ฟิลิปอัครทูตช่างถามและชอบแสวงหา

คำเทศนาเรื่อง

ฟิลิปอัครทูตช่างถามและชอบแสวงหา

        

ในเช้าวันนี้เราจะมาศึกษาชีวิตอัครสาวก ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกท่านหนึ่งด้วยกัน เป็นท่านที่เท่าไหร่แล้วพี่ - น้องจำได้ไหมครับ ? ท่านที่ 4 ซึ่งจะเป็นชีวิตของอัครสาวกที่มีชื่อว่า “ ฟิลิป ” โดยจะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้า จากพระธรรมยอห์นในหลายๆ บท หลายตอนๆ ด้วยกัน และเหตุที่ผมจะต้องเชิญพระวจนะคำของพระเจ้า จากพระธรรมยอห์นในหลายๆ บทในหลายๆ ตอนด้วยกันนั้นเป็นเพราะว่า

ยอห์นเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นจริงๆ พี่ - น้องที่รักครับ ที่ได้มีการบันทึกเรื่องราวของเขาเอาไว้ ซึ่งนั่นหมายความว่า ในหนังสือพระกิตติคุณของพระเจ้าในอีก 3 เล่มนั้นไม่ได้มีการบันทึกเรื่องราวของเขาเอาไว้เลย

ดังนั้นในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรม ยอห์น. 1 : 45 -49 , 6 : 5 - 8 , 12 : 20 : 14 : 8 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่หนังสือยอห์นในบทและข้อต่างๆ และอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าด้วยเสียงที่ดัง เชิญครับ และผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ ฟิลิปอัครทูตช่างถามและชอบแสวงหา ” ให้เราด้วยใจกันอธิษฐาน

พี่ - น้องที่รักครับ อดีตประธานาธิบดี ของประเทศสหรัฐฯ ท่านหนึ่ง คือ ท่านอับราฮัม ลินคอน ท่านได้เคยกล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า “พระเจ้าคงรักคนธรรมดามากมายจริงๆ เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาเอาไว้อย่างมากมายในโลกนี้” พี่ - น้องว่าจริงไหมครับ

จริงหรือไม่จริงนั้นผมไม่ทราบ แต่ที่ผมทราบก็คือว่า ฟิลิปซึ่งเป็นบุคคลที่เรากำลังจะศึกษาและเรียนรู้ไปด้วยกันในเช้าวันนี้นั้น พระคัมภีร์ก็ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เขาเป็นเพียงแค่บุคคลธรรมดาๆ สามัญคนหนึ่งเท่านั้นเองที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทรงโปรดที่จะเรียกและเลือกที่จะใช้เขา ให้เขานั้นมีส่วนในการทำพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินของพระองค์ ผมและพี่ - น้องที่นั่งอยู่ที่นี่ทุกๆ คนก็ล้วนแต่เป็นคนธรรมดาๆ สามัญคนหนึ่งเหมือนกับฟิลิปด้วยเช่นกัน

ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อพระเจ้าสามารถที่จะใช้คนธรรมดาๆ สามัญคนหนึ่งอย่างฟิลิปในพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราก็สามารถที่จะเรียกและเลือกใช้คนธรรมดาๆ สามัญอย่างพี่ - น้องและผมซึ่งสวย รูปหล่อและหน้าตีได้ด้วยเช่นกัน อาเมน สำคัญตรงที่ว่าพี่ - น้องจะยอมให้พระเจ้าใช้หรือไม่เท่านั้นเอง

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 อยู่ในข้อที่ 45 - 49 ให้ที่ประชุมอ่านร่วมกันอีกครั้งหนึ่งอย่างช้าๆ ด้วยเสียงดัง

ประการที่ 1 เราพบอัครทูตที่กำลังแสวงหาพระมาซีฮา และก่อนที่ผมจะแบ่งปันต่อไปผมขออนุญาตที่จะหยุดเอาไว้ตรงนี้สักครู่หนึ่ง เพื่อที่จะให้พี่ - น้องได้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันก่อนว่า ทุกๆ ศาสนาในโลกใบนี้นั้นมักจะมีการพูดถึงหรือกล่าวถึง พระอีกผู้หนึ่งที่จะเสด็จมาในอนาคต ซึ่งนั่นหมายความว่า วัฒนธรรมของแต่ละศาสนานั้นต่างได้ทิ้งร่องรอยอะไรบางอย่างเอาไว้ เพื่อให้มนุษย์นั้นได้คลำหาพระเจ้าของตน ถึงแม้ว่าวัฒนธรรมต่างๆ ของศาสนานั้นๆ จะคลาดเคลื่อนหรือจะห่างไกลไปจากพระคัมภีร์แค่ไหนก็ตาม แต่ก็มักที่จะมีการทิ้งร่องรอยนี้เอาไว้เสมอ พี่ - น้องว่าจริงหรือไม่จริง ?

