พลังในความสงบ

คำเทศนาเรื่อง พลังในความสงบ

          มก.6:31-32 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า "ท่านทั้งหลายจงไปหาที่เปลี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง" เพราะว่ามีคนไปมาเป็นอันมากจนไม่มี เวลาว่างจะรับประทานอาหารได้  พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับสาวกไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพัง

          1 ปต.4:7 อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะ และจงรู้จักสงบใจเพื่อแก่การอธิษฐาน

          พี่น้องที่ฟังคำเทศนาของผมแล้วถ้าพี่น้องยังพอที่จะจดจำได้พี่น้องก็จะทราบว่า การที่มนุษย์เรานั้นต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักนั้นสาเหตุมาจากเพราะอะไร ? เพราะจากบรรพชนของเรา

          เพราะฉะนั้นตราบใดก็ตามที่มนุษย์ยังคงอยู่ในโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนต้องทำงานและทุกการทำงานของมนุษย์ที่ทำย่อมต้องมีการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า พี่น้องอย่าคิดว่าคนที่นั่งทำงานในห้อง Air เย็นๆนั้นไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านะครับ ?

          เหนื่อยในการที่จะใช้สมองคิดในเรื่องงาน เมื่อยล้าในการที่ต้องใช้มือ ใช้แขนขา คอบ่าไหล่และสายตานั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน

          พระคำของพระเจ้าใน มก.6:31 ได้ตรัสเอาไว้อย่างน่าอัศจรรย์ พระคำของพระเจ้าตรัสว่า บางคนทำงานมากจนไม่มีเวลาที่จะกินข้าวหรือกินข้าวไม่เป็นเวลา น่าอัศจรรย์มากไหมครับ ที่พระคำของพระเจ้าพูดเรื่องนี้เอาไว้ล่วงหน้ากว่า 2000 ปีแล้ว

          พระคำของพระเจ้าใน 1 ปต.4:7 ได้ตรัสเอาไว้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยเช่นกันว่า อวสานของโลกนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว ผ่านภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นจากทางธรรมชาติในแต่ละห้วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นภัยจาก อัคคีภัย , วาตภัย , อุทกภัย , ภัยจากโรคระบาดต่างๆ , ภัยจากแผ่นดินไหว คำถามคือ ภัยต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นหรือยัง ?

          แต่ที่มันเลวร้ายมากที่สุด คือ ภัยพิบัติจากภัยจากสงคราม ไม่ว่าจะเป็นภัยจากสงครามทางเศรษฐกิจหรือการค้าและหรือไม่ว่าจะเป็นภัยจากการสู้รบด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ตาม นี่เป็นภัยที่เลวร้ายที่สุด เพราะภัยพิบัตินี้มันเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์

          พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้ ได้ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่าไม่ว่าพี่น้องจะต้องสาละวนหรือวุ่นวายอยู่กับเรื่องของอาชีพการงานหรือพี่น้องจะต้องสาละวนหรือวุ่นวายอยู่กับภัยพิบัติอะไรต่อมิอะไรที่มันเกิดขึ้นก็ตาม พี่น้องจะต้องมีเวลาในการพักสงบระหว่างวันกับพระเจ้าด้วย

          การพักสงบ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า พอมีปัญหาขึ้นมาแล้วอยากจะบินหนีไปอยู่ให้มันไกลๆจะได้ไม่ต้องมีใครมายุ่งวุ่นวายอะไรกับชีวิตเรา และ การพักสงบ ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ให้เราไปปลีกวิเวกหรือการตัดขาดจากโลกภายนอกโดยที่เรานั้นไม่ต้องการที่จะรับรู้หรือรับทราบอะไรเลย

          ตย.เช่น ใครจำไฮโซปอกับคุณ Robert ในคดีของน้องแตงโม ได้บ้างไหมครับ ? พอมีปัญหาขึ้นมา เขาไม่อยากรับรู้ รับทราบในเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาจึงอยากที่จะไปบวช เขาจึงอยากจะไปนั่งภาวนา ทำศีล ทำสมาธิหรืออะไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เป็นการพักสงบระหว่างวัน

          การพักสงบ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ขออัดยาสักมวนหรือกาแฟสักแก้วเพื่อให้สมองมันแล่นสักนิดเดี๋ยวคิดได้แล้วจะลงไปลุยงานต่อให้จบ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ

          การพักสงบ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง 1) การนอนตอนกลางวันเหมือนพวกคนงานก่อสร้าง 2) ให้หาเรื่องพักตลอดเหมือนพนักงานตัดหญ้ากรมทาง อันนั้น คือ คนที่เกียจคร้าน คือ คนที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน 3) เดี๋ยวๆก็พักหรือพักมันทุกๆชั่วโมง เหมือนนักเรียนอนุบาล

          การพักสงบ ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตั้งต้นกระทำการไว้เป็นแบบอย่างให้กับเราทั้งหลายในตอนนี้คือ ในระหว่างวันที่เราทำงานให้เราหาสถานที่ เปลี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง คำนี้มีความหมายว่า

          ให้พี่น้องหาสถานที่ๆเหมาะสมเพื่อ สงบจิต สงบใจในการที่เรานั้นจะได้อธิษฐานกับพระเจ้าระหว่างวัน คำว่าสักหน่อยหนึ่ง คือ มีช่วงเวลาสั้นๆสักช่วงหนึ่ง  พลังแห่งความสงบ โดยการอธิษฐานกับพระเจ้าระหว่างวันอย่างนี้ จะทำให้พี่น้องได้รับความคิดใหม่ ได้รับสติปัญญาใหม่ ได้รับกำลังเรี่ยวแรงที่สดใหม่ เพื่อที่พี่น้องจะได้ทำในสิ่งดีในวันนั้นต่อไป

          เพราะฉะนั้นการอธิษฐานกับพระเจ้าระหว่างวัน จึงไม่ใช่เป็นการเฝ้าเดี่ยว และนี่ก็ไม่ใช่โปรแกรมของคริสตจักรที่ให้พี่น้องสมาชิกได้มารวมตัวกันอธิษฐานในค่ำคืนศุกร์อธิษฐานที่คริสตจักร

          และการที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าสามารถที่จะแนะนำเราในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเพราะ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เสด็จเข้ามาในโลกนี้โดยรับสภาพกายมนุษย์ 100% พระองค์จึงเข้าใจมนุษย์เป็นอย่างดีว่าในระหว่างวันของแต่ละวันเรานั้นต้องเจออะไรบ้าง

          สดด.55:4-5 จิตใจของข้าพระองค์ระทมอยู่ในข้าพระองค์ ความสยดสยองของมัจจุราชตกเหนือข้าพระองค์ 5 ความกลัวและความสะทกสะท้านมาเหนือข้าพระองค์ ความหวาดเสียวท่วมข้าพระองค์ 6-8 และข้าพระองค์ว่า "โอ ข้าอยากมีปีกอย่างนกพิราบจะได้บินหนีไปและอยู่สงบ เออ ข้าจะได้พเนจรไปไกล ข้าจะได้พักอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ข้าจะได้รีบไปหาที่กำบัง จากลมดุเดือดและพายุ"

          พระธรรมสดุดีเป็นหมวดที่เป็นคำกลอนหรือบทกลอนของชาวยิว ซึ่งไม่เพียงแต่งไว้ได้อย่างมีความไพเราะเท่านั้น แต่ยังมีคำสอนในเรื่องของการดำเนินชีวิตที่มีความลึกซึ้งเป็นอย่างมากด้วย

          พระคำของพระเจ้าในข้อ 4-5 สะท้อนให้เราได้เห็นถึงลักษณะชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคปัจจุบันและในอนาคตที่อยู่ในสภาวะที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย

          อยู่ในสภาวะความทุกข์ระทม อยู่ในสภาวะที่ไม่รู้จะไปต่ออย่างไงดีกับชีวิต Ex.เมื่อ 3 ปีที่แล้วการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราอยู่ในสภาวะดังที่กล่าวมาหรือไม่

          หลายคนธุรกิจยังไม่ฟื้นเลยพี่น้องคิดว่ามีไหมครับ ? คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ จึงวิ่งไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์สารพัดจริงหรือไม่จริง ? แต่คนของพระเจ้าที่จะต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆเหมือนกับคนที่ไม่เชื่อทำอย่างไรครับ ?

