พระเจ้าแท้ไม่กลัวคำครหา

คำเทศนาเรื่อง พระเจ้าแท้ไม่กลัวคำครหา

ยน10:31-42 (31)พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์ให้ตาย32พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการ ของพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตาย เพราะการกระทำข้อใดเล่า"33พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า "เราจะขว้างท่านมิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เพราะท่านเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า"34พระเยซูตรัสว่า "ในพระธรรมของท่านมีคำเขียนไว้มิใช่หรือว่า "เราได้กล่าวว่าท่านทั้งหลายเป็นพระ35ถ้าพระธรรมนั้นเรียกผู้ที่รับพระวจนะของพระเจ้าว่า เขาเป็นพระ (และจะฝ่าฝืนพระคัมภีร์ไม่ได้)36ท่านทั้งหลายจะกล่าวหาท่านที่พระบิดาได้ทรงตั้งไว้ และทรงใช้เข้ามาในโลกว่า "ท่านกล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า" เพราะเราได้กล่าวว่า "เราเป็นบุตรของพระเจ้า" อย่างนั้นหรือ37ถ้าเราไม่ปฏิบัติพระราชกิจของพระบิดาของเรา ก็อย่าวางใจในเราเลย38แต่ถ้าเราปฏิบัติพระราชกิจนั้น แม้ว่าท่านมิได้วางใจในเรา ก็จงวางใจเพราะพระราชกิจนั้นเถิด เพื่อท่านจะได้รู้และเข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา"39พวกเขาพยายามจะจับพระองค์อีกครั้งหนึ่ง แต่พระองค์ทรงรอดพ้นจากมือเขาไปได้40พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนอีก และไปถึงตำบลที่เมื่อก่อนนั้นยอห์นให้บัพติศมา และพระองค์ทรงพักอยู่ที่นั่น41คนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ กล่าวว่า "ยอห์นมิได้ทำหมายสำคัญใดๆเลย แต่ทุกสิ่งซึ่งยอห์นได้กล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง"42และมีคนหลายคนที่นั่นได้วางใจในพระองค์

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์ให้ตาย

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นไม่ได้เป็นนักเลงหัวไม้ ไม่ได้เป็นหัวหน้าอันธพาลแต่พระองค์ทรงเป็นก่อการดี พระองค์ทรงทำความดีเยอะแยะมากมาย แต่ถึงกระนั้นองค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ไม่วายที่จะถูกคนยิวด้วยกันเอง ซึ่งบางคนมีตำแหน่งเป็นถึงผู้นำทางศาสนาหรือเป็นถึงผู้นำทางฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งนั่นหมายความว่า เขาจะต้องเป็นคนยิวที่รักษาธรรมบัญญัติของโมเสสได้อย่างยอดเยี่ยมมากถึง เขาถึงจะได้เป็น ปุโรหิตย์ , ฟาริสี , ธรรมาจารย์ , รับบี , แต่ในเวลานี้พวกเขากับที่จะเอาหินขว้างพระเยซูให้ถึงตายเหตุเพราะมีความเชื่อที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง

พี่น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆนะครับ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่า การข่มเหงที่น่าเศร้าใจและเจ็บปวดมากที่สุดไม่ใช่เป็นเพราะคนศาสนิกอื่นนั้นมาข่มเหงเรา แต่เป็นมาจากการที่ผู้เชื่อในพระเจ้าด้วยกันเองต่างข่มเหงกันเองต่างหากอันนี้แหละคือสิ่งที่น่าเศร้าใจและเจ็บปวดมากที่สุด

26 มี.ค. 2003 ผมเดินทางไปรับใช้ที่ จ.บุรีรัมย์ เป็นครั้งแรกมีเพื่อน ศบ.ใน จ.บุรีรัมย์ คนหนึ่งได้ไปคุยกับสมาชิกที่ผมไปเป็น ศบ. อยู่ในเวลานั้นว่า