Ex. เช่น ทางศาสนาพุทธก็มักที่จะมีการพูดถึงหรือกล่าวถึง พระศรีอริยเมตไตรว่าจะเป็นผู้ที่เสด็จมาในอนาคต ทางศาสนาอิสลามก็มักที่จะมีการพูดถึงหรือกล่าวถึงท่านนบีมูฮัมมัด ว่าจะเป็นพระอีกผู้หนึ่งที่จะเป็นผู้เสด็จมาในอนาคต ทางศาสนยิวก็มักที่จะมีการพูดถึงหรือกล่าวถึงพระมาซีฮาว่าจะเป็นผู้เสด็จมาในอนาคต เป็นต้น

กลับมาที่ฟิลิป พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนในยอห์น. 1 ข้อที่ 45 ว่า อัครทูตฟิลิปเขานั้นมีใจที่จะแสวงหาพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา สาเหตุที่ฟิลิปเขามีท่าทีในการแสวงหาพระเจ้าอย่างนั้น 1 ) เป็นเพราะว่าฟิลิปเขามีความรู้ในพระคัมภีร์เดิม 2 ) เป็นเพราะว่าฟิลิปเขามีความรู้ในเรื่องของพระมาซีฮา

ดังนั้นฟิลิปเขาต้องการที่จะพิสูจน์ว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นเป็นพระมาซีฮาตามที่ได้มีการพยากรณ์เอาไว้ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนยิวทุกคนต่างรอคอยหรือไม่ ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้านั้นทรงรักเรา พระองค์จึงได้ทิ้งร่องรอยของพระองค์เอาไว้ในวัฒนธรรมของชาวยิว เพื่อให้มนุษย์นั้นได้คลำหาไปถึงพระองค์ได้

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่สิ่งที่แปลกอะไรเลยพี่น้องที่รัก     ที่ฟิลิปจะพูดกับนาธานาเอล

เพื่อนรักของตนอย่างหนักแน่นมั่นคงและด้วยความตื่นเต้นว่าในข้อที่ 45 ว่า นาธานาเอลเพื่อนรัก “ ฉันได้พบพระมาซีฮา คือ เยซูชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ ” แล้ว

            นาธานาเอลถามฟิลิปในข้อที่ 46 ว่า “ สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ ”ฟิลิปตอบเขาว่า“ ให้มาดู ”และการที่นาธานาเอลได้ตามฟิลิปออกมาเพื่อที่จะดูนั้นทำให้เราทราบว่า นาธานาเอล เขาก็เป็นชาวยิวคนหนึ่งที่มีจิตใจในการที่จะแสวงหาพระมาซีฮาอยู่ด้วยเช่นกัน

ผมอยากให้ที่ประชุมได้อ่านในข้อที่ 47 - 49 พร้อมๆกันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

จากพระคำของพระเจ้า ที่เราได้อ่านร่วมกันพี่ - น้องพบอะไรไหมครับ ? ถ้าไม่พบไม่เป็นไร แต่สิ่งที่ผมอยากจะสื่อกับพี่ - น้องก็คือว่า มีคริสเตียนหลายคนที่มักจะพูดในทำนองที่ว่า เขานั้นได้มารู้จักกับพระเยซู หรือ เขานั้นได้มาพบกับพระเยซู ซึ่งโดยส่วนตัวของผมนั้น ผมคิดว่านั่นเป็นคำพูดที่ไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่นัก

คำถามคือว่าเพราะอะไร ? คำตอบก็คือ เพราะพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันนั้นทำให้เราทราบว่าใครพบใครครับ ? พระเยซูทรงพบฟิลิปก่อน พระเยซูทรงพบนาธานาเอลก่อน ซึ่งนั่นหมายความว่า มนุษย์อย่างเรานั้นไม่มีสิทธิเลยพี่ - น้องที่รักที่จะพบกับพระองค์ได้นอกเสียจากการที่เรานั้นจะแสวงหาพระองค์ อาเมน

