ผู้ชายคือผู้นำครอบครัว

   คำเทศนาเรื่อง ผู้ชายคือผู้นำครอบครัว

              

ข้อพระคัมภีร์ ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้ จะอยู่ในหนังสือปฐก. 2:15 - 17 , ปฐก. 3:1 - 9 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า ผู้ชายคือผู้นำครอบครัว

มีเรื่องเล่าอย่างนี้ครับว่า มีคนจรหมอนหมิ่นครอบครัวหนึ่ง ได้มาสมัครขอเป็นคนงานของบ้านเศรษฐีคนหนึ่ง ครอบครัวของเศรษฐีก็ได้รับครอบครัวนี้เอาไว้ ด้วยจิตใจที่เมตตาสงสาร โดยมอบหมายให้สามีดูแลพืชสวนไร่นา ส่วนภรรยาก็มอบหมายให้ดูแลงานบ้านงานเรือน

วันหนึ่งท่านเศรษฐีกับคุณนายก็ออกไปทำธุระนอกบ้าน ปล่อยให้สามีภรรยาคู่นี้ เฝ้าดูแลอยู่ที่บ้าน

ปรากฏว่ายังไม่ทันไรเลย เมียคนสวนก็ได้นำเสื้อ นำผ้าของคุณนายมาลองสวม ลองใส่

ลองไม่ลองเปล่า เธอกับเอาเสื้อเอาผ้าของท่านเศรษฐี มาให้สามีสุดที่รักของเธอได้ลองสวม ลองใส่ด้วย ดูซิว่ามันจะสวยหล่อแค่ไหน

แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไรไม่ทราบ เพียงแค่สามีคนสวนรับไม้แขวนมาจากภรรยามาเท่านั้นแหละ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ท่านเศรษฐีและคุณนาย ได้กลับเข้ามาเพื่อเอาของที่ลืมไว้ที่บ้าน แต่ต้องมาเห็นภาพของความไม่ซื่อสัตย์ของสามีภรรยาคู่นี้

ทำให้ครอบครัวนี้ต้องออกจากบ้านของเศรษฐี กลายเป็นคนจรหมอนหมิ่นเหมือนดั่งที่เคยเป็นมาอีกครั้ง

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

เราพบว่าเมื่อพระเจ้าทรงสร้างอดัมขึ้นมาแล้ว พระองค์ไม่ได้สร้างอดัมขึ้นมาเฉยๆ

ในข้อที่ 15 เราพบว่า พระเจ้าได้ทรงมอบ ขอบเขต ความรับผิดชอบและหน้าที่ ในสวนเอเดนนั้นให้กับอดัม นอกเหนือจากนั้นในข้อที่ 22 พระคำของพระเจ้ายังได้บอกกับเราต่อไปอีกด้วยว่า พระเจ้ายังให้อดัมนั้นมีขอบเขต ความรับผิดชอบ และหน้าที่ๆเพิ่มเติมเป็นพิเศษอีกด้วย และหน้าที่ๆพระเจ้าทรงเพิ่มเติมให้กับอดัมเป็นพิเศษนั่นก็คือ การเป็นผู้นำครอบครัวหรือการเป็นหัวหน้าครอบครัวนั่นเอง

พระคำของพระเจ้าในหนังสือปฐมกาล 3:1 ทำให้เราทราบว่าเมื่องูได้พบกับเอวา

งูมันจึงพูดกับเอวาว่า จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่า อย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆในสวนนี้ และเมื่อเอวาได้นำเอาคำพูดของมารซาตาน ซึ่งแฝงมาในภาพของงูไปต่อยอดทางความคิดของตนเองเช่น เอวาอาจจะคิดว่า พระเจ้าพูดกับอดัม พระเจ้าไม่ได้พูดกับเราซะหน่อย เพราะฉะนั้น คำสั่งห้ามนี้ มันก็ไม่น่าที่จะเกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย

เมื่อเอวาคิดอย่างนี้ประกอบกับสายตาของนางก็ได้มองไปที่ต้นไม่นั้น

พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างไรครับในข้อที่ 6 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าต้นไม้นั้นน่ากิน และน่าดูด้วย ทั้งเป็นต้นไม้ที่มุ่งหมายจะให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากินแล้วส่งให้สามีกินด้วยเขาก็กิน

พระคัมภีร์ได้บอกกับเราว่า เย็นวันนั้นเขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้า เสด็จดำเนินอยู่ในสวนนั้น อดัมกับเอวาก็หลบไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ในสวนนั้น พระเจ้าทรงเรียกอดัมว่า อดัมเจ้าอยู่ที่ไหน

