พลังแห่งชีวิต

คำเทศนาเรื่อง พลังแห่งชีวิต

         ฟลป.4:4-5 จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว

         เมื่อตอนที่พระเจ้าทรงสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา มนุษย์อาศัยอยู่ในโลกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่เมื่อมนุษย์คู่แรกของโลกเกิดความโลภที่อยากจะเป็นเหมือนพระเจ้า ไปเชื่อและวางใจในถ้อยคำของมาร ซาตานและเหล่าพวกสมุนของมัน โลกที่เคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังได้แปรเปลี่ยนไปเป็นโลกที่สิ้นหวัง

         อาดำ-เอวาได้สูญเสียการปกครองโลกนี้ไปให้กับ มาร ซาตาน วิญญาณ ตั้งแต่การที่เขาทั้ง 2 นั้นได้บาปโดยการไม่เชื่อฟังพระเจ้า จากวันนั้นจนถึงวันนี้นานนับหลายพันปี ซึ่งมาร ซาตาน  วิญญาณชั่ว มันปกครองโลกใบนี้ด้วยคำโกหกและหลอกลวง มันปกครองโลกนี้ด้วยการมาเพื่อลักฆ่าและทำลาย

         มันปกครองโลกนี้ด้วยความอธรรมไม่ใช่ด้วยความชอบธรรม มันปกครองโลกด้วยการให้มนุษย์ได้ทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก

         ด้วยเหตุนี้พี่น้องจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมหลายสิ่งหลายอย่างในโลกใบนี้มันจึงเกิดอะไรขึ้นเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 , เรื่องของวัคซีนปลอม , เรื่องของการขึ้นราคาหน้ากากอนามัย , การทุจริตคอรัปชั่น , การพนันออนไลน์ , การขนคนงานอพยพ , การจลาจล , ภัยสงคราม , ภัยพิบัติต่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นที่ประเทศตุรกีและประเทศซีเรีย องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่าน่าจะพบผู้เสียชีวิตประมาณ 50,000 คน

         องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบดีว่าทันทีที่มนุษย์สูญเสียการปกครองไปให้กับมาร ซาตาน วิญญาณชั่ว การดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์จากนี้ไปจะอยู่ในสภาวะแห่งความโศกเศร้าและเสียใจด้วยการกรีดร้องเพราะคนที่รักต้องจากไป

         และบางครั้งเป็นการจากไปโดยมิได้กล่าวคำอำลาหรือโดยที่ตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะช่วยอะไรใครได้เลย ก่อให้เกิดความขมขื่นใจ ท้อแท้ สิ้นหวังหรือหมดกำลังใจ หลายคนภายนอกดูดี แต่ข้างในถ้าพี่น้องได้พูดได้คุยไปแล้วไปเจอบาดแผลเข้าให้เกิดอะไรขึ้นครับ ?

         พบความทุกข์ทรมานมากมายหลายอย่าง บางคนมีบาดแผลกับพ่อ - แม่ กับพี่ - น้อง กับวงศ์วานญาติเครือ  กับคนที่เรารัก  กับเพื่อนที่ทรยศหักหลังและอื่นๆอีกเยอะแยะมากมาย ถึงแม้ภายนอกเขาจะดูงดงามแต่ข้างในเขา1) เจ็บปวดรวดร้าวทรมานยิ่งนัก  2) ไม่ได้งดงามเหมือนอย่างภายนอก

         องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบอีกทั้งทรงเข้าใจเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี และด้วยเหตุนี้เองพระองค์จึงตรัสสั่งแก่เราทั้งหลายว่า จงชื่นชมยินดีในพระเจ้าทุกเวลา

         เราชื่นชมยินดีไหมครับพี่น้อง เมื่อเราเห็นดอกไม้บานสะพรั่ง แต่นั่นก็เป็นความชื่นชมยินดีเพียงแค่ชั่วคราว แต่ความชื่นชมยินดีในพระเจ้านั้นมีอยู่ทุกเวลาและมีอยู่ในทุกสถานการณ์

         ความชื่นชมยินดีในพระเจ้าเกิดขึ้นจากภายในหรือข้างใน คือ เกิดขึ้นจากภายในความคิด เกิดขึ้นจากภายในจิตวิญญาณของเราที่เรารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นใครและพระองค์ทรงเป็นผู้ใด

         ซึ่งการที่เราจะรู้ได้ว่าพระองค์ทรงเป็นใครหรือพระองค์ทรงเป็นผู้ใดนั้น เกิดขึ้นจากการที่เรานั้นอ่านพระวจนะคำของพระเจ้า ความชื่นชมยินดีที่มาจากภายในหรือจากข้างในนั้นแม้จะไม่มีใครเห็นแต่ผู้คนจะสัมผัสมันได้ ผ่านการมีสุขภาพจิตดี ผ่านการมีสุขภาพร่างกายที่ดีของผู้เชื่อนั่นเอง

         พระคำของพระเจ้าในหนังสือฟิลิปปีเขียนขึ้นโดยท่านเปาโลในขณะที่ท่าน อ.เปาโล นั้นมีชีวิตอยู่ในคุกหรือในเรือนจำ อ.เปาโลมีความชื่นชมยินดีมาจากภายในหรือจากข้างในเพราะ

         อสย.9:6 ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช ท่านรู้ว่าองค์พระเยซูคริสต์คือ องค์สันติราช

        ยน.14:27 เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย

         โดยแท้จริงแล้วคนที่อยู่นอกคุกต่างหากที่ต้องเขียนจดหมายไปหนุนใจคนที่อยู่ในคุก แต่กลับกันจดหมายฉบับนี้ท่าน อ.เปาโล แม้ว่าจะอยู่ในคุกหรือในเรือนจำแต่ท่านสามารถที่จะเขียนจดหมายออกมาเพื่อหนุนใจให้กับคนที่อยู่นอกคุกได้มันเป็นอะไรที่น่าแปลกไหมครับ การที่ท่าน อ.เปาโล สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้เพราะท่านมีองค์สันติราชผู้ประทานสันติสุขอยู่ในชีวิตของท่าน

         พระคำของพระเจ้าได้ทรงตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า สันติสุข ที่พระเจ้าประทานให้นั้นมันแตกต่างจากที่โลกนี้ให้ คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์เขาจะมีสันติสุขได้ต่อเมื่อมี : 1.เงิน 2.วัตถุ 3.สิ่งของ 4.เกียรติ 5.ลาภยศ 6.ความสูงส่งทางชาติตระกูลและคำสรรเสริญ

         ผมได้แบ่งปันกับพี่น้องไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วนะครับว่า คริสเตียนนั้นรวยได้ มีสิ่งของได้ ประสบความสำเร็จได้และไม่บาป

         แต่ที่บาป คือ เราไม่ได้นำมันมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในแผ่นดินของพระเจ้าหรือในราชอาณาจักรของพระองค์

        ในขณะเดียวกันผมก็ได้เปิดคลิปของคุณกอบชัยให้พี่น้องได้รับชมด้วย คุณกอบชัย บอกว่าเขาคิดว่าการมีเงินมากจะทำให้เขามีความสุข แต่เขาค้นพบว่าพระเจ้าต่างหากที่ทำให้เขามีความสุข ซึ่งนั่นหมายความว่า การมีเงินมาก การมีวัตถุมาก ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ชีวิตเขานั้นมีความสุข

         ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาใครได้ชมข่าวเฮียหมู ถูกลูกชายลูกสะใภ้ร่วมมือกับพ่อตาแม่ยาย ฆ่าแม่ตัวเองและบังคับให้พ่อ คือ เฮียหมูกินยาบางชนิดเพื่อทำให้พ่อเสียสติเพื่อจะได้ไปยื่นต่อศาลในการเป็นผู้จัดการมรดกบ้างไหมครับ ?

         คำถาม คือ มีเงินแบบนี้มีสันติสุขไหมครับ ?

         1 ทมธ.6:7-8 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด

         ฮบ.13:5 ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย

         พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้ได้พูดอย่างชัดเจนว่า สันติสุข ที่พระเจ้าประทานให้กับเรานั้นไม่เหมือนที่โลกนี้ให้ คือ 1) ให้เราพอใจในสิ่งที่เรามี 2) การที่เราได้กินอิ่มนอนหลับเต็มตา ตื่นขึ้นมารับความสดชื่นในแต่ละวันก็เพียงพอแล้ว

         อ.เปาโล เขียนพระธรรมฟิลิปปีขึ้นในขณะที่ท่าน อ.เปาโล นั้นมีชีวิตอยู่ในคุกหรือในเรือนจำ ความชื่นชมยินดีที่ท่าน อ.เปาโล มีนั้นมาจากภายในหรือจากข้างใน อฟซ.2:12 จงระลึกว่าครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวังและอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า

         เพราะ อ.เปาโล รู้ว่า ท่านตระหนักว่าท่านนั้นเป็น บุตรของพระเจ้า

         อฟซ.2:17-19 และพระองค์ได้เสด็จมาประกาศสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และประกาศสันติสุขแก่คนที่อยู่ใกล้เพราะว่าพระองค์ทรงทำให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระบิดาโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า

         คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์เวลาที่เขาไม่สันติสุข ไม่มีความชื่นชมยินดีในชีวิตหรือชีวิตเต็มไปด้วยปัญหาเขาทำกันอย่างไรครับ ? เขานั่งสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน เดินจงกลม

         สิ่งต่างๆเหล่านี้คืออะไรครับ ? คือ ขบวนการที่จะทำให้มนุษย์นั้นมีจิตใจที่สงบ เมื่อจิตใจมันสงบลงมันก็ทำให้เขาคิดได้ในระหว่างที่เขาทำสิ่งต่างๆเหล่านั้น คือ นั่งสมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน เดินจงกลม เขารู้สึกว่าเขา Happy มีความสุข

         แต่พี่น้องอย่าลืมนะครับว่า การมีความสุขกับการมีสันติสุขนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นเมื่อเขาต้องกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ และความสุขนั้นได้หายไป

         คำถาม คือ 1) โอกาสที่จะทำให้เกิดความทุกข์ยากลำบากใจมีไหมครับ ? 2 ) ท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจมีไหมครับ ? คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ต้องกลับไปเข้าสู่ขบวนการนั้นใหม่อีกครั้ง

        แต่พระคำของพระเจ้าใน อฟ.2:12 ได้บอกกับเราว่า สันติสุข ที่แท้จริงคือ 1) การที่เราตระหนักว่าเราเป็นคนที่อยู่นอกพระคริสต์ คือ คนบาป 2) เราเป็นคนที่ไม่เคยอยู่ในพระสัญญาของพระเจ้ามาก่อน แต่เมื่อเราได้มาเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนสถานภาพของเราใหม่จากคนบาปกลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า

         อฟซ.12:17-19 บอกกับเราว่า สันติสุข ที่แท้จริงคือ การที่เราเป็นคนที่อยู่ในที่ไกลโพ้นโดยเฉพาะไกลโพ้นในฝ่ายวิญญาณ พี่น้องเคยเห็นคนที่ไม่มีพระเจ้าเขาไปหาพระในหลายๆวัดไหมครับ ?

         คำถาม คือ ทำไมเขาถึงต้องไปหาพระในหลายๆวัด เพราะชีวิตของเขาไม่มีความหวัง นี่คือ ภาพของคนที่เร่ร่อนในฝ่ายวิญญาณและในอดีตเราก็เคยเป็นคนนั้นด้วยเช่นกัน

         แต่เมื่อเราได้มารู้จักกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้วพระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เหตุฉะนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า

         เรากลายเป็นคนที่มีความหวัง เราเป็นคนที่มีที่พึ่ง เราไม่ใช่คนที่เร่ร่อนในฝ่ายวิญญาณอีกต่อไป เรากลายเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้า

         เพราะฉะนั้นถ้าเราได้ตระหนักแบบเดียวกันกับที่ท่านเปาโล ได้ตระหนัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเราก็ตาม เราจะมีสันติสุขได้เสมอ เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นใครและเป็นผู้ใด และรู้ว่าตัวเราเองนั้นเป็นใครและเป็นผู้ใด

         ยน.16:33 “เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว"

         พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า คริสเตียนก็เป็นเหมือนกับคนทั่วไป คนทั่วไปเป็นอย่างไรครับ ? ต้องกิน ต้องดื่ม ต้องหลับ ต้องนอน มีกินก็ทุกข์ ไม่มีกินก็ทุกข์ ต้องเจอปัญหา เจอแรงกดดัน เจอความทุกข์ที่ต้องฝ่าฝัน มีงานทำก็ทุกข์ ไม่มีงานทำก็ทุกข์และอื่นๆอีกมากมาย

         แต่สิ่งที่ผู้เชื่อแตกต่างจากคนอื่นหรือสิ่งที่เรามีแต่คนอื่นไม่มีคือ เรามีองค์สันติราชอยู่ในชีวิต เพราะฉะนั้นในความกันดารของชีวิต พระองค์ทรงเป็นโอเอซิสที่ให้ชีวิตกับเราเสมอ เพราะฉะนั้นในปัญหาที่เรามีพระองค์ช่วยเราได้

         เพราะฉะนั้นคำว่า จงชื่นชมยินดี 1) ไม่ใช่คำขอร้องนะครับ แต่เป็นคำสั่ง 2) ไม่ใช่สิ่งที่ผู้เชื่อจะเลือกว่าเราจะปฏิบัติตามหรือไม่แต่เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อจะต้องปฏิบัติ

         การที่เรามีอุปสรรคปัญหา มีความทุกข์ยากลำบาก มีการถูกบังคับเคี่ยวเข็ญเข้ามาในชีวิตแล้วเรายังมีสันติสุขได้ เรายังสงบสุขอยู่ได้ เรายังหัวเราะและยิ้มได้ คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าเขาไม่เข้าใจว่าเราได้อย่างไร

         นี่คือการสำแดงชีวิตของผู้ที่มีองค์สันติราชอยู่ในชีวิต เพราะฉะนั้นพระคำของพระเจ้าจึงไม่ได้พูดว่า จงชื่นชมยินดีเถิดแล้วจบแค่ตรงนั้น แต่พระคำของพระเจ้ายังกล่าวต่อไปอีกว่า แต่ให้ประจักษ์แก่คนทั้งปวง

         คำว่า ประจักษ์ ไม่ใช่เป็นการโอ้อวด แต่คำว่า ประจักษ์ ในที่นี้หมายถึง ให้ชีวิตของเรานั้นได้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นด้วยว่าเราผ่านสถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบากและยังมีสันติสุขนั้นมาได้อย่างไร

         พี่น้องเคยเห็นก้อนอิฐทับลงที่ใบหญ้าไหมครับ ? ทับนานเข้าใบก็เหี่ยวใบก็เหี่ยวแห้ง ดูเหมือนมันตายไปแล้วด้วย แต่ถ้าเราลองไปหยิบเอาก้อนหินออก เราก็จะพบว่าไม่กี่วันต้นหญ้าบางต้นมันพยายามจะแตกร่าง มันพยายามจะฟื้นกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่

         ระหว่างที่มันสลบไป รากของต้นหญ้ามันพยายามที่จะต่อสู้ดิ้นรนโดยพยายามเชื่อมต่อกับผู้ที่เป็นแหล่งแห่งพลังชีวิตและพืชผล นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติสอนเรา และพระคำของพระเจ้าใน

         ยน.1:4 พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์

         เมื่อต้นหญ้ากลับฟื้นคืนชีวิต ผู้คนทั้งปวงจึงได้ประจักษ์แปลบปลาบใจหรือเห็นว่ามันยังไม่ตายแต่มันเพียงแค่สลบไปเท่านั้น

         การมีอุปสรรคปัญหา การความทุกข์ยากลำบากในชีวิตของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ที่พิเศษสำหรับเราในฐานะที่เป็นผู้เชื่อคือ เรามีองค์สันติราชอยู่ในชีวิต

         อีกทั้งในระหว่างที่มีปัญหาให้เราต้องพยายามเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานชีวิต เราจึงมีความชื่นชมยินดีได้ เมื่อคนที่ไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าได้ประจักษ์หรือเห็นถึงความแตกต่าง

         พี่น้องเคยได้ยินคนพูดคำนี้ไหมครับว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนเราต้องพูดว่า เหนือฟ้ายังมีพระเจ้า คือ ในระหว่างที่เรามีปัญหาไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาอะไรก็ตามให้เราเชื่อมต่อกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นพลังงานในทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตเหนือมนุษย์ทำงานยังมีพระวิญญาณของพระเจ้าทำงาน

         ในระหว่างที่เราจะฟื้นตัว เราต้องยืนหยัด อดทน สู้ไม่ถอย รู้จักรอคอย มีสติปัญญา มีเป้าหมาย ด้วยการมีสันติสุขและมีความชื่นชมยินดีในชีวิต นี่คือ พลังในการขับเคลื่อนชีวิต นี่คือความแตกต่างของคนมีพระเจ้ากับคนไม่มีพระเจ้า

       

     

Green City