          พี่น้องคิดว่าสถานการณ์หนักอย่างนี้พักสงบกับพระเจ้าระหว่างวันพอไหมครับ ? พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 6-8 และข้าพระองค์ว่า "โอ ข้าอยากมีปีกอย่างนกพิราบจะได้บินหนีไปและอยู่สงบ เออ ข้าจะได้พเนจรไปไกล ข้าจะได้พักอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ข้าจะได้รีบไปหาที่กำบัง จากลมดุเดือดและพายุ"

          แม้จะมีปัญหาหนักแต่ท่าทีของเราต้องเป็นเหมือนนกพิราบ คือ ถ่อมและสุภาพ ไม่ตีโพยตีพายเป็นเหมือนนกอีแร้ง เมื่อเรามีปัญหาหนักและเรากับตีโพยตีพายเหมือนนกอีแร้ง

          คำถาม คือ อะไรจะเกิดขึ้นครับ ? ปัญหาที่มีนอกจากมันจะไม่สงบลงแล้วกับจะมีมากขึ้น

          คำว่า บินพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารในที่แดนไกล คือ ไปในสถานที่ๆสงบ ไม่มีความวุ่นวาย ชอบธรรม บริสุทธิ์

          รีบไปหาที่กำบัง กษัตริย์ดาวิด บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นที่กำบังของข้าพเจ้า ซึ่งในที่นี้ที่กำบังของเราคือใครครับ ? พระเจ้า

          ในยามที่เรามีปัญหาหนักให้เราได้ไป เฝ้าเงียบกับพระเจ้า บ้าง การไปเฝ้าเงียบบางทีเราไม่ต้องนมัสการพระเจ้าก็ได้ บางทีเราไม่ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าก็ได้ เพียงแต่ให้เราได้ฟังพระเจ้า          พูดเข้ามาในชีวิตหรือในจิตวิญญาณของเราบ้างกำลังก็เกิดขึ้นแล้วนี่คือ พลังแห่งความสงบ

          เมื่อวานนี้มีภาพยนตร์ Hollywood เรื่องหนึ่งได้กลับนำมาฉายใหม่อีกครั้งเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปี มีใครอยากจะเดาบ้างไหมครับว่าหนังเรื่องนี้มีชื่อว่าอะไร ? TITANIC

          ผู้สร้างเรือ TITANIC เคยกล่าวเอาไว้อย่างภาคภูมิใจมากว่าเรือ TITANIC นั้นเป็นเรื่องที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยมีมาและด้วยความแข็งแกร่งของเราลำนี้ ผู้ที่สร้างเรือ TITANIC เชื่อว่า เรือลำนี้จะไม่มีวันจมอย่างแน่นอน

          แต่แล้ววันหนึ่งในขณะที่เรือ TITANIC กำลังแล่นจากเมืองเซาท์แทมป์ตัน ไปยัง มหานครนิวยอร์ค ในคาบมหาสมุทรแอตแลนติก

          กัปตันเรือก็ได้รับคำเตือนมากถึง 6 ครั้งว่าให้ระวังภูเขาน้ำแข็ง แต่ด้วยการที่เขามั่นใจว่าเรือลำนี้จะไม่มีวันจม เขาจึงไม่ชะลอความเร็ว แต่เมื่อเรือได้แล่นเข้ามาใกล้ภูเขาน้ำแข็ง กัปตันก็ได้ส่องกล้องทางไกลดู กัปตันเรือมองเห็นยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่สิ่งที่กัปตันเรือมองไม่เห็นคือฐานรากของภูเขาน้ำแข็งที่ยืนสงบนิ่งอยู่

          จึงได้สั่งให้ชะลอความเร็วเรือลง แต่คำสั่งให้ชะลอความเร็วเรือลงกับไม่ได้ผล พลังแห่งความสงบนิ่งของภูเขาน้ำแข็งได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มากถึง 2 ใน 3 เพราะเรือไม่ได้ชนเข้าที่ยอดของภูเขาน้ำแข็งแต่เรือกับชนเข้ากับฐานรากของภูเขาน้ำแข็ง นี่คือ พลังแห่งความเงียบ

          ถ้าพี่น้องได้อ่านในหนังสือ ปฐก.25 – 35 พี่น้องก็จะพบเรื่องราวของยาโคบ ที่เขาได้ฉวยโอกาสโกงสิทธิ์การเป็นบุตรหัวปีไปจากพี่ชาย คือ เอซาว ด้วยความหิว เขาโกหกอิสอัคผู้เป็นบิดาว่าเขานั้นคือเอซาว จนทำให้อิสอัคนั้นต้องปลดปล่อยคำอธิษฐานอวยพรเขา ซึ่งแท้จริงแล้วคำอธิษฐานอวยพรนี้ต้องเป็นของใครครับ ?