(10)ชายนั้นทูลว่า ข้าพระองค์ได้ยินพระสรุเสียงของพระองค์ในสวน ก็เกรงกลัวเพราะข้าพระองค์เปลือยการอยู่จึงได้ซ่อนตัวเสีย

(11)พระองค์จึงตรัสว่า ใครเล่าบอกเจ้าว่าเจ้าเปลือยกาย เจ้ากินผลไม้ที่เราห้ามมิให้กินนั้นแล้วหรือ

(12)ชายนั้นทูลว่า หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กินกับข้าพระองค์นั้น ส่งผลไม้นั้นให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน

(13)พระเจ้าตรัสถามหญิงนั้นว่าเจ้าทำอะไรไป หญิงนั้นทูลว่างูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน

คำถามก็คือว่า

ตอนที่งูพูดคุยกับเอวานั้น อดัมอยู่ด้วยไหมครับ ?

คำถามก็คือว่า

ตอนที่เอวานำเอาสิ่งที่งูพูดคุยกับเขาแล้วเก็บมาคิด ประกอบกับสายตาของนางก็มองไปที่ต้นไม้นั้น อดัมอยู่ด้วยไหมครับ ?

คำถามก็คือว่า

ตอนที่เอวาค่อยๆเอามือยื่นออกไปแล้วเด็ดผลของต้นไม้นั้นอดัมอยู่ด้วยไหมครับ

คำถามก็คือว่า

ตอนที่เอวาค่อยๆเอาผลของต้นไม่นั้นใส่เข้าไปในปากของนางและกลืนเข้าไปในคออดัมอยู่ด้วยไหมครับ ?

คำถามก็คือว่า

ตอนที่เอวาค่อยๆยื่นผลของต้นไม้นั้นให้กับอดัม อดัมตอบรับหรือตอบปฏิเสธครับ

คำถามรองสุดท้าย ที่ผมจะถามพี่น้องก็คือว่า

ทุกๆขั้นตอนของการทำบาปในสวนเอเดนนั้น ใครเป็นคนทำระหว่างอดัมกับเอวา คำตอบคือ เอวาได้เป็นคนทำบาปในทุกๆขั้นตอน

คำถามสุดท้าย ก็คือว่า แล้วทำไมอดัมถึงบาป ?

คำตอบคือ อดัมทำบาปเนื่องจากสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ

อดัมทำบาปเนื่องจากสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ หมายความว่าอย่างไร ?

หมายความว่า อดัมไม่ได้ถ่ายทอดคำสั่งนี้ให้กับเอวาได้ทราบ เอวาจึงไม่ทราบว่านี่เป็นพระดำรัสสั่งของพระเจ้าที่ผ่านมายังอดัม

หมายความว่า อดัมไม่ได้สนใจว่าเอวาได้คุยอะไรกับงู จึงทำให้เอวานั้นถูกมาร ซาตาน ซึ่งมาในภาพของงู หลอกล่อให้เอวาไปทำในสิ่งที่ขัดต่อน้ำพระทับของพระเจ้า

หมายความว่า อดัมเริ่มที่จะรู้ เริ่มที่จะเห็น ว่าเอวาได้ค่อยๆยื่นมือออกไปเพื่อจะเด็ดผลของต้นไม้นั้น แต่อดัมเงียบ อดัมไม่ยอมที่จะปริปาก อดัมไม่ยอมที่จะห้ามปามในสิ่งที่เอวาได้เริ่มต้นที่จะกระทำ

พี่น้องที่รักครับ การที่อดัมเงียบ การที่อดัมไม่ยอมที่จะปริปากหรือไม่ยอมที่จะห้ามปรามเอวานั้น นั่นก็เท่ากับว่า อดัมได้ให้การสนับสนุน ได้ให้การส่งเสริมในสิ่งที่เอวาทำอย่างอ้อมๆ

หมายความว่า อดัมไม่ได้ปฏิบัติตามขอบเขต ความรับผิดชอบและหน้าที่ๆพระเจ้าได้ประทานมอบให้กับเขา นั่นก็คือการเป็นผู้นำครอบครัว หรือเป็นหัวหน้าครอบครัว อดัมไม่ได้แสดงบทบาทของการเป็นผู้นำนี้

ในขณะเดียวกันเมื่อพระเจ้าทรงเรียกหาอดัมว่า อดัมเจ้าอยู่ที่ไหน ? แทนที่อดัมจะตอบว่าข้าพระองค์อยู่ที่นี่ แต่อดัมกับตอบพระเจ้าว่า ข้าพระองค์กลัวพระองค์เพราะข้าพระองค์กำลังเปลือยกายอยู่

พระเจ้าจึงตรัสถามอดัมว่า อดัมเจ้ากินผลไม้ที่เราห้ามมิให้กินนั้นแล้วหรือ ?