“แม่อย่าเพิ่งอะไรกับ อ.ก้อง มาก คนกรุงเทพฯอยู่ไม่นานหรอก ยิ่งไม่มีเงินเดือนด้วยคาดหัวเอาไว้เลยว่าไม่เกิน 3 เดือนเดี๋ยวก็ไป”

คำพูดเหล่านี้ถ้าเป็นคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าใช้พูดกันถือว่าเป็นเรื่องปกติ เช่น ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่างแล้วมีคนมาเสนอหน้าว่า จะไปรอดเหรอ จะไปได้สักกี่น้ำ และฯลฯ อันนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติ แต่ถ้าเป็นคริสเตียนแล้วพูดอย่างนี้ถือว่า

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนว่าให้เรา จงรักซึ่งกันและกัน นั่นหมายความว่า ไม่ใช่รักเฉพาะคนในโบสถ์ของตนเท่านั้นแต่ให้เรารักพี่น้องในพระกายของพระคริสต์และรักทุกคนด้วย

ดังนั้นถ้าเราจะเป็นห่วงเขา เราก็ควรที่จะแสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ใช่ “จะไปรอดเหรอหรือจะไปได้สักกี่น้ำ”

ในขณะเดียวกันเราผู้ซึ่งถูกกดขี่ข่มเหงใน 1.ความเชื่อ 2.การปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า เราจะต้องทำอย่างไรครับ ?

2ทมธ.3:12 แท้จริงบรรดาคนที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์จะถูกกดขี่ข่มเหง เราก็จะต้องเข้าใจว่านี่มันเป็นเรื่องปกติธรรมดา

มธ.10:24"ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครูและทาสไม่ใหญ่กว่านายของตน ประการที่สำคัญคือ คุณไม่ใช่เป็นคนแรกที่ถูกกดขี่ข่มเหงในเรื่องนี้และสิ่งที่พวกเราเจอก็ไม่หนักหนาสาหัสกว่าที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเจอ

ดังนั้นใครก็ตามที่ตั้งใจที่จะอยู่เพื่อพระเจ้า ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ประกาศเป็นพยานเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าอาณาจักรของพระองค์ ให้เราเตรียมตัวที่จะถูกกดขี่ข่มเหงล่วงหน้าเอาไว้ได้เลย

ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่า ชีวิตคริสเตียนของคุณ พันธกิจของคุณ การปรนนิติรับใช้พระเจ้าของคุณกำลังจะเกิดผล

พุทธวจนะ พูดเอาไว้ว่า “มารไม่มีบารมีไม่เกิด” แต่พระคำของพระเจ้าในตอนนี้สอนเราว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามโดยเฉพาะในทางของพระเจ้าแล้ว งานยิ่งเติบโตและเกิดผลมารซาตานมันจะยิ่งขัดขวาง

คำถามคือว่า และผู้เชื่อที่ไม่ต้องถูกกดขี่ข่มเหงเลยไม่มีไหม ?

1.ผู้เชื่อแบบครึ่งๆกลางๆ ผู้เชื่อที่ไม่อุทิศตัว ไม่ได้ถวายตัวในการติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างแท้จริง คริสตพุทธ คริสตตาม แทนที่จะติดตามตามพระเจ้ากับไม่เป็นอย่างนั้น กับตามอะไรก็ไม่รู้เจออะไรก็ยกมือไหว้ 2.ผู้เชื่อที่มีคริสตเป็นศาสนา ผู้เชื่อที่อะลุ่มอะลวย ผู้เชื่อที่ปากบอกรักพระเจ้าแต่มีรูปเคารพอยู่ภายในจิตใจ ผู้เชื่อพวกนี้มาร-ซาตานไม่มากดขี่ข่มเหงคุณให้เสียเวลาหรอก เพราะคุณคือพวกเดียวกับมัน

“ถ้าเราไม่แข็งแรงในความเชื่อในพระเยซู พระพรที่เราควรจะได้รับจากพระเยซูก็ไม่แข็งแรงด้วยเช่นเดียวกัน”

