ผู้เลี้ยงกับผู้รับจ้าง

คำเทศนาเรื่อง ผู้เลี้ยงกับผู้รับจ้าง

  ยน.10:11-18 (11)เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ 12ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ชิงเอาแกะไปเสีย และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป 13เขาหนีเพราะเขาเป็นลูกจ้างและไม่เป็นห่วงแกะเลย 14เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา 15ดังที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และชีวิตของเรา เราสละเพื่อแกะ 16แกะอื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว 17ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก 18ไม่มีผู้ใดชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตด้วยใจสมัครของเราเอง เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับคืนอีก คำกำชับนี้ เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา"

  พระคำของพระเจ้าใน ยน.10:11-18 ที่พวกเราได้อ่านร่วมกัน เราพบอะไร ? เราพบว่าพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ได้พูดเอาไว้ 2 ประการด้วยกัน

  ประการที่ 1 คือ ความแตกต่างระหว่างผู้เลี้ยงกับผู้รับจ้าง

  ประการที่ 2 คือ คุณลักษณะที่แตกต่างระหว่างผู้เลี้ยงกับผู้รับจ้าง

  ผมต้องยอมรับกับพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อและผมต้องยอมรับกับพี่น้องอย่างตรงไปตรงมานั่นก็คือว่า คริสตจักรของพระเจ้าในประเทศไทยที่มีอยู่ในเวลานี้ มีทั้งผู้เลี้ยงและมีทั้งผู้รับจ้างอยู่ปะปนกันไปหมด

  Ex.เช่น หลายคนเป็นศิษยาภิบาล , อาจารย์ , ครูผู้สอน , เป็นอนุสาศก แต่ที่เขาเป็นนั้นไม่ใช่เพราะเขาเป็นผู้เลี้ยง แต่เขาเป็นเพราะอะไรครับ ? ตำแหน่ง หน้าที่ การงาน-อาชีพที่ทำให้เขาได้รับเงิน-สวัสดิการและความมั่นคง ครั้นเมื่อคริสตจักรมีอุปสรรคปัญหา เช่น ขาดเงินทำให้ไม่สามารถที่จะจ่ายเงินเดือนเขาได้อีกต่อไป

  ศิษยาภิบาล , อาจารย์ , ครูผู้สอน , อนุสาศกเหล่านี้เขาทำอย่างไรครับ ? เพราะเขาไม่ใช่ผู้เลี้ยง เพราะเขาเป็นเพียงผู้รับจ้างเขาจำเป็นจะต้องมีความห่วงใยอะไรใครไหมครับ ?

  เมื่อคริสตจักรไม่สามารถที่จะจ่ายเงินเดือนให้กับผู้ทำการได้ หรือมีอุปสรรคปัญหาไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามเขาก็พร้อมที่จะเดินจากไป มันก็เท่านั้น อันนี้เป็นความเจ็บปวดของแกะ ของพี่น้องสมาชิกในคริสตจักรในหลายๆทีในหลายๆแห่งด้วยเช่นเดียวกันแต่เราทุกคนต้องอยู่บนความปวดแห่งข้อเท็จจริงนี้ให้ได้

  คำถามก็คือว่า ถ้าเราจะต้องพิจารณาดูว่า 1.ใครเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าหรือผู้เลี้ยงจริงหรือใครเป็นผู้เข้ามาทำงานหาเงินหรือผู้รับจ้างให้เราดูอย่างไรครับ ? ดูจากสถานการณ์หรือวิกฤตและหรือปัญหาที่เกิดขึ้นว่า เขานั้นคิดอย่างไร จะทำอย่างไร จะตัดสินใจอย่างไร

  Ex1. ถ้าเราเอาเงินออกไปจากชีวิตของเขา

  Ex2.เอาคำชมออกไปจากชีวิตของเขา

  สรุปคือ ดูจากการกระทำของเขานั่นแหละหรือการกระทำของเขานั่นแหละเป็นตัวบ่งบอกว่าเขาเป็นผู้เลี้ยงหรือเป็นผู้รับจ้าง

  จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

  ในข้อที่ 11 พระองค์ทรงตรัสว่าเราไม่ใช่เป็นผู้รับจ้างแต่เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ภายหลังจากนั้นพระองค์ทรงวางแบบอย่างเอาไว้ให้กับเราว่า ผู้เลี้ยงที่ดีต้องเป็นแบบไหนอย่างไร

  ผู้เลี้ยงที่ดีต้องเป็นแบบไหนอย่างไรครับ ? ต้องเสียสละ ซึ่งการเสียสละที่ว่านี้ ไม่ใช่เสียสละเวลา ความสามารถ สละปัญญา สละทรัพย์และอื่นๆเพื่อที่จะดูแลฝูงแกะของพระเจ้าเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงการสละซึ่งสิ่งสารพัดอื่นๆด้วยรวมถึงสละแม้กระทั่งชีวิตของตนเองด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้เลี้ยงต้องสละทั้งหมดจนตัวเองและครอบครัวเดือดร้อนหรือไม่มีอะไรจะกินนะครับ แต่นั้นหมายความว่า พระเจ้าอวยพรให้เรามีอะไรก็เพื่อที่เราจะใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นในการเลี้ยงดูแกะของพระเจ้า

  แต่สิ่งต่างๆที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่ในตอนต้น นั่นคือ สละเวลา ความสามารถ สละปัญญา สละทรัพย์สินเงินทองและอื่นๆถ้าเรายังสละให้กับแกะไม่ได้อย่างนี้แล้ว เราจะสละชีวิตของเราให้แกะเป็นไปได้ไหมครับ

  แต่อย่างไรก็ตามผมก็อยากหนุนใจเราว่า ให้เราเลี้ยงแกะของพระเจ้า เพราะผู้ใดเลี้ยงแกะของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูผู้นั้น ผู้เลี้ยงคนใดสละมาก บำเหน็จแห่งสวรรค์ก็จะมากตามไปด้วย

  และนี่เป็นสิ่งที่ผมกับ อ.ดา และผู้รับใช้ของพระเจ้าอีกหลายๆคนต่างตระหนักอยู่เสมอในการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า

  องค์พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสอีกครั้งหนึ่งในข้อที่ 14 ว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา”

  พี่น้องที่รักครับ ความรัก ความผูกพันของพ่อแม่ฝ่ายเนื้อหนังเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติหรือเกิดขึ้นโดยต้องมีใครมาบังคับหรือมีใครต้องมาสอน ไหมครับ ? การเลี้ยงดูอย่างนี้แหละจะทำให้ลูกนั้นไม่เพียงแต่รักและผูกพันกับพ่อแม่เท่านั้นแต่จะทำให้เขาสามารถที่จะจดจำเสียงของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ได้ด้วย

  พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า การเลี้ยงดูแกะนั้นเปรียบเสมือนกับการที่พ่อแม่นั้นเลี้ยงดูลูก ซึ่งผู้เลี้ยงจะต้องให้ความรัก , ความผูกพันต่อแกะ แกะนั้นถึงจะจำเสียงของผู้เลี้ยงได้

  ในข้อที่ 16 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “แกะอื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว”

  แกะที่อยู่ในคอกซึ่งในที่นี้ก็คือคนยิวที่ติดตามพระเยซู พระองค์ก็มีอยู่ แกะอื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้นั่นคือคนต่างชาติที่ติดตามพระเยซูพระองค์ก็มีอยู่ด้วย

  สิ่งที่ผมจะบอกกับพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อและตรงไปตรงมานั่นก็คือ คริสตจักรไทยจำนวนมากที่มีระบบการบริหารในการแบ่งสมาชิกออกเป็นหลายประเภท