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า ก่อนที่ผมจะเป็นแฟนกับ อ. ดาร์ นั้นผมได้ชำเลืองมองดู อ. ดาร์   มาก่อนและบางทีผมก็พบว่า อ. ดาร์  ก็ชำเลืองมองดูผมอยู่ด้วยเช่นกันซึ่งในข้อที่ 47 ทำให้เราทราบว่า พระเยซูก็ทรงกระทำอย่างนั้นกับนาธานาเอลด้วยเช่นกัน พระคำของพระบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า “ ก่อนที่ฟิลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้นเราเห็นท่าน ” นี่เป็นพระคุณของพระเจ้า อาเมน

และพี่ - น้องกรุณาฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า เมื่อเรามาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้วนั้น ไม่มีสักวินาทีเดียวที่พี่ - น้องและผมจะไม่ได้อยู่ในพระคุณของพระเจ้า เพียงแต่ว่าพี่ - น้องนั้นจะมีความเข้าใจในพระคุณของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งกันมากน้อยแค่ไหนอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ

กลับมาที่พระคำของพระเจ้าคำถามคือว่า วันนี้พี่ - น้องและผมหรือพวกเราทุกคนต่างมีจิตใจที่จะแสวงหาพระเจ้าเหมือนกับฟิลิปคนนี้หรือไม่ ถ้าพี่ - น้องและผมต่างมีจิตใจที่จะแสวงหาพระเจ้าในทุกๆวัน เราก็จะพบกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ในทุกๆวัน แต่ถ้าพี่ - น้องมีจิตใจเพียงแค่จะมาพบกับพระองค์เพียงแค่ 2 ชม. / สัปดาห์ พี่ - น้องก็จะพบกับพระองค์เพียงแค่ 2 ชม. / สัปดาห์ ดังนั้นขอพระเจ้าเมตตาที่เราจะมีวิญญาณของฟิลิปอยู่ในชีวิตของเราตลอดเวลาเสมอ

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 อยู่ในบทที่ 6 : 5 - 8 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดัง

ประการที่ 2 เราพบอัครทูตที่ชอบคิดคำนวณ

            บุคลิกโดยส่วนตัวของฟิลิปนั้นอาจจะเป็นคนที่ชอบขบคิดเป็นคนที่ชอบใช้สมอง แต่ไม่ใช่เป็นคนที่คิดมากอะไรนะครับ เหตุการณ์ในบทนี้ผมเชื่อว่าพวกเราคงทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่าพระเยซูกำลังที่จะเลี้ยงอาหารคน 5 ,000 คน

ซึ่งถ้าพี่ - น้องสังเกตให้ดีๆ พี่ - น้องก็จะพบว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นไม่ถามสาวกคนอื่นเลยนอกจากฟิลิปเพียงคนเดียว องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงถามฟิลิปทั้งๆที่พระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้วว่าพระองค์จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ซึ่งพระคัมภีร์ก็ได้ให้เหตุผลกับเราอย่างชัดเจนแล้วว่า เป็นเพราะพระเยซูนั้นต้องการที่จะทดลองจิตใจของเขา

พระเยซูตรัสถามฟิลิปว่า “ ทำอย่างไรเราจึงจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินดี ”

ฟิลิปตรัสทูลพระองค์ว่า “ 200 เหรียญเดนาริอันก็อาจไม่พอเลี้ยงคนพวกนี้ ” ซึ่งเราจะต้องเข้าใจว่า 1 เหรียญเดนาริอันนั้นมีค่าเท่ากับอัตราค่าจ้างของคนที่ทำงาน 1 วันของคนในสมัยนั้นนะครับพี่ - น้อง

ซึ่งเราจะต้องไม่ลืมนะครับว่า ฟิลิปนั้นเขาได้เดินมากับพระเยซูในบทที่ 5 ของพระธรรมยอห์นซึ่งเขาก็ได้เห็นในสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์ได้กระทำการอัศจรรย์อะไรต่อมิอะไรมาอย่างมากมาย แต่เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วฟิลิปเขาคิดไม่ออกว่า พระเยซูจะเลี้ยงอาหารคนเหล่านี้ได้อย่างไร

ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรไปจากชนชาติอิสราเอล ที่เขาได้เห็นพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์มาเหนือชนชาติของเขาอย่างมากมาย รวมทั้งการข้ามทะเลแดงในหนังสืออพยพ 14 แต่เมื่อชนชาติอิสราเอลได้เข้าไปในถิ่นทุรกันดารในอพยพ 16 พวกเขาก็เริ่มที่จะมีคำถามหรือมีความสงสัยในพระเจ้าว่า แล้วพระเจ้าจะเลี้ยงดูเขานั้นได้อย่างไร ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกันกับฟิลิปในตอนนี้ที่เขาก็ไม่เข้าใจหรือสงสัยว่าชายที่ชื่อเยซูคนนี้จะเลี้ยงดูคน 5 ,000 คนเหล่านี้ได้อย่างไร