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "เราได้สำแดงให้ท่านเห็นการดีหลายประการ ของพระบิดาของเรา ท่านทั้งหลายหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตาย เพราะการกระทำข้อใดเล่า"

พระคำของพระเจ้าตรัสกับเราอย่างชัดเจนนะครับว่า หน้าที่ในการเป็นพลเมืองที่ดีของผู้เชื่อหรือหน้าที่ในการเป็นพลเมืองดีของชาวแผ่นดินสวรรค์นั่นก็คือ “การทำความดี” อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า“การทำความดี” เป็นลักษณะอย่างหนึ่งของชีวิตคริสเตียน ด้วยเหตุนี้ผู้เชื่อทุกคนควรที่จะลอกเลียนแบบอย่างพระอาจารย์ของเรา

มีเพลงหนึ่งใน Album W 501 ร้องว่า ทุกความดีและความงามล้วนเป็นของพระองค์ ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ ที่ข้าจะเสาะหาและ..น...มัสการ ซึ่งนั่นหมายความว่า คุณงามความดีที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำ 1.นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการพระเจ้าด้วย 2.ในทุกสิ่งและในทุกอย่างนั้นมันจะต้องเป็นการสะท้อนไปถึงการสำแดงพระสิริของพระเจ้าด้วย

มธ.5:13-16 (13)"ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ 14"ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

พระคำของพระเจ้าใน มธ.5:13-16 บอกกับเราว่า “ความดี เปรียบเหมือนกับ เกลือและแสงสว่าง”

เกลือ ทำหน้าที่ “รักษาสภาพอาหารและให้รสชาติ” คุณสมบัติในฝ่ายกายภาพของเกลือคือละลายกับน้ำโดยมีรสชาติที่กล่อมกล่อมไม่ใช่เค็มจนทะเลเรียกพี่

คุณสมบัติของเกลือในฝ่ายจิตวิญญาณคือสามารถละลายตัวเองเพื่อที่จะเป็นพระพรกับคนทุกประเภทได้โดยเฉพาะเพื่อการประกาศเรื่องราวของพระเจ้า เวลานี้ชีวิตของเราเป็นเกลือแบบนี้ไหม

แสงสว่างของโลก คือ 1.ตกตอนกลางคืนให้เปิดไฟที่บ้านไว้หลายๆดวงอย่างนั้นใช่ไหม ? เปิดไฟไม้กางเขนที่โบสถ์ตั้งแต่ 18.00-06.00 น. อย่างนั้นใช่ไหม ? 3.ให้หลายๆคนได้มองเห็นพระคริสต์ผ่านชีวิตของเรา

เทียนก่อนที่มันจะส่งสว่างมันต้องยอมเผาไหม้ตัวของมันเองก่อนเป็นอันดับแรก ฟืนจะมีไฟได้ก็ต่อเมื่อมันยอมเผาไหม้ตัวมันเองก่อนเป็นอันดับแรก

เช่นเดียวกันพี่น้องที่รักครับ คนจะเห็นพระคริสต์ผ่านชีวิตของเรา เราจะต้องยอมอุทิศตัว เราจะต้องยอมเผาไหม้ตัวเราเองก่อนเป็นอันดับแรก

คำถามคือว่าแล้วเราจะทำอย่างไรกันดี ? เรามาชมคลิปนี้ด้วยกัน คุณหมอท่านเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ที่ 1.เป็นเกลือและแสงสว่าง 2.อุทิศตัวโดยการเผาตัวเองเพื่อที่ชีวิตของเขาจะได้มีผลกระทบต่อคนอื่นอย่างแท้จริง

เช่นเดียวกันพี่น้องที่รักครับ คนจะเห็นพระคริสต์ผ่านชีวิตของเรา เราจะต้องยอมอุทิศตัว เราจะต้องยอมอุทิศตัว เผาไหม้ตัวเราเองก่อนเป็นอันดับแรกโดยการ 1.สละเงินของตัวเองเพื่อพระเจ้าได้ไหม 2.สละเวลาของตวเองเพื่อพระเจ้าได้ไหม 3.สละความสดวกสบายเพื่อพระเจ้าได้ไหม 4.สละความสามารถของเราเพื่อพระเจ้าได้ไหม ?

