัน
ไฟฝ่ายธรรมชาติเมื่อเราเทน้ำลงไปในกองไฟ ไฟนั้นก็ถูกดับลง
คริสตเตียนที่ ขาดการนมัสการ ขาดการอธิษฐาน ขาดการใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า แยกตัวออกจากพี่/น้องในคริสตจักร ก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เรากำลังเทน้ำลงไปในกองไฟฝ่ายวิญญาณในชีวิตของเรา ซึ่งนั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า
เมื่อพระเจ้าทรงประทานไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาจากสวรรค์ พระองค์ปรารถนาให้ไฟของพระเจ้านี้ ทรงอยู่กับเราตลอดไป
ลวต.6 :3 “ ต้องรักษาให้ไฟติดอยู่บนแท่นเรื่อยไป อย่าให้ดับเป็นอันขาด”
น้ำพระทัยของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ
พระเจ้าต้องการให้ไฟของพระเจ้าในชีวิตของเรา ลุกโชติช่วงอยู่เสมอ
พระเจ้าต้องการให้ไฟของพระเจ้าในชีวิตของเรา ลุกไหม้เพื่อพระราชกิจของพระองค์
ดังนั้นพี่น้องต้องรักษาไฟของพระเจ้าที่อยู่ในชีวิตของเรา ด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่
สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้คือ
1. เพื่อแสดงให้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
2. เพื่อทำให้งานรับใช้ของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจ
3. เพื่อชำระเราทั้งหลายให้สะอาดและบริสุทธิ์
4. เพื่อให้เราจุดไฟกองอื่นๆ