แน่นอนคณิตศาสตร์เชิงตรรกหรือเชิงความจริงของฟิลิปนั้นถูกต้อง นั่นก็คือ 1 + 1 เท่ากับ 2 ดังนั้นเงินจำนวน 200 เหรียญเดนาริอันมันจะไปพออะไรกับการเลี้ยงอาหารคนตั้ง 5 ,000 คน แต่คณิตศาสตร์ของพระเยซูนั้นไม่ใช่ 1 + 1 เท่ากับ 2

แน่นอน 1 ตัวหน้าอาจจะเป็นจำนวนที่เรามีอยู่ แต่ถ้า 1 ตัวที่ 2 นั้นคือ พระเจ้า คือ องค์พระเยซูคริสต์ คือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า มันอาจจะกลายเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสนหรือเป็นล้านหรือหลายล้านๆ ก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะคิดหรือเวลาที่เราจะคำนวณอะไรก็ตามแต่ ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า พระองค์ก็ทรงอยู่ใกล้ๆ เราด้วยเช่นกัน อาเมน

            ดังเช่นเรื่องเล่าซึ่งเป็นเรื่องจริงเรื่องนี้ เนื้อความมีอยู่ว่าพระเจ้าทรงเรียกให้แม่ชีเทเรซ่านั้นออกไปรับใช้กับคนยาก คนจนในสลัมแห่งหนึ่งของประเทศอินเดีย ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่นักของพระศาสนจักรคาทอลิค ซึ่งเป็นเหตุทำให้แม่ชีเทเรซ่าจำเป็นจะต้องเลือกฟังการทรงเรียกนั้น เธอจึงได้ขออนุญาตพระศาสนจักรคาทอลิค ออกไปทำพันธกิจที่พระเจ้าทรงเรียกให้เธอทำ โดยไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากพระศาสนจักรคาทอลิคในเวลานั้น

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า แม่ชีเทเรซ่านั้นเริ่มต้นในการทำพันธกิจของพระเจ้าด้วยเงินเพียงจำนวนกี่เหรียญทราบไหมครับ ? เพียงแค่ 3 เหรียญเท่านั้นเอง ซึ่งเงินเพียงแค่ 3 เหรียญนั้นมันทำอะไรไม่ได้หรอกครับพี่ - น้องที่รักในพระราชกิจของพระเจ้า แต่ประการที่สำคัญก็คือว่า เธอได้มอบเงินจำนวน 3 เหรียญนั้นให้กับพระเจ้า เพราะเธอรู้ว่าพระเจ้าทรงทำได้ทุกอย่าง

            สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องก็คือว่า เวลาพระเจ้าจะทรงลองใจพี่ - น้องและผมหรือต้องการที่จะลองใจใครก็ตามแต่ ขอให้พี่ - น้องได้รู้รู้เถิดว่าพระองค์นั้นทรงมีคำตอบล่วงหน้าเอาไว้แล้ว อาเมน

พี่ - น้องที่รักครับ แม้ว่าแม่ชีเทเราซ่าจะเป็นแม่ชีที่จนๆ คนหนึ่ง แต่เธอไม่ได้ยากจนในฝ่ายจิตวิญญาณ คนที่ยากจนในฝ่ายจิตวิญญาณ คือ 1. คนที่ขาดความเชื่อ 2. คนที่ไม่มีความเชื่อว่าพระเจ้าจะทำได้

            คำถามคือว่าและคนที่ยากจนในฝ่ายโลกคืออะไร คนที่ยากจนในฝ่ายโลกไม่ใช่คนที่ไม่มีสตางค์ การที่เราไม่มีสตางค์นั่นเป็นกระบวนการสุดท้ายของความยากจนในฝ่ายโลก แต่จุดเริ่มต้นของคนที่ยากจนในฝ่ายโลกคือ คนที่ไม่แสวงหาโอกาส คือคนที่คิดไม่ได้คิดไม่เป็น ดังนั้นขอพระเจ้าเมตตาพี่ - น้องและผม ที่เราจะเป็นคนที่คิดได้และคิดเป็นทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณ

            จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 อยู่ในยน. 12 : 20 - 23 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดัง

ประการที่ 3 เราพบอัครทูตที่ชอบชักชวนคนมาหาพระเยซู

            ในเบื้องต้นพี่ - น้องทราบแล้วนะครับว่า ฟิลิปสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนนี้นั้นเป็นคนอย่างไร ซึ่งสังคมของชาวยิวในเวลานั้นรวมทั้งคนต่างชาติที่ไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าด้วยนั้น ต่างรู้จักฟิลิปกันเป็นอย่างดีในฐานะที่เขา 1. เป็นคนที่ชอบแสวงหาความจริงในศาสนา 2. เป็นคนที่ชอบแสวงหาพระเจ้า 3. เป็นคนที่ชอบในการที่จะขบและคิดคำนึงถึงการกระทำต่างๆ เพราะฉะนั้นเมื่อคนที่เขาอยากจะรู้จักกับพระเจ้าเขาจะคิดถึงใครครับ ? เขาก็จะต้องคิดถึงฟิลิปอย่างแน่นอน คงจะไปหาสาวกคนอื่นไม่ได้อย่างแน่นอน

ซึ่งตรงกันข้ามกับคนในยุคนี้หรือคนค.ศ.นี้ ที่ชอบทำไมครับ ? แสวงหา 1. ทรัพย์สินเงินทอง 2. การกินการดื่ม การเที่ยวการเล่น การเสริมการเติมและการแต่ง ซึ่ง ศจ.ดร. นันทชัย มีชูธน ท่านได้ให้ข้อสังเกตเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “ ถ้าเราสังเกตให้ดีๆ เราก็จะพบว่าถ้าสังคมไหนหรือวัฒนธรรมใดสนใจวัตถุมากสังคมนั้นหรือวัฒนธรรมนั้นจะไม่ค่อยแสวงหาในเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ ” อันนี้ก็เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจ

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก พระคำของพระเจ้าในยน. 12 : 20 - 23 จึงได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ในหมู่คนทั้งหลายที่ขึ้นไปนมัสการในงานเทศกาลนั้น มีพวกกรีกบ้าง   พวกกรีกนั้นจึงไปหาฟิลิป ซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่าท่านเจ้าข้าพวกข้าพเจ้าจะใคร่เห็นพระเยซู ฟิลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟิลิปจึงไปทูลพระเยซู และพระเยซูตรัสตอบเขาว่า ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะประสบเกียรติกิจ

ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อฟิลิปเขาได้พบกับพระมาซีฮาหรือองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว ฟิลิปเขาได้เปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนที่ชอบนำคนมาหาพระเยซู ดังนั้นใครก็ตามที่มาหาฟิลิปเพื่อที่อยากจะรู้จักกับพระมาซีฮา รับรองได้เลยว่าฟิลิปเขาจะพูดว่าอย่างไรครับ ฟิลิปเขาก็จะพูดกับคนๆนั้น เหมือนกับที่ฟิลิปพูดกับนาธานาเอลว่า “ มาซิ ”“ มาดูซิ ”“ ฉันจะพาไปเอง ” และนี่คือการเป็นพยานอย่างเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติมากที่สุด

ซึ่งคริสตจักรของพระเจ้า ต้องการที่จะให้พี่ - น้องนั้นได้มีโอกาสประกาศกับคนในลักษณะที่เป็นแบบธรรมชาติ หรือเป็นพยานกับคนในลักษณะแบบตามสายสัมพันธ์ หรือแบบ “ ออยคอส ” มากกว่าที่เราจะนำคนมาหาพระองค์ในลักษณะแบบแปลกๆ เหมือนกับบางคริสตจักรในบางที่ บางแห่ง ที่กำลังทำกันอยู่ในเวลานี้ เช่น เชื่อพระเยซูแล้วจะรวย เช่น เชื่อพระเยซูแล้วจะหายโรค เช่น เชื่อพระเยซูแล้วจะไม่เจ็บไม่จนแถมจะมีความเจริญโชติช่วงชัชวาล ผมมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรานั้นไม่ต้องการที่จะให้เรานำคนมาหาพระองค์ในลักษณะแบบนี้

ผมอธิษฐานขอให้จิตวิญญาณของฟิลิป ในการที่เขาชอบนำคนมาหาพระเยซูได้แบบเป็นธรรมชาตินั้นดำรงอยู่ในฝ่ายจิตวิญญาณของคริสตจักรฯ แห่งนี้ และดำรงอยู่กับพี่ - น้องในคริสตจักรฯ แห่งนี้ด้วยเช่นกัน

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 4 ซึ่งเป็นประการสุดท้าย อยู่ใน ยน. 14 : 8 ให้ที่ประชุมอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดัง เชิญครับ

ประการที่ 4 เราพบอัครทูตที่ชอบถาม

            พี่ - น้องที่รักครับ ความอยากรู้ของมนุษย์เรานั้นมี 3 ประเภท ประเภทแรกนั้นเป็นความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติ เช่น น้องปลื้มอยากรู้ว่าอะไรมันอยู่ในถุงพอเวลาคุณแม่ของเขากลับมาจากตลาด น้องปลื้มอยากรู้ว่าคุณพ่อจุดอะไรที่มันเป็นขดกลมๆเผลอแปลบเดียวก็เลยเอามาจับมือก็เลยพอง น้องปลื้มอยากรู้ว่าผู้ใหญ่เขาต้องใส่ผงสีแดงๆ อะไรลงไปในชามก๋วยเตี๋ยว เผลอแปลบเดียวเลยตักพริกป่นเข้าไปกินสักหนึ่งช้อนแกก็เลยเผ็ดไปสัก 2 - 3 ชม. อันนี้เป็นความอยากรู้ตามธรรมชาติ

            ความอยากรู้ของมนุษย์ประเภทที่ 2 คือ ความอยากรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ความอยากรู้ของมนุษย์ประเภทนี้ต้องมีการค้นคว้าหาอ่าน เกี่ยวกับความจริงทางวิทยาศาสตร์ ต้องมีการทดสอบ ทดลองหรือต้องมีการพิสูจน์ เป็นต้น

            ความอยากรู้ของมนุษย์ประเภทที่ 3 คือความอยากรู้จากชีวิตจริง ซึ่งจะต้องค้นหาความจริงของชีวิต ยอห์น 14 : 8 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“ ฟิลิปได้ทูลถามพระเยซูว่าทางที่จะไปสู่พระบิดาได้นั้นเป็นอย่างไร ”คำถามนี้ทำให้เราทราบว่า ฟิลิปเขาเป็นคนที่แสวงหาความรู้เช่นนี้จริงๆ และโดยคำถามเดียวกันนี้นี่เองพี่ - น้องที่รัก ก็ทำให้เราพอที่จะทราบถึงลักษณะนิสัยของฟิลิปอีกประการหนึ่งด้วยว่า เขาเป็นคนกล้าหรือเป็นคนไม่กลัวที่จะถาม

            ตอนที่ผมเป็นคริสเตียนใหม่ได้ยังไม่ถึงหนึ่งปี มีคริสเตียนเก่าหลายคนชอบพูดกับผมว่า“ เชื่ออย่างเดียวอย่าสงสัย ” พี่ - น้องคิดว่านี่เป็นคำพูดที่ถูกต้องไหมครับ ?

ในฐานะที่ผมเป็นผู้เชื่อใหม่ อายุในการเชื่อพระเจ้ายังไม่ถึงหนึ่งปีแล้วคุณจะให้ผมเชื่ออย่างเดียวอย่าสงสัยนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่า“ เชื่ออย่างเดียวอย่าสงสัยโดยไม่ต้องถาม ”ควรจะใช้กับใครครับพี่ - น้อง ?

ให้เรามาดูพระคำของพระเจ้าด้วยกันในหนังสือ ยน.14 : 8 พระคำของพระเจ้าตรัสว่าอย่างไรครับ ? ดังนั้นคำว่า “ เชื่ออย่างเดียว ” ควรจะใช้กับผู้เชื่อเก่ามากกว่าผู้เชื่อใหม่ คำถามคือว่าเพราะอะไร ?

คำตอบอย่างง่ายๆ ก็คือว่า เพราะโดยธรรมชาติของผู้เชื่อใหม่ทุกคนนั้นเขาจะต้องมีคำถาม เขาจะต้องมีข้อสงสัยด้วยกันทุกคนพี่ - น้องว่าจริงหรือไม่จริง ถามว่าคริสเตียนบางคนที่รับเชื่อพระเยซูโดยไม่มีคำถามเลยมีไหม ? คำตอบก็คือก็น่าจะมีอยู่แต่คริสเตียนที่รับเชื่อและมีคำถามก็น่าจะมีมากกว่า เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะเขาต้องการหลักฐานหรือต้องการที่จะมีประสบการณ์ที่แน่ชัดเสียก่อน เพื่อที่จะยืนยันในสิ่งที่เขาจะต้องเชื่ออย่างหมดหัวใจ อย่างคำพยานที่เราได้ฟังด้วยกันเมื่อเช้านี้

ซึ่งตรงกันข้ามกับในกรณีของฟิลิปอย่างสิ้นเชิง เพราะอะไรครับ ? เพราะฟิลิปเขาถามองค์พระเยซูคริสต์เจ้าตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ยกเว้น 12 ชม. สุดท้ายก่อนที่พระเยซูจะถูกจับกุมไปที่กางเขนเท่านั้นแหละ ที่ฟิลิปไม่ได้ถาม นอกนั้นถามตลอด

จนกระทั่งพระเยซูต้องถามฟิลิปกับไปบ้างว่า “ ฟิลิปเราอยู่กับเจ้ามาตั้งนานแล้ว และเจ้าก็ได้เห็นการอัศจรรย์ที่เราทำอะไรต่อมิอะไรตั้งเยอะแยะมากมาย แต่เจ้ายังจะต้องความกระจ่างอะไรอีกเหรอ ” ซึ่งคริสเตียนเก่าหลายต่อหลายคน ซึ่งบ้างก็บอกว่าตัวเองนั้นเชื่อพระเจ้ามาเท่านั้นปี เท่านี้ปี แต่เขากับไม่ได้มีท่าทีที่แตกต่างอะไรไปจากกับฟิลิปในตอนนี้เลย

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า มีคริสเตียนเก่าหลายต่อหลายคน ที่เขาได้เห็นถึงการอวยพระพรของพระเจ้าในชีวิตของเขา และได้เห็นถึงในสิ่งที่พระเยซูกระทำผ่านชีวิตของเขาและผู้อื่นๆ แต่เขากับอธิษฐานกับพระเจ้าว่าอย่างไรพี่ - น้องทราบไหมครับ ? เขาอธิษฐานว่า“ ถ้าพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานของเขาในเรื่องนี้ นั่นเท่ากับว่าไม่มีพระเจ้าจริง ” เป็นเหตุทำให้ผู้เชื่อเก่าหลายต่อหลายคนเดินออกจากทางของพระเจ้า ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย

อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลา 3 - 3.5 ปีที่ผ่านมา ที่ฟิลิปได้ติดตามองค์พระเยซูคริสต์นั้น แม้ว่าฟิลิปคนนี้เขาจะมีคำถาม ที่จะต้องถามพระเยซูมากสักเท่าไหร่ก็ตามแต่แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ก็ไม่เคยที่จะตำหนิในสิ่งที่เขาถามพระองค์เลยสักครั้ง สิ่งนี้ได้สะท้อนให้เราเห็นถึงอะไร ? สิ่งนี้ได้สะท้อนให้เราเห็นถึงความรักของพระบิดาที่มีต่อบุตร ซึ่งอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าน้องปลื้มก็คงจะต้องถามผมว่า พ่อนั่นอะไรอ่ะ นั่นอะไรอ่ะและนั่นอะไรอ่ะ ซึ่งพ่อแม่ในฝ่ายโลกหลายต่อหลายคนพอถูกถามมากๆ หน่อย ก็จะตอบว่าอย่างไรครับ ? มึงจะถามหาพ่อหาแม่มึงเหรอ

พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า ไม่ว่าลูกคุณจะถามคุณสักกี่พันครั้งก็ตาม คุณมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ ตอบ และคุณไม่มีควรที่จะคำพูดอื่นใดอีกเลย คำถามคือว่าเพราะอะไร ?

คำตอบอย่างง่ายๆ ก็คือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงตั้งต้นกระทำการให้เราได้ดูเอาไว้เป็นแบบอย่างเมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในฐานะพ่อยังไม่ตอบคำถามของฟิลิป

ในฐานะลูกด้วยคำพูดผรุสวาท แล้วพี่ - น้องและผมเป็นใครเล่าที่จะตอบคำผรุสวาทอย่างนั้นออกมา สิ่งที่เราจะต้องเข้าใจประการหนึ่งนั่นก็คือการที่พระเยซูตอบฟิลิปในยน. 14 : 9 นั้นก็ไม่ได้หมายความว่า พระองค์ขี้เกียจที่จะตอบคำถามแล้ว แต่นั่นเป็นเพราะว่าพระองค์กำลังจะไม่อยู่กับเขาแล้ว พระองค์จึงตรัสคำนี้ออกมา

สิ่งนี้สะท้อนให้เราได้เห็นอะไรอีก ? สิ่งนี้ได้สะท้อนให้เราเห็นว่า คริสเตียนเก่าหรือผู้นำในคริสตจักรนั้นจะต้องมีความพร้อม ในการที่จะต้องตอบคำถามให้กับผู้เชื่อใหม่หรือให้กับสมาชิกในคริสตจักรได้ฟังอย่างจุใจ ซึ่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ได้ตอบในคำถามต่างๆ ของฟิลิปอย่างจุใจด้วยเช่นกัน