องค์พระเยซูคริสต์เจ้ายอมอุทิศตัวเอง เผาไหม้ตัวเองโดยการไม่มีตัวเองเพื่อเราทั้งหลายบนไม้กางเขน เราจะยอมอุทิศตัวเองโดยการเผาไหม้ตัวเราเองเพื่อพระองค์ไม่ได้เลยหรือ

ประการที่ 3 เหตุที่เขาหยิบหินจะขว้างพระเยซูไม่ใช่เพราะการทำความดี แต่คิดว่าพระเยซูหมิ่นประมาทพระเจ้า

ยน.1:1 ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้าและพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า

ใน “ปฐมกาล” แปลว่า นานแค่ไหนไม่รู้แต่ที่รู้คือ พระวาทะคือพระเยซูและพระเยซูคือพระวาทะและทั้ง 2 สิ่งนี้ดำรงอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่แรก ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่าทั้ง 2 สิ่งนี้นั้นทรงเป็นพระเจ้า ด้วยเหตุนี้องค์พระเยซูคริสต์จึงได้ตรัสเอาไว้ใน

ยน.1:14 พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา คำนี้มีความหมายว่า ใครเห็นพระองค์ก็ได้เห็นพระบิดา ใครเห็นพระบิดาก็ได้เห็นพระองค์

ยน.14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา คำนี้มีความหมายว่า พระองค์คือวีซ่าเดียวในการที่จะนำมนุษย์เข้าแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าได้

พวกฟารสิ ธรรมาจารย์ ฟังแบบนี้แล้วรู้สึกว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้ากำลัง 1.หมิ่นประมาทพระเจ้า 2.ทำตัวตีตัวเสมอพระเจ้า 3.เข้าใจว่าคำตรัสของพระเยซูนั้นกำลังบังคับให้พวกเขานั้นมาเชื่อในพระองค์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหมายที่จะเอาหินขว้างพระเยซูให้ถึงตาย

สิ่งหนึ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า คนยิวนั้นถือได้ว่าเป็นหมู่นักปราชญ์ของโลก คือ เป็นกลุ่มคนที่ฉลาดมากที่สุดในโลก แต่ในความเป็นนักปราชญ์หรือเป็นกลุ่มคนที่ฉลาดของโลกพวกเขาก็มีจุดมืดบอดในชีวิตด้วยเช่นกัน

พี่น้องจะต้องไม่ลืมนะครับว่าคนยิวเขารอคอยสิ่งหนึ่งนั่นคือการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ แต่เมื่อพระเมสยาห์คือองค์พระคริสต์เจ้าได้เสด็จมาอยู่ทามกลางพวกเขาแล้วไม่เพียงแต่เขาไม่ยอมรับเท่านั้นแต่เขาออกมาต่อต้านด้วย

มธ.16:13-17 คนทั้งหลายถามว่าพระเยซูทรงเป็นใคร พรเยซูไม่ตอบ แต่พระเยซูถามกลับว่าแล้วพวกท่านคิดว่าเราเป็นใคร หลายคนตอบว่า พระองค์เป็นศาสดา เป็นผู้วิเศษ เป็นพระครู

องค์พระเยซูคริสต์จึงถามเปโตรว่า แล้วท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร เปโตรตอบว่า พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ คือ ผู้รับการเจิมจากพระเจ้าให้มีอำนาจสิทธิขาดสูงสุดในการพิพากษามนุษย์ ซึ่งนั่นหมายความว่า เปโตรยอมรับสิทธิอำนาจขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า

คำถามนี้ ไม่ใช่คำถามที่พระเยซูถามเปโตรคนเดียวเท่านั้น แต่เป็นคำถามที่องค์พระเยซูเจ้าถามคนทั้งโลกด้วยว่า พระองค์ทรงเป็นใคร ?

สิ่งหนึ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือเรื่องของ สิทธิอำนาจ สิทธิอำนาจในโลกนี้นั้นมีหลายสิทธิอำนาจด้วยกัน แต่สิทธิอำนาจที่สำคัญที่สุด สูงสุด ชี้ความเป็นความตายของมนุษย์ คือ สิทธิอำนาจของพระเจ้า ซึ่งนั่นหมายความว่า คุณล้ำเส้นไม่ได้หรือคุณต่อต้านไม่ได้ เวลานี้พระเจ้าทรงมอบสิทธิอำนาจนี้ผ่านทางคริสตจักรของพระองค์ และใครก็ตามที่ต่อต้านสิทธิอำนาจนี้ก็ไม่สามารถที่จะไปสวรรค์ของพระเจ้าได้

ประการที่ 4 ถ้าพระองค์ไม่ปฏิบัติราชกิจของพระเจ้าอย่าวางใจพระองค์

พระองค์ตรัสว่า ถ้าคุณไม่เชื่อในถ้อยคำของเราก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ท่านทั้งหลายนั้นได้เชื่อในสิ่งที่เราได้ทรงกระทำได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยให้หายหรือทรงเรียกคนตายให้ฟื้นและรวมถึงการอัศจรรย์อื่นๆที่เราได้กระทำแล้วพวกท่านก็ได้เห็นด้วยตาของท่านเองอีกด้วยท่านสามารถที่จะเชื่อว่าเราเป็นผู้ที่พวกท่านกำลังรอคอยอยู่ คือ พระเมสสิยาห์โดยดูจากการปรนนิรับใช้หรือดูจากผลงานที่เราได้กระทำมาทั้งหมดได้หรือไม่ ถ้าเรารับใช้แบบเนื้อหนัง แบบด้วยวิถีทางของตัวเราเองไม่ได้เป็นวิถีของพระเจ้ามันจะเกิดผลอย่างนั้นหรือ

สิ่งที่เราจะต้องเข้าใจผ่านพระคำของพระเจ้าในข้อนี้นั่นก็คือว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องเป็นคนที่ 1.มีเหตุมีผล ต้องเป็นคนที่อธิบายความ 2.ไม่ชอบการโต้เถียง ไม่ชอบการมีเรื่องมีราว ไม่ชอบการขึ้นโรงขึ้นศาล ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องเลียนแบบอย่างของพระองค์ 3.ประกอบพระราชกิจของพระเจ้าประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า อาณาจักรของพระองค์ ประการที่สำคัญคือ งานที่เขาทำนั้นต้องเกิดผล

เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงอธิบายความให้พวกเขาฟังแล้ว แทนที่พวกเขาจะรีบมายืนอยู่ฝั่งพระเจ้า แต่เขาทำอย่างนั้นไหม ? คนยิวส่วนมากยังยืนอยู่ในความคิดของตนเองเหมือนเดิม ทำตามใจตัวเองเหมือนเดิม คนยิวทุกวันนี้จึงไม่สามารถเข้าแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าได้เพราะเขายังกอดอยู่กับชีวิตแบบเดิมๆ

ประการที่ 5 แต่ถ้าพระองค์ปฏิบัติราชกิจของพระเจ้าจงวางใจในพระเจ้า

พี่น้องที่รักครับ มนุษย์เรามีรสนิยมอย่างหนึ่งนั่นคือ จะทำอะไรชอบที่จะทำตามใจตัวเอง คำถามคือว่ารู้ได้อย่างไร ? เรื่องราวของอาดำ-เอวา ในหนังสือปฐมกาลทำให้เราทราบว่ามนุษย์เราเป็นอย่างนั้น ผนวกกับการที่เราเป็นคนไทยที่ถือค่านิยมที่ว่า “สบายๆคือไทยแท้” ยิ่งทำให้เราทำอะไรตามใจตัวเองมากขึ้นยิ่งไปอีก คนไทยจึงได้ชื่อว่าเป็นคนที่ ไร้ระเบียบ ไร้วินัยประเทศหนึ่งของโลก ต่างคนญี่ปุ่นที่ได้เชื่อว่าอยู่ในระเบียบวินัยมากที่สุดในโลก

แต่เมื่อพวกเรามาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว พระองค์ทรงให้รสนิยมใหม่แก่เรานั่นก็คือ คุณจะทำอะไรก็ตามจากนี้ไปให้คุณทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น คำถามคือว่า น้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่ที่ไหน ? อยู่ในพระคัมภีร์

อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่าคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรตามใจตัวเองอีกต่อไป จากเดิมคุณทำตามใจตัวเอง คุณชอบอย่างนั้น คุณชอบอย่างนี้ จากนี้ไปคุณต้องติดว่าพระเจ้าจะชอบอย่างนั้นไหม พระเจ้าชอบอย่างนี้ไหม

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสกับพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ว่า เราไม่ได้ทำอะไรตามความอำเภอใจ ซึ่งถ้าท่านทั้งหลายไม่ไว้ใจเราไม่เป็นไร แต่ให้วางใจในพระราชกิจที่เราได้กระทำเถิดเพื่อท่านทั้งหลายจะได้เข้าใจว่าพระบิดาทรงอยู่ภายในเรา

แม้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงอธิบายความกับพวกเขามากเพียงใดก็ตามนอกจากพวกเขาจะไม่เชื่อเขายังพยายามที่จะฆ่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้ได้

ประการที่ 6 มีหลายคนที่ยังวางใจในพระเจ้า

เหรียญมีกี่ด้านครับพี่น้อง ? 2 ด้าน ชีวิตของเราก็มี 2 ด้านด้วยเช่นเดียวกัน ด้านหนึ่งมีคนรักและด้านหนึ่งมีคนเกลียด องค์พระเยซูคริสต์เจ้าซึ่งทำความดีมาเยอะแยะมากมาย มีด้านนี้ด้วยไหมครับ ?

พวกปุโรหิตย์ , ฟาริสี , ธรรมาจารย์เกลียดหรือรักพระเยซูครับ ? พวกเขาหมายจะเอาชีวิตของพระเยซู แต่พระคำของพระเจ้าใน ยน.10: 42 และมีคนหลายคนที่นั่นได้วางใจในพระองค์ ซึ่งนั่นหมายความว่า คนที่ได้รับพระพรผ่านการเทศน์ การสอน ผ่านการปรนนิบัติ ผ่านรับใช้ของพระองค์ยังคงติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอยู่

สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเรานั่นก็คือว่าอย่าไปสนใจ เพราะชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนที่ 1.รักเราหรือไม่รักเรา 2.คนที่ชอบเราหรือคนที่เกลียดเรา 3.ให้เกียรติเราหรือไม่ให้เกียรติเรา

คำถามคือว่า แล้วชีวิตของเราขึ้นกับอะไร ? ชีวิตของเราขึ้นกับ 1.ความถูกต้องและความดีงามของพระเจ้า เมื่อเราตั้งใจจะเป็นความสว่างของโลกแล้วก็อย่าให้อะไรมาบดบังหรือดับความสว่างของเราได้

ดังนั้นให้ลอกเลียนแบบตามแบบอย่างจากพระองค์ อย่าไปสนใจคนที่ไม่รัก ไม่หวังดีต่อเรา ไม่ชอบเราหรือติฉินนินทาเราเมื่อเราตั้งใจที่จะเป็นแสงสว่างของพระเจ้าแล้ว ให้เราเริ่มต้นจากเปลวเทียนไปจนถึงไส้ตะเกียงที่ไม่มีอะไรจะมาดับความสว่างของเราได้

Green City