          ปญก.27:41 ฝ่ายเอซาวเกลียดชังยาโคบ เพราะบิดาประสาทพรแก่เขา เอซาวรำพึงในใจว่า "วันไว้ทุกข์พ่อใกล้เข้ามาแล้ว วันนั้นข้าจะฆ่ายาโคบน้องชายของข้าเสีย"

           พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ทำให้เราทราบว่า เอซาว นั้นโกรธยาโคบแรงมาก คิดหมายจะเอาให้ถึงชีวิตแรงไหมแรง ? สาเหตุที่เอซาวโกรธ ยาโคบ แรงมากเพราะอิสอัคผู้เป็นบิดาได้อธิษฐานอวยพรยาโคบด้วยคำอธิษฐานที่ใหญ่มาก

          ปฐก.27:28-29 ขอพระเจ้าทรงประทานน้ำค้างจากฟ้าแก่เจ้า และประทานความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดิน ทั้งพืชและเหล้าองุ่นใหม่มากมายแก่เจ้า

29 ขอให้ชนชาติทั้งหลายรับใช้เจ้า ขอให้ประชาชาติกราบไหว้เจ้า ขอให้เป็นเจ้านายเหนือพี่น้อง และบุตรชายมารดาของเจ้ากราบไหว้เจ้า ผู้ใดแช่งสาปเจ้าก็ขอให้ผู้นั้นถูกสาป และผู้ใดอวยพรเจ้าก็ขอให้ผู้นั้น ได้รับพร"

        เมื่อมีคนจะมาเอาชีวิตพี่น้อง พี่น้องอยู่ได้ไหมครับ ? ต้องหนีไปก่อน ยาโคบได้หนีจากพี่ชายไปอยู่กับลุงลาบันนานถึง 20 ปี เมื่อยาโคบเขาอยากจะกลับมาอยู่ในอาณาบริเวณของพ่อ ซึ่งมีพี่ชายอยู่มาโดยตลอดพี่น้องคิดว่ามันง่ายไหมครับ ?

        ยาโคบเขายังไม่มั่นใจว่าเอซาว 1) ยังมีความคิดที่เอาชีวิตเขาอยู่หรือไม่ 2 ) ได้ยกโทษหรือให้อภัยเขาหรือยัง เขาจึงส่งผู้สื่อสารไปบอกกับเอซาวว่า ยาโคบจะมาพบกับท่าน เอซาวดีใจมากจึงตอบกับผู้สื่อสารกลับไปว่าเราจะไปต้อนรับยาโคบน้องชายของเราด้วยกองกำลังนับเฉพาะผู้ชาย 400 คน 

          คำถามคือว่า พี่น้องคิดว่าเมื่อยาโคบได้ยินได้ฟังคำตอบแบบนี้แล้ว ยาโคบเขาจะรู้สึกดีมากหรือรู้สึกกลัวมากขึ้นครับ ?

          ยาโคบจึงได้จัดวางคนใช้พร้อมกับทรัพย์สมบัติเอาไว้เป็นกลุ่มๆ เพื่อมอบเป็นของกำนัลให้กับเอซาว และเมื่อเอซาวมาถึงแต่ละกลุ่มก็ให้ทุกกลุ่มพูดกับเอซาวตามสคริปต์นี้

          กลุ่มที่ 1-3 เป็นกลุ่มของคนใช้ กลุ่มที่ 4 เป็นภรรยากับลูก 11 คน ส่วนตัวของยาโคบไปทำอะไร ?

        22 กลางคืนนั้นเอง ยาโคบก็ลุกขึ้น พาภรรยาทั้งสอง สาวใช้ทั้งสองและลูกสิบเอ็ดคน ข้ามที่ท่าลุยข้ามแม่น้ำยับบอก 23 ยาโคบส่งครอบครัวข้ามลำธารไป และส่งทรัพย์สมบัติทั้งหมดข้ามไปด้วย 24 ยาโคบอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว

          สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเราในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า

                    1) การเข้าเฝ้ากับพระเจ้า ในบางครั้งเราอาจไม่ต้องนมัสการอธิษฐานกับพระเจ้าก็ได้

                    2 ) เราอาจเพียงเงียบๆแต่ในใจของเรา แต่ในจิตวิญญาณของเราให้อยู่ในท่าทีว่าเรานั้นกำลังเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่

                    3 ) พระเจ้ายอมรับการเข้าเฝ้าพระเจ้าของมนุษย์ในทุกรูปแบบและในทุกวิธี นี่คือ พลังในความสงบ

          พลังในความสงบ ทำให้เกิดอะไรขึ้นครับ ? มีบุรุษผู้หนึ่งมาปล้ำกับเขาจนเวลารุ่งสาง 25 เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่าจะเอาชนะยาโคบไม่ได้ ก็ถูกต้องที่ข้อต่อตะโพกของยาโคบขณะที่ปล้ำสู้กัน ข้อต่อตะโพกของยาโคบก็เคล็ด 26 บุรุษนั้นจึงว่า "ปล่อยให้เราไปเถิดเพราะใกล้สว่างแล้ว" แต่ยาโคบตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า" 27 บุรุษผู้นั้นจึงถามยาโคบว่า "เจ้าชื่ออะไร" ยาโคบตอบว่า "ข้าพเจ้าชื่อยาโคบ" 28 บุรุษนั้นจึงว่า "เขาจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคบต่อไป แต่จะเรียกว่า อิสราเอล {แปลว่า เขาผู้ปล้ำสู้กับพระเจ้า หรือพระเจ้าทรงปล้ำสู้} เพราะเจ้าสู้กับพระเจ้าและมนุษย์ และได้ชัยชนะ"

          29 ยาโคบจึงถามบุรุษผู้นั้นว่า "ขอท่านบอกข้าพเจ้าว่าท่านชื่ออะไร" แต่บุรุษนั้นกล่าวว่า "เหตุไฉนเจ้าจึงถามชื่อเรา" แล้วก็อวยพรยาโคบที่นั่น 30 ยาโคบจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เปนีเอล {แปลว่า พระพักตร์พระเจ้า} กล่าวว่า "เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระพักตร์พระเจ้า แล้วยังมีชีวิตอยู่"

      พลังในความสงบ

          1 ) ทำให้พระเจ้าเคลื่อน

          2 ) ทำให้พระเจ้าต้องออกมาปรากฏตัวกับ ปฐก.33:4-9 แต่เอซาววิ่งออกไปต้อนรับ กอดและซบหน้าลงที่คอจุบเขา ต่างก็ร้องไห้ 5 เมื่อเอซาวเงยหน้าขึ้นแลเห็นพวกผู้หญิงกับลูกๆจึงถามว่า "คนที่อยู่กับเจ้านี้คือใคร" ยาโคบตอบว่า "คือลูกๆที่พระเจ้าโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน" 6 แล้วสาวใช้ทั้งสองคนกับลูกๆก็เข้ามาใกล้และกราบลง 7 เลอาห์กับลูกของเขาก็เข้ามาใกล้และกราบลงด้วย ที่สุดโยเซฟและราเชลก็เข้ามาใกล้และกราบลง 8 เอซาวถามว่า "ผู้คนและฝูงสัตว์เหล่านี้ทั้งหมดที่เราพบนั้นสำหรับอะไร" ยาโคบตอบว่า "เพื่อข้าพเจ้าจะได้ถูกใจใต้เท้า" 9 เอซาวพูดว่า "น้องเอ๋ย ข้ามีพออยู่แล้ว เก็บของของเจ้าไว้เองเถิด" 

          3 ) พลังในความสงบ ทำให้ยาโคบเอาชนะปัญหาได้ 4 ) พลังในความสงบ ทำให้ยาโคบเอาชนะใจพระเจ้าได้ จนพระเจ้าต้องเปลี่ยนชื่อให้จากยาโคบเป็นอิสราเอล แต่ก่อนที่เราจะเอาชนะใจพระเจ้าได้เราต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ก่อน

          ช่วงนี้ผมเองก็ใช้เวลาอยู่ในการอธิษฐานกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวมากขึ้น และในบางครั้งก็มีการอธิษฐานกับพระเจ้าระหว่างวัน รวมถึงในบางครั้งผมเองก็อยู่กับพระเจ้าแบบเงียบๆเพื่อให้พระเจ้าเคลื่อนความคิด จิตใจและจิตวิญญาณว่าจะใช้ข้าพระองค์ทำอะไร อธิษฐานเผื่อใครเป็นพิเศษและอื่นๆ

          พลังแห่งความเงียบ ทำให้ผมได้รับการอวยพรจากพระเจ้า ทำให้ผมจัดระเบียบชีวิตกับพระเจ้าอย่างถูกต้อง เป็นการกระทำคุณให้กับตัวเอง พระบารมี พระพระสิริ พระกำลังของพระเจ้ามีอยู่ในผู้ที่เข้าเฝ้าพระองค์

Green City