ดังนั้นถ้าเราไปต่อต้านคำถามของผู้เชื่อใหม่หรือไปต่อต้านคำถามของสมาชิกในคริสตจักรบางคนที่ต้องการที่จะถาม นั่นก็อาจจะหมายความว่า เราไม่รู้เรื่องนั้นอย่างแท้จริง ดังนั้นคริสเตียนเก่าหรือผู้นำในคริสตจักรควรที่จะเปิดโอกาสให้ผู้เชื่อใหม่ถามหรือเรียนถามเราได้ โดยเฉพาะคำถามที่ 1. จริงใจ 2. นำไปสู่ความเข้าใจที่ตรงกัน อันนี้เป็นคำถามที่เรายิ่งจะต้องตอบ

ว่ากันว่าระบบการศึกษาของโลกสมัยใหม่โดยเฉพาะในต่างประเทศนั้น เขาหนุนใจให้เด็กค้นหาคำถามที่ดี มากกว่าค้นหาคำตอบที่ดี ซึ่งนั่นหมายความว่า การตั้งคำถามที่ดีอาจรำเราไปสู่ความรู้ต่างๆ อีกมากมาย

ซึ่งมันตรงกันข้ามกับระบบการศึกษาในบ้านเราอย่างสิ้นเชิงที่ทำไมครับพี่ - น้อง พอให้ถามมักจะไม่ค่อยมีคนถาม ซึ่งแปลว่า คุณนั้นเข้าใจ แต่ผลสอบออกมาเป็นอย่างไร ผลสอบออกมาไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ คำถามคือว่า แล้วมันเข้าใจกันอย่างไร ? ผลการสอบถึงได้ออกมาเป็นอย่างนี้

แล้วพี่ - น้องทราบไหมครับว่า แล้วไอ้นักเรียนพวกนี้พอมาเป็นคริสเตียนก็ไม่ยอมที่จะทิ้งนิสัยเดิม ทั้งๆที่พระคำของพระเจ้าก็สอนเราว่า “ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไปดูเถิดสิ่งสารพัดกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น ” แต่พอนักเรียนพวกนี้มาเป็นคริสเตียนก็ไม่ค่อยที่จะถามสักเท่าไหร่ ซึ่งแปลว่า คุณนั้นเข้าใจในพระคำของพระเจ้า แต่ผลที่ออกมาก็คือว่าคุณเป็น

คริสเตียนที่ไม่เกิดผล คำถามคือว่า แล้วคุณเข้าใจพระคำของพระเจ้านั้นอย่างไร อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมก็ไม่เข้าใจคริสเตียนพวกนี้อยู่เหมือนกัน

            ดังนั้นขอพระเจ้าเมตตาที่พี่ - น้องในคริสตจักรฯ แห่งนี้จะเป็นคนที่ช่างถามหรือไม่กลัวที่จะถาม แต่จะไม่เป็นคนช่างถามแบบฟิลิป ที่ถามในเรื่องของพระเจ้า ( ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับไม่ใช่ไม่ดี ) แต่ช่างเข้าใจอะไรยากเย็นซะเหลือเกิน ทั้งๆที่ก็ได้เห็นกับตาของตัวเอง หรือมีประสบการณ์โดยตรงกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้วก็ตามแต่ก็ไม่ Get สักทีหนึ่ง

            ผมจะจบคำเทศนาในเช้าวันนี้ด้วยคำพูดที่ว่า ไม่ว่าฟิลิปคนนี้จะถามพระเยซูด้วยคำถามที่ควรถามหรือไม่ควรถามก็ตาม หรือไม่ว่าฟิลิปคนนี้จะถามพระเยซูด้วยความถามสักกี่คำถามก็ตาม แต่ที่สำคัญคือ เราได้รับพระพรจากการถามของเขา การถามของฟิลิปทำให้เราได้รับความกระจ่างในพระเจ้ามากขึ้น เช่นในพระธรรมยน. 14 : 9 - 11 และการถามของฟิลิปในทุกครั้งทำให้เราต้องติดตามการถามของเขาในคำถามต่อไป

            สรุปพระวจนะคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้

ประการที่ 1 เราพบอัครทูตที่แสวงหาพระมาซีฮา

ประการที่ 2 เราพบอัครทูตที่ชอบคิดคำนวณ

ประการที่ 3 เราพบอัครทูตที่ชอบชักชวนคนมาหาพระเยซู

ประการที่ 4 เราพบอัครทูตที่ชอบถามคำถาม

           

Green City