  ประเภทที่ 1 สมาชิกสมบูรณ์ สมาชิกประเภทนี้คือ รับเชื่อและรับบัพติสมากับคริสตจักรท้องถิ่นนั้นๆ

  ประเภทที่ 2 สมาชิกสมทบ สมาชิกประเภทนี้คือ รับเชื่อและรับบัพติสมาจากที่อื่นและย้ายจากที่อื่นมามีถิ่นฐานทำกินที่นี่แต่มาเข้าโบสถ์ ประจำสม่ำเสมอ

  ประเภท 3 เยี่ยมเยียน

  แต่ไม่ว่าใครจะเคยเป็นแกะของคอกไหนมาก่อนหรือเป็นสมาชิกของคริสตจักรไหนมาก่อนหน้าที่ของผู้เลี้ยงที่ดีต้องให้แกะเหล่านั้นได้ยินเสียงของพระเจ้า

  เช่นเดียวกับผู้เชื่อหรือแกะของพระเจ้าไม่ว่าคุณจะเคยรับเชื่อและบัพติสมาจากคอกไหนหรือจากคริสตจักรไหนมาก่อนและในเวลานี้เมื่อท่านมาอยู่ในคริสตจักรนั้นแล้วและไม่ว่าท่านจะถูกจัดให้เป็นสมาชิกประเภทไหนก็ตามเมื่อมาถึงตรงนี้

  พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า แกะจะต้องรู้ว่าโดยแท้จริงแล้วผู้เลี้ยงนั้นจะต้องมีคนเดียวและเสียงที่แกะจะต้องฟังอย่างแท้จริงแล้วนั้นมีเพียงเสียงเดียวนั่นก็คือเสียงขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ซึ่งเวลานี้พระองค์ทรงตรัสผ่านทางพระวจนะคำของพระองค์ผ่านทางผู้รับใช้ของพระองค์

  พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 14 ตรัสว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา”

  พระคำของพระเจ้าปลายข้อที่ 14 บอกกับเราว่า ไม่ใช่ผู้เลี้ยงเท่านั้นที่ต้องรู้จักแกะแต่แกะก็จำเป็นจะต้องรู้จักเสียงของผู้เลี้ยงด้วย ดังนั้นแกะที่ 1.ดื้อ 2.มีปัญหา 3.ตัวอ้วน 4.ตาฝ้าฟาง 5.เป็นภัยต่อฝูง ผู้เลี้ยงหรือเจ้าของคอกและหรือเจ้าของฟาร์มเขาก็จะต้องจัดการอันนี้เป็นเรื่องปกติ

  ถ้าพี่น้องไปท่องเที่ยวอิสราเอลและไปเที่ยวฟาร์มที่เขาเลี้ยงแกะจริงๆ พี่น้องก็จะเห็นภาพการตัดขนแพะแกะ เอาไม้เท้าคล้องหรือเกี่ยวคอแกะ แกะที่ชอบออกนอกเส้นทางหรือตัวที่มันดื้อมากเขาก็จะหักขาแล้วแบกขึ้นบ่าเพื่อมันจะได้อยู่ในฝูงหรืออยู่ในฝูงได้อย่างสงบ

  แต่ในคอกหรือในคริสตจักรของพระเจ้าเราไม่ได้มีการทำอย่างนั้น (ยกเว้นถ้าพี่น้องมีการนำคำสอนที่ผิดหรือหว่านนำความแตกแยกเข้ามาในคริสตจักรผู้นำก็ต้องลุกขึ้นจัดการในเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด)

  ผู้นำคริสตจักรไทยหลายคนที่มีแกะซึ่งไม่เต็มใจให้เขาสอน ไม่เต็มใจให้เขาสร้าง เขาก็จะไม่สอน เขาก็จะไม่สร้าง เขาก็จะไม่สนใจ

  คำถามคือว่า การที่ผู้เลี้ยงไม่สนใจแกะสาเหตุเพราะอะไรครับ ? เพราะคุณไม่ได้ Submit หรือคุณไม่ได้ยอมอยู่ในการเชื่อฟังของเขา เขาก็ปล่อยให้คุณเดินตามที่คุณอยากเดินนั่นแหละเหมือนอย่างที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงปล่อยให้สาวกคนหนึ่งที่ชื่อว่า ยูดาส อิสคาริโอท เดินตามที่ใจปรารถนาของเขา

  กลับมาที่การเลี้ยงดูแกะอีกครั้งหนึ่งซึ่งผมได้กล่าวไปแล้วว่าการเลี้ยงดูแกะนั้นเปรียบเสมือนกับการที่พ่อแม่นั้นเลี้ยงดูลูก

  คำถามก็คือว่า คนที่เป็นพ่อ , เป็นแม่หรือเป็นผู้เลี้ยงที่จะต้องให้ความรัก ความผูกพันแก่ลูกมากน้อยแค่ไหนครับ ? ตลอดชีวิต

  พระคำของพระเจ้าตรัสว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดีเพราะอะไรครับ ? เพราะพระองค์ทรงให้ชีวิตทั้งชีวิตและตลอดชีวิตก็เพื่อเราทั้งหลาย เกิดมาเพื่อเรา ลำบากเพื่อเรา กลางวันรับใช้ กลางคืนถูกจับกุม ถูกตีรับรอยแผลเฆี่ยน ถูกตรึงกางเขนและตายเพื่อเรา ฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อเราพระองค์ทรงให้ชีวิตของพระองค์แก่เราตลอดชีวิตของพระองค์

  ก่อนจะขึ้นไปอยู่กับพระบิดาทรงสัญญาว่าจะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาอยู่กับเราจนกว่าจะสิ้นยุค  พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ไม่มีวันเกษียณ เป็นผู้เลี้ยงที่ให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

  ในข้อที่ 18 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “แต่เราสละชีวิตด้วยใจสมัครของเราเอง” องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ว่าจะประกาศ เป็นพยาน เทศนาสั่งสอน ให้การอภิบาลสาวกด้วยใจสมัครหรือด้วยความสมัครใจ

  หลายคนประกาศ เป็นพยาน แต่พอให้เลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่หลายคนไม่สมัครใจที่จะเลี้ยงดู เพราะการเลี้ยงดูแกะของพระเจ้ามันปัญหาเยอะ

  คำถามคือว่า ทำไมองค์พระเยซูคริสต์เจ้าถึงได้มอบฉันทะภาระให้เราทำตาม มธ.28:19-20 อย่างครบวงจร เพราะอะไรครับ ?

  พี่น้องพอเวลาไปเดินห้าง แล้วเขามี Boot เล็กๆแนะนำสินค้าใหม่ๆมาให้ชิม มาให้ชม เรามักเดินเข้าไปชิม มักเข้าไปชม รับของแจกของแถม ถูกต้องไหมครับ ?

  องค์พระเยซูคริสเจ้าอยากให้คุณได้มีส่วนร่วมในการได้ลิ้มรสชาติของพระองค์ดูว่าเป็นอย่างไร แม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของชีวิตก็ตาม ประกาศ เป็นพยานแล้วถูกเขวี้ยงหรือถูกขว้าง ถูกต่อต้านมันเป็นอย่างไร การโดนแกะถูกตัดพ้อต่อว่า มีความไม่พึงพอใจหรือทรยศหักหรือหักหลังมันเป็นอย่างไร ?

  มธ.28:19-20 นอกจากจะเป็นพระมหาบัญชาที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ตรัสสั่งให้เราทั้งหลายได้กระทำแล้ว พระองค์ทรงเชิญชวนเราด้วยอีกอย่างหนึ่งว่า

  อย่าลืม...ลิ้มลองรสชาตินี้ดูด้วยนะ

  คุณจะได้ลิมลองรสชาตินี้เมื่อพี่น้องