มธ.419 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา"
มธ.6:33 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้
พระคำของพระเจ้าใน มธ.4:19 บอกกับเราว่า องค์พระเยซูคริสต์ ทรงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า ให้ติดตามพระองค์
ผู้ที่ตามพระเจ้า คือ ผู้ที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิต
พระคำของพระเจ้าใน มธ.6:33 บอกกับเราว่าผู้เชื่อที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิตเขาจะไม่ให้พระเจ้านำเขาในเฉพาะบางเรื่องเท่านั้น แต่เขาจะให้พระเจ้ามาก่อนในทุกๆเรื่องของเขาเสมอ
ในเช้าวันนี้เราจะมาดูคุณลักษณะของผู้เชื่อที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิตว่าเขามีคุณลักษณะชีวิตเช่นไร ?
ประการที่ 1
ปญจ.12:13 จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง
2 ปต.1:5 เพราะเหตุนี้เอง ท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม
คุณลักษณะของผู้เชื่อที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิตในประการที่ 1 คือ ยำเกรงพระเจ้า
พี่น้องที่รักครับ กษัตริย์โซโลมอน ซึ่งท่านเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก กล่าวคือ 1) ท่านประสพความสำเร็จทางด้านวัตถุ คือ รวยที่สุดในโลก 2) ท่าน ประสบความสำเร็จทางด้านกองทัพ มีกองทัพที่เกรียงไกร 3) ท่านประสพความสำเร็จทางด้านปัญญา คือ มีสติปัญญาที่เป็นเลิศ
กษัตริย์โซโลมอน ท่านได้สรุปเอาไว้ใน ปญจ.12:13 ถึงผู้เชื่อที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิต คือ เขาจะต้องเป็นคนที่มี ความยำเกรง พระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต
พระคำของพระเจ้าใน 2 ปต.1:5 บอกกับเราว่า จงอุตสาห์ “คุณธรรม” เพิ่ม “ความเชื่อ” และ “ความรู้” เพิ่ม “คุณธรรม”
สังคมไทยทุกวันนี้ที่มันเสื่อมทรามลงเพราะอะไรครับ ? เพราะมนุษย์ไม่ยำเกรงพระเจ้า มนุษย์นำความรู้ทางโลกมาก่อนคุณธรรม คนที่ทำบ้านเมืองเสื่อมทรามลงมาทุกยุคทุกสมัย คือ คนที่มีความรู้แต่ปราศจากคุณธรรม เพราะด้วยการที่เขาไม่เชื่อในพระเจ้าเขาจึงไม่มีคุณธรรม
สิ่งที่พี่น้องจะต้องรู้และพี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า คุณธรรมของผู้เชื่อกับของผู้ไม่เชื่อนั้นแตกต่างกัน คุณธรรมของผู้เชื่อเราได้รับมาจากพระเจ้าตั้งแต่การที่พระเจ้านั้นทรงระบายลมปราณของพระองค์เข้ามาในชีวิตของมนุษย์คนแรกของโลก เพราะฉะนั้นผู้เชื่อจึงมีธรรมชาติฝ่ายวิญญาณในเรื่องคุณธรรมของพระเจ้านี้อยู่ในชีวิต
เมื่อเราได้มาเชื่อในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ธรรมชาติในฝ่ายวิญญาณในเรื่องคุณธรรมนี้มันอยู่ในเราด้วยไหมครับ ? อีกทั้งมันจะค่อยๆโตเหมือนต้นไม้ ที่ค่อยๆออกผลและกิ่งใบ อีกทั้งคุณธรรมที่ผู้เชื่อมีนั้นจะมุ่งเน้นประโยชน์ไปที่ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว
ซึ่งต่างจากคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เขาไม่มีธรรมชาติฝ่ายวิญญาณนี้อยู่ในชีวิต เพราะฉะนั้นมันจึงต้องมีการสอนเรื่องคุณธรรมนี้ สอนแล้วมนุษย์ยังทำบาปอยู่ไหมครับ ? ตอนเด็กๆมีใครในที่นี้ไม่เคยเรียนวิชาศีลธรรมบ้างมีไหมครับ ? ทุกคนได้เรียนหมด...แต่ยังทำบาปอยู่ไหม ?
แม้กระทั่ง “พระ” ที่ทำหน้าที่ในการสอนศีลธรรมก็ยังทำบาปอยู่ไหมครับ ? หลายคนจึงอยู่ในสภาพ “คนบาปในคราบนักบุญ”
คุณลักษณะของผู้เชื่อที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิตในประการที่ 2 คือ เป็นผู้ที่มีปัญญาเป็นศูนย์กลางของชีวิต
คำถามคือว่า ปัญญาที่ว่านี้ คือ ปัญญาของใครครับ ?
ปัญญาของพระเจ้า และปัญญาของพระเจ้ามีอยู่ในพระคำของพระเจ้าเท่านั้น ดังนั้น คุณลักษณะของผู้เชื่อที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต คือ เขาต้องมีปัญญาหรือมีพระคำของพระเจ้าอยู่ในชีวิต
สดด.119:24 บรรดาพระโอวาทของพระองค์เป็นความปีติยินดีของข้าพระองค์ เป็นที่ปรึกษาของข้าพระองค์
สภษ.11:14 ที่ไหนที่ไม่มีการนำ ประชาชนก็ล้มลง แต่ในที่ซึ่งมีที่ปรึกษามากย่อมมีความปลอดภัย
สภษ.24:16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก แต่คนชั่วร้ายจะถูกความลำบากยากเย็นคว่ำลง
กจ.6:3 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายจงเลือกเจ็ดคนในพวกท่าน ที่มีชื่อเสียงดีประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งเขาให้ดูแลการงานนี้
สิ่งที่พี่น้องจะต้องรู้และพี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า คริสตจักรของพระเจ้า ไม่เพียงแต่สอนเน้นเรื่องความเชื่อและคุณธรรมเท่านั้น แต่คริสตจักรของพระเจ้าต้องสอนให้ผู้เชื่อมีความรู้ และสอนให้ผู้เชื่อนั้นนั้นมีปัญญาของพระเจ้าด้วย
พี่น้องที่รักครับ พระเจ้าไม่ได้สอนเราว่า เมื่อเรามาเป็นคริสเตียนแล้ว ให้เราโยนสมองทิ้งไป แต่พระคำของเจ้ากำลังบอกกับเราว่า เมื่อเรามาเป็นคริสเตียนแล้วให้เรานั้นต้องมีเหตุ มีผล
อีกทั้งคิดจะทำอะไรจะต้องมีที่ปรึกษามากๆโดยเฉพาะปรึกษากับใครครับ ? ปรึกษากับพระเจ้าให้มากๆด้วยโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจที่แบบนี้ด้วยรวมถึงปรึกษากับพี่น้องคริสเตียนที่มีชื่อเสียงที่ดีและมีความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณด้วย
คุณลักษณะของผู้เชื่อที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิต
ในประการที่ 3 1 ทมธ.6:7-11 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น 8 แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด 9 ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวน และติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป 10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์ 11 แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีเสียจากสิ่งเหล่านี้ จงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความอดทน และความอ่อนสุภาพ
คุณลักษณะของผู้เชื่อที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิตในประการที่ 3 พระคำของพระเจ้าใช้คำว่า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ คือ หลีกหนีจากการเอาวัตถุสิ่งของๆโลกนี้เป็นตัวตั้ง , หลีกหนีจากการอยากได้ใคร่มีซึ่งทรัพย์สินสิ่งของๆโลกนี้เป็นตัวตั้ง แต่เอานิรันดรกาลหรือบำเหน็จแห่งกาลอนาคตเป็นศูนย์กลางของชีวิต
ฟังๆดูแล้วเหมือน เมื่อเรามาเป็นคริสเตียนแล้วดูเหมือนเราจะไม่มีอะไรเลยอย่างไรอย่างนั้น
สดด.34:10 เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่บรรดาผู้ที่แสวงพระเจ้าไม่ขาดของดีใดๆ
พระคำของพระเจ้าใน สดด.34:10 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ถ้าเรามีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิตของเราจริงๆ เราไม่ต้องกลัวว่าเราจะขาดแคลนสิ่งดีใดๆ พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นให้กับเรา
คุณลักษณะของผู้เชื่อที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิตในประการที่ 4 1ยน.2:15-17 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น 16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก 17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
คุณลักษณะของผู้เชื่อที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิตใน ประการที่ 4 คือ เป็นคนที่ยึดน้ำพระทัยพระเจ้าเป็นหลัก เป็นคนที่เอาพระเจ้าเป็นบทสรุปของชีวิต Ex.เช่น
พระองค์รู้สึกเช่นไร เราว่าดีแล้ว แต่พระเจ้าว่าดีด้วยหรือไม่ จะทำอะไรคิดเสมอว่า พระเจ้าจะชอบหรือไม่ ?
คำถาม คือ ทำไมเราต้องยึดน้ำพระทัยพระเจ้าเป็นหลัก
คำตอบ คือ เพราะพระองค์มองการณ์ไกล พระองค์มองตั้งแต่ปฐมจนถึงอวสาน
มนุษย์เรามองได้แค่อดีต – ปัจจุบันและอนาคต แต่พระเจ้าทรงมองได้ทั้งอดีต ปัจจุบันและมองไกลถึงนิรันดรกาล ในขณะที่มนุษย์มองได้ไม่ไกลและมองด้วยความจำกัดจริงหรือไม่จริง ?
มนุษย์หลายคนไม่ชอบอดีต เพราะอดีตมีแต่ความยากลำบาก อยากได้อนาคตที่ดีกว่าเพราะมี 4 G แต่ตอนนี้หลายคนไม่อยากได้ปัจจุบันแล้วเพราะอนาคตเรามี 5 G ที่ดีกว่า ซึ่งนั่นหมายความว่ามนุษย์พร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามกาลเวลา
แต่พระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง น้ำพระทัยของพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นผู้เชื่อคนใดก็ตามที่ยึดพระเจ้าไว้เป็นศูนย์กลางของชีวิต ไม่มีใคร ไม่มีผู้ใดหรือสถานการณ์อะไรก็ตามที่จะทำอันตรายเราได้
สรุป คุณลักษณะของผู้เชื่อที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางในชีวิต
ประการที่ 1 คือ ยำเกรงพระเจ้า
ในประการที่ 2 คือ เป็นผู้ที่มีปัญญาเป็นศูนย์กลางของชีวิต
ประการที่ 3 คือ หลีกหนีจากการเอาวัตถุสิ่งของๆโลกนี้เป็นตัวตั้ง
ประการที่ 4 คือ เป็นคนที่ยึดน้ำพระทัยพระเจ้าเป็นหลัก เป็นคนที่เอาพระเจ้าเป็นบทสรุปของชีวิต