แทนที่อดัมจะตอบกับพระเจ้าว่าได้กินแล้ว อดัมได้ตอบอย่างนั้นไหมครับ ?

อดัมกับตอบพระเจ้าว่าอย่างไรครับ ? หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กินกับข้าพระองค์นั้น ส่งผลไม้นั้นให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน

พี่น้องที่รักครับคำถามที่พระเจ้าทรงถามอดัมกับคำตอบที่อดัมทูลตอบพระเจ้านั้น มันเรื่องเดียวกันไหมครับ ? มันคนละเรื่อง

การที่พระเจ้าถามอย่างหนึ่งและ อดัมตอบอีกอย่างหนึ่ง ส่งผลทำให้ความไว้เนื้อเชื่อใจหรือความน่าเชื่อถือที่พระเจ้าทรงมีให้กับอดัมนั้นหมดไป

ไม่เพียงเท่านั้นพี่น้องที่รัก การที่พระเจ้าถามอดัม และอดัมโทษภรรยา

การที่พระเจ้าถามเอวาและเอวาโทษงู การที่พระเจ้าถามงูและงูมันโทษใคร ?

งูมันไม่โทษใครมันรับรับผิดชอบเอง

แต่สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่น้องในเช้าวันนี้ นั่นก็คือว่า การที่โทษกันไปกันมาของผัวเมียคู่นี้ มันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิญญาณแห่งการไม่รับผิดชอบหรือวิญญาณแห่งการชอบโทษคนอื่น

ดังนั้นมนุษย์ทุกคนที่คลอดออกมาทั้งผู้ชายและผู้หญิง จึงมีวิญญาณนี้ติดตัวออกมาด้วย

ดังนั้นเราจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พอมีเรื่องอะไรขึ้นมาก็ตาม มนุษย์จึงมีธรรมชาติที่พร้อมนะครับไม่ใช่ไม่พร้อม แต่พร้อมที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบที่จะเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น

ถ้าพี่น้องอ่านต่อไปจนถึงข้อที่ 17 พี่น้องก็จะพบว่า ฉากจบของครอบครัวนี้คือ การถูกขับให้ออกจากสวนเอเดน พร้อมกับอะไรครับ ? พร้อมกับคำสาปแช่งของพระเจ้า

ขอบคุณพระเจ้านะครับ ที่คริสเตียนในเวลานี้ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยของพระคัมภีร์เดิม แต่เราอยู่ในยุคหรืออยู่ในสมัยของพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์

ทำให้คริสเตียนในเวลานี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถูกสาปแช่งจากพระเจ้าเหมือนกับคนในสมัยพระคัมภีร์เดิมก็ตาม

แต่การที่ผู้นำครอบครัวหรือหัวหน้าครอบครัว ไม่ได้ลุกขึ้มาทำหน้าที่ๆพระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้เขากระทำก็จะทำให้ครอบครัวนั้นๆขาดพระพรของพระเจ้าได้

พี่น้องที่รักครับ   นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของอดัมเอวาที่สวนเอเดนเมื่อ 5,600 กว่าปีที่ผ่านมาเท่านั้น

พี่น้องคิดว่า เวลานี้สถาบันครอบครัวไทย มีผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวอย่างอดัม อยู่ในสังคมไทยไหมครับ ? มีและมีมากด้วย

มีกี่คนที่อยู่ในห้องประชุมนี้ที่อยู่ในบทบาทของสามีหรือบิดา ช่วยยกมือขึ้นหน่อยได้ไหมครับ ?  

คำถามของผมก็คือว่า พี่น้องคิดว่ามีผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวอย่างอดัมนี้ไหมครับในหมู่ผู้เชื่อ ที่เขาไม่ได้ลุกขึ้มาทำหน้าที่ๆพระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้เขากระทำ ?

แท้จริงแล้วไม่ควรมี แต่เราต้องยอมรับความจริงว่า มี ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเศร้ามาก

เพราะอะไรครับ ? เพราะครอบครัวนั้นๆจะขาดพระพรของพระเจ้า

ดังนั้นในเช้าวันนี้ ให้เรามาเรียนรู้ด้วยกันว่า การที่สถาบันครอบครัวคริสเตียนไทยจะไม่ขาดพระพรของพระเจ้า หรือเราจะได้รับพระพรของพระเจ้าอย่างเต็มขนาดนั้น เราจะทำอย่างไร

ประการที่ 1อยู่ใน สดด.38:18 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ข้าพระองค์สารภาพบาปผิดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นทุกข์เพราะบาปของข้าพระองค์

ประการที่ 1 คือ สารภาพบาป

การที่ครอบครัวของพี่น้องจะไม่ขาดพระพร หรือได้รับพระพรของพระเจ้าอย่างเต็มขนาดนั้นต้องเริ่มต้นจากการที่ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัว อธิษฐานสารภาพความผิดความบาปนั้นต่อพระเจ้า ในการที่เราซึ่งเป็นผู้ชาย อีกทั้งเป็นผู้ที่พระเจ้าได้ทรงประทานขอบเขต , ความรับผิดชอบและหน้าที่ ให้เราทั้งหลายนั้นต้องดูแลและเอาใจใส่ต่อครอบครัว ทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณ แต่เรากับไม่ได้แสดงบทบาทของการเป็นผู้นำที่ถูกต้องต่อครอบครัว

และในหลายๆครั้งที่เราก็มีท่าทีที่ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากอดัม นั่นก็คือ เห็นถึงความผิด ความบาปอยู่ต่อหน้าต่อตาของบุคคลในครอบครัวของท่าน แต่ท่านก็เงียบกริบ ท่านไม่ยอมที่จะปริปากพูดอะไรออกมา พอพูดออกมาก็เป็นเหมือนกับอดัม คือ เอาดีใส่ตัวและเอาความไม่ดีโทษลูกโทษเมีย พี่น้องคิดว่าผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวประเภทนี้มีไหมครับ ?

การที่ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัว เงียบกริบ ไม่ยอมปริปาก นั่นก็เท่ากับว่า

1)ท่านให้การสนับสนุนสมาชิกในครอบครัวของท่านอย่างอ้อมๆ

2)ท่านกำลังเอาความรักปกปิดความบาปซึ่งท่านกำลังใช้ความรักอย่างไม่ถูกต้อง

ในเช้าวันนี้ถ้าท่านเป็นผู้นำหรือเป็นหัวหน้าครอบครัวอย่างอดัม ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า ผมขอหนุนใจให้ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัว ได้อธิษฐานกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวว่า ข้าพระองค์เป็นทุกข์เพราะบาปที่ผ่านมาของข้าพระองค์ และขอการกลับใจใหม่ ที่จะไม่เป็นผู้นำหรือเป็นหัวหน้าครอบครัวอย่างอดัมอีกต่อไป

และไม่ใช่เพียงอธิษฐานเท่านั้นนะครับพี่น้อง แต่ท่านจะต้องมีความตั้งใจที่จะจัดการในเรื่องที่ไม่ถูกต้องให้ถูกต้อง เพื่อที่ครอบครัวของท่านจะไม่ขาดพระพรหรือเป็นครอบครัวที่ได้รับพระของพระเจ้าอย่างเต็มขนาด

     การที่สถาบันครอบครัวคริสเตียนไทย จะไม่ขาดพระพรของพระเจ้าหรือเราจะได้รับพระพรของพระเจ้าอย่างเต็มขนาดนั้น เราจะทำอย่างไร

ประการที่ 2 อยู่ใน 1ปต.2:9 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตย์หลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์

ประการที่ 2 คือ การเป็นปุโรหิตย์

พี่น้องที่รักครับ ฐานะขององค์พระเยซูคริสต์นั้นมีมากมายหลายฐานะ ฐานะหนึ่งที่ได้มีการบันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ นั่นก็คือ มหาปุโรหิตย์ และฐานะนี้เป็นฐานะของผู้ที่เป็นเพศชายเท่านั้นเพศหญิงเป็นไม่ได้

ดังนั้นผู้ชายทุกคนไม่เพียงแต่จะมีขอบเขต ความรับผิดชอบและหน้าที่ในการเป็นผู้นำหรือเป็นหัวหน้าครอบครัวเท่านั้นแต่ท่านจะต้องอยู่ในฐานะปุโรหิตย์ภายในครอบครัวของท่านด้วย

พี่น้องบางคนอาจจะถามว่า และในบางครอบครัวละที่ภรรยากับลูกเป็นคริสเตียน แต่สามีไม่ได้เป็นคริสเตียนละจะทำอย่างไร

พี่น้องฟังคำตอบให้ดีๆนะครับ คำตอบก็คือว่า ผู้ที่จะทำหน้าที่นำลูกอธิษฐานสารภาพบาปกับพระเจ้า เสมือนหนึ่งถวายเครื่องบูชาของตนเองในครอบครัว นั่นก็คือ แม่

ถึงแม้ว่า แม่ นั้นจะไม่ได้อยู่ในฐานะปุโรหิตย์เหมือนกับผู้ที่เป็นเพศชายก็ตาม

ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว แม่ ทุกคนอยู่ในฐานะผู้ที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้ท่านดูแล แต่เมื่อแม่และลูกอยู่ในสถานะของการเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า แต่สามีไม่ได้เป็นผู้เชื่อ ดังนั้นหน้าที่ในการขัดเกลาชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเขาจึงมีอยู่ภายในผู้เป็นแม่ด้วย

กลับมาที่บทบาทของปุโรหิตย์ บทบาทของปุโรหิตย์ ในสมัยของพระคัมภีร์เดิมก็คือ เขาจะมีชุดที่พิเศษ ที่สำคัญก็คือว่า เมื่อเขาอยู่ในชุดนี้เมื่อไหร่ นั่นหมายความว่าเขาต้องพร้อมที่จะรับใช้พระเจ้า

การรับใช้ของปุโรหิตย์ นั่นก็คือ เขาจะยืนอยู่ที่หน้าประตูของพระวิหาร และเมื่อประชากรของพระเจ้าที่ทำความผิดความบาปมา เขาจะนำเครื่องสัตว์บูชามาถวายแด่พระเจ้าที่พระวิหารผ่านทางปุโรหิตย์

ซึ่งปุโรหิตย์ก็จะฆ่าเครื่องสัตว์บูชานั้นอีกทั้งจะนำเลือดที่หลั่งออกนั้นไปปะพรมที่แท่นบูชา และปุโรหิตย์ก็จะเข้าเฝ้าพระเจ้าในพระวิหารยกมือขึ้นถามพระเจ้าแล้วปุโรหิตย์ก็จะกลับออกไปบอกเขาว่าพระเจ้าว่าอย่างไร แล้วก็จะอวยพรให้กับเขา นี่คือขอบเขต ความรับผิดชอบและหน้าที่ของปุโรหิตย์ในพระคัมภีร์เดิม

เหตุผลหนึ่งในการเสด็จลงมาจากสวรรค์ ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า นั่นก็คือพระองค์มาทำหน้าที่มหาปุโรหิตย์ เพื่อนำมหาประชาชนหรือคนเป็นจำนวนมากเข้าถึงพระเจ้าและนำพระเจ้าเข้าถึงมหาประชาชน

โดยส่วนตัวผมมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า วันนี้ครอบครัวของพี่น้องนั้นจะไม่ขาดพระพรหรือได้รับพระพรของพระเจ้าอย่างเต็มขนาดอย่างแน่นอน ถ้าผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวนั่งลงเป็นเจ้าภาพ

แล้วถามไถ่ผู้เป็นภรรยาของคุณว่า วันนี้คุณไปทำอะไรมาบ้าง ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยซิ หรือถามผู้เป็นบุตรีบุตราของท่านว่า วันนี้ลูกไปทำอะไรมาบ้าง ช่วยแบ่งปันให้พ่อฟังหน่อยซิ

และเมื่อท่านในฐานะผู้นำ หรือหัวหน้า และหรือในฐานะปุโรหิตย์ของครอบครัวได้ฟังแล้วและท่านรู้สึกได้ว่า สิ่งนี้มันทำให้ภรรยาของคุณหรือลูกๆของท่านเข้าไปสู่การทำความผิดความบาป มันทำให้ภรรยาหรือลูกๆของท่านกำลังจะออกไปจากน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้นำหรือหัวหน้าและหรือปุโรหิตย์ของครอบครัวจะเฉยๆไม่ได้

ถ้าวันนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์ทรงเฉยๆในความผิดความบาปของเราๆเราเป็นอย่างไรครับพี่น้อง ?

ดังนั้นผู้นำหรือหัวหน้าและหรือปุโรหิตย์ของครอบครัวจะต้องรีบนำสมาชิกภายในครอบครัวเข้าหาพระเจ้า โดยการนมัสการ อธิษฐาน ทูลขอการชำระหรือขอการอภัยจากพระเจ้า

สิ่งที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างมากนั่นก็คือว่า ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวคริสเตียนไทยโดยส่วนมาก เขาชอบทำหน้าที่ผู้นำหรือเป็นหัวหน้าครอบครัวในฝ่ายร่างกายมากกว่าในฝ่ายจิตวิญญาณ เช่น ผู้นำครอบครัวส่วนมาก ชอบสั่งหรือชอบออกคำสั่ง ชอบสอน เป็นต้น แต่เขากับปฏิเสธการทำหน้าที่ในการเป็นปุโรหิตย์ภายในครัวเรือนของเขาอย่างสิ้นเชิงนั่นก็คือการนำสมาชิกในครอบครัว อธิษฐานสารภาพความผิดความบาป ตามด้วยการนมัสการพระเจ้าร่วมกันเพื่อถวายเป็นเครื่องหอมบูชา และทูลขอการอวยพระพรจากพระเจ้า

และด้วยการที่ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัว ซึ่งเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ชอบที่จะนำภรรยาและบุตรหรือชอบที่จะนำสมาชิกในครอบครัวในฝ่ายร่างกาย มากกว่าฝ่ายจิตวิญญาณนี่ละครับ ทำให้การปลดปล่อยพระพรจากเบื้องบนจึงไม่ไหลลงมาสู่เบื้องล่าง เป็นเหตุทำให้ครอบครัวของพี่น้องนั้นได้รับพระพรจากพระเจ้าอย่างกระปิดกระปอย

พี่น้องที่รักครับถ้าพี่น้องเฝ้ามองครอบครัวเรา พี่น้องจะพบว่าครอบครัวเราไม่ขาดพระพรของพระเจ้า และถ้าพี่น้องเฝ้ามองคริสตจักรแห่งนี้อยู่ ซึ่งเป็นคริสตจักรท้องถิ่นเล็กๆ พี่น้องก็จะพบว่าคริสตจักรของพระเจ้าแห่งนี้ไม่เคยขาดพระพรของพระเจ้า

เพราะอะไรทราบไหมครับ ? หลายคนอาจจะตอบว่า เพราะผมทำหน้าที่ปุโรหิตย์ในบ้าน และผมทำหน้าที่ของปุโรหิตย์ในคริสตจักร นั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้องแต่ที่ลึกลงไปกว่านั้น

อยู่ใน 1ทมธ.2:8 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าปรารถนา ให้ผู้ชายทั้งหลายอธิษฐานในทุกที่ทุกแห่ง ด้วยใจบริสุทธิ์ปราศจากโทโสและการถกเถียงกัน เป็นความจริงพี่น้องที่รัก ที่พระเจ้าต้องการให้เราซึ่งเป็นบุตรชาย บุตรหญิงของพระองค์นั้นอธิษฐาน

แต่ความจริงที่ยิ่งกว่าจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่น้องควรทราบนั่นก็คือว่า พระเจ้าต้องการให้ผู้ชายผู้ซึ่งพระเจ้าได้ประทานขอบเขต ความรับผิดชอบและหน้าที่ในการเป็นปุโรหิตย์ภายในบ้านให้อธิษฐานกับพระองค์มากที่สุด

ดังนั้นทุกคืนวันศุกร์และเช้าวันเสาร์รวมทั้งเช้าอาทิตย์ด้วย พี่น้องจะเห็นได้ว่ามีปุโรหิตย์ของพระเจ้า ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวหลายคนมาอธิษฐานร่วมกันที่คริสตจักร ด้วยเหตุนี้เองแหล่งกำเนิดแห่งพระพรของพระเจ้าจากเบื้องบน จึงได้มีการขยับตัวลงมาสู่คริสตจักรของพระองค์แห่งนี้

เช่นกันพี่ - น้องที่รัก ถ้าวันนี้ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัว ทำหน้าที่ในการเป็นปุโรหิตย์ภายในบ้าน ซึ่งเปรียบเสมือนกับเป็นกระดูกสันหลังฝ่ายวิญญาณ ได้อธิษฐานกับพระเจ้าแหล่งกำเนิดแห่งพระพรของพระเจ้าจากเบื้องบน ก็จะขยับตัวลงมาสู่ครอบครัวของท่านครอบครัวของพี่ - น้องจะไม่ขาดพระพรของพระเจ้า

ดังนั้นผู้นำครอบครัว รวมทั้งสมาชิกภายในครอบครัว ซึ่งหมายถึง ภรรยาและลูก จะต้องเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือ เชื่อฟังพระวจนะและทำตามพระวจนะ ถ้าผู้นำรวมทั้งสมาชิกภายในครอบครัวไม่เปลี่ยนแปลง นั่นก็เท่ากับ ท่านได้ปฏิเสธการเชื่อฟัง และได้ปฏิเสธการทำตามพระวจนะ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่จะขาดพระพร นั่นก็คือ ท่านและครอบครัวของท่านเองนั่นหล่ะที่จะต้องทนทุกข์เหตุเพราะขาดพระพรของพระเจ้า

   การที่สถาบันครอบครัวคริสเตียนไทยจะไม่ขาดพระพรของพระเจ้า

ประการที่ 3 คลส. 3 : 16 จงให้พระวาทะของพระคริสต์ ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น

ประการที่ 3 คือ การใช้พระวจนะภายในบ้าน

พี่ - น้องที่รักครับ การที่เอวาทำบาปที่สวนเอเดนนั้นเป็นเพราะ อาดัมไม่ได้ถ่ายทอดคำสั่ง ที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้กับเขา เอวาจึงไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เอวาจึงถูกมาร - ซาตานล่อลวง   งูมันจึงใช้เอวาให้เป็นพันธกรของมัน

วันนี้ ถ้าผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวคริสเตียนไทย ไม่อยากเห็นสมาชิกภายในครอบครัวของท่าน ถูกมาร - ซาตานมันล่อลวง หรือไม่อยากเห็นงู มันใช้ภรรยา ใช้ลูก ใช้หลานและสมาชิกในครอบครัวของท่าน ให้ตกเป็นพันธกรของมัน เหมือนกับที่มันได้ใช้เอวามาแล้วในอดีต ท่านจะต้องกล่าวถ้อยคำของพระเจ้าภายในบ้านของท่าน

องค์พระเยซูคริสตเจ้าในฐานะมหาปุโรหิต พระองค์ทรงสั่งสอนประชาชนในแต่ละที่ แต่ละแห่ง ด้วยถ้อยคำของพระบิดาในสวรรค์ หรือทรงสั่งสอนประชาชนโดยการอ้างถ้อยคำของคนอื่นครับพี่ - น้อง

แต่ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวโดยส่วนมาก แม้กระทั่งผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวที่เป็นผู้เชื่อหรือที่เป็นคริสเตียนเองก็ตาม ก็มักจะสั่งสอนสมาชิกภายในครอบครัวของเรา ด้วยคำสอนของคนอื่น ที่ได้รับฟังแบบสืบทอดต่อๆ กันมา และเรามักจะสอนคนอื่นด้วยประสบการณ์ของคนอื่น ผสมผสานกับประสบการณ์ของตัวเราเอง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ถ้อยคำของมนุษย์ที่สอนแบบถ่ายทอดต่อๆ กันมานั้น ไม่มีฤทธิ์อำนาจ

เมื่อG ตรัสว่า จงเกิดความสว่างความสว่างก็เกิดขึ้น ถ้อยคำของใครมีฤทธิ์อำนาครับพี่ - น้อง

เมื่อ J ตรัสว่า จงหายเถิดในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย ถ้อยคำของใครมีฤทธิ์อำนาจครับ

ฮบ. 4 : 12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

ครอบครัวคริสเตียนไทยจะไม่ขาดพระพรของพระเจ้าเลย ถ้าผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวใช้ถ้อยคำ โดยการถ่ายทอดถ้อยคำของพระเจ้า

พี่ - น้องทราบมั้ยครับว่า ทำไมเราถึงประกาศกับคนมุสลิมได้ยากมาก เพราะผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวของคนมุสลิม เขาเอาจริงเอาจังในการถ่ายทอดคำสอนให้กับลูกหลานของเขาเป็นอย่างมาก คำสอนของเขาจึงเป็นเสมือนกับ Inner lock ในระบบเกียร์ออโตเมติคของรถยนต์ในปัจจุบัน พอคนมุสลิมได้ยินได้ฟังอะไร โดยที่มันไม่ใช่อยู่ในแนวทางของเขา เขาก็จะปฏิเสธในทันที

ถามว่าปัจจุบันการถ่ายทอดคำสอนอย่างเอาจริง เอาจังนี้ยังมีอยู่มั้ยยังมีอยู่ ? มีอยู่

เฉพาะในต่างจังหวัดเท่านั้นใช่มั้ย ? ไม่ใช่ ในกรุงเทพฯ ก็มีให้เห็นในทุกหลังคาเรือนว่าผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวจะใช้เวลาในแต่ละวันทุกวัน เพื่อถ่ายทอดคำสอนให้กับลูกและพาไปมัสยิดตั้งแต่เล็กๆ ถ้าท่องไม่ได้ ไม่มีการทำการบ้านโรงเรียนไทย ถ้าท่องไม่ได้ยังไม่ต้องกินข้าว ถ้าท่องไม่ได้ไม่มีการดูโทรทัศน์ ถ้าอยู่ภายใต้หลังคาบ้านนี้ต้องท่องจำกรุอ่านได้

น่าเสียดายตรงที่คำสอนของเขานั้น มันเป็นคำสอนที่ผสมผสานระหว่างถ้อยคำของพระเจ้าบวกกับถ้อยคำของมนุษย์ มันจึงขาดฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า มุสลิมจะดูเคร่งแต่เพียงภายนอกเท่านั้น ส่วนภายในแล้วก็ยังทำบาปกันอยู่อย่างมากมาย

น่าเสียดายตรงที่ว่า เราผู้ซึ่งได้รับคำสอนที่แท้จริง และเป็นคำสอนที่มีชีวิต จากพระเจ้า กับไม่ได้ถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นความจริงและเป็นชีวิตให้กับลูกหลานของเราอย่างเอาจริงเอาจัง

ดังนั้นท่านผู้นำหรือท่านหัวหน้าครอบครัวครับ ท่านต้องให้ทิศทางกับครอบครัวของท่านอย่างชัดเจน

ตย. ทิศทางที่ผมให้กับครอบครัวของผมคือ ถ้าเป็นภรรยาผม คุณต้องอธิษฐานร่วมกับผม แบ่งปันข้อพระคัมภีร์กับผม เฝ้าเดียวร่วมกับผม นมัสการร่วมกับผม อ่านพระคัมภีร์ร่วมกับผม

ตย. ทิศทางที่ผมให้กับน้องเลี้ยงของผม คือ ในฝ่ายร่างกาย คุณจะต้องรายงานตัวกับผม จะต้องอ่านพระคัมภีร์ด้วยความเอาใส่ใจ พร้อมๆ กับมีการนมัสการพระเจ้าร่วมกันและอธิษฐานร่วมกันบ้างตามโอกาส

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัว ได้กำหนดหรือให้ทิศทางกับครอบครัวของท่านอย่างนี้ทุกๆวัน ลก. 12 : 12 เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทรงโปรดสอนท่านในเวลาโมงนั้นเองว่า ควรจะพูดอะไรบ้าง พระวจนะของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ จะคอยปกป้องสมาชิกภายในครอบครัวของพี่ - น้องอยู่ตลอดเวลา

พี่ - น้องฟังให้ดีน๊ะครับ เช่น ถ้าเขา ไม่ได้ตั้งใจ ที่จะทำบาป แต่กำลังจะถูกมาร - ซาตานมันชักจูงไปทำความผิด ความบาป พระคำของพระเจ้าก็จะผุดขึ้นมา หรือไม่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่อยู่ภายในเขา ก็จะช่วยเขา โดยให้เขามีถ้อยคำบางสิ่งบางอย่าง ที่จะพูดออกมาเพื่อปกป้องเขา

แต่ถ้ามาร - ซาตานมันไม่ได้ชักจูงสมาชิกในครอบครัวของเรา ไปทำความผิด ความบาป แต่ซาตัวพี่ - น้องรู้จักซาตัวมั้ยครับ ? ซาตัวคือ ตัวกูเองนี่แหละ ที่คิดจะทำบาป ตั้งใจจะทำบาป คิดที่จะออกจากน้ำพระทัยของพระเจ้า พระคำของพระเจ้าที่อยู่ภายในเขาหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ทรงอยู่ภายในเขา จะทรงปกป้องเขามั้ยครับ ?

อสย. 59 : 7 เท้าของเขาวิ่งไปหาความชั่ว และเขาเร่งไปหลั่งโลหิตไร้ความผิดให้ถึงตาย ความคิดของเขาเป็นความคิดชั่ว การล้างผลาญและการกระทำอยู่ในหนทางของเขา

ทันทีที่เขา เพียงแค่คิด จะทำบาป พระวจนะของพระเจ้า ก็ได้ออกไปจากชีวิตของเขาแล้ว ทันทีที่เขา เพียงแค่คิด จะทำบาป พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็ได้เสด็จออกไปจากชีวิตของเขาแล้ว

พูดอย่างชาวบ้านก็คือ อยู่ในทางของพระเจ้าดีๆ ไม่ชอบๆ ที่จะไปอยู่ในทางของมารก็เชิญ

แต่บอกก่อนน๊ะว่า ปลายทางของคุณ คือ ความพินาศ และนั่นคือ ทางของมาร

ถ้าวันนี้ ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวของคริสเตียน ต่างใช้เวลาในแต่ละวันทุกๆวัน เพื่อที่จะถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้า ให้กับสมาชิกในครอบครัวอย่างเอาจริงเอาจัง ผมเชื่อว่าครอบครัวคริสเตียนไทย นอกจากจะไม่ขาดพระพรของพระเจ้าแล้ว ยังจะได้รับพระพรจากพระเจ้ามากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่า ( เอเมน )

สรุปพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้ คือ การที่สถาบันครอบครัวคริสเตียนไทย จะไม่ขาดพระพรของพระเจ้า

ประการที่ 1 ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวต้องสารภาพบาป

ประการที่ 2 ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวต้องเป็นปุโรหิตย์ภายในบ้าน

ประการที่ 3 ผู้นำหรือหัวหน้าครอบครัวต้องกล่าวพระวจนะภายในบ้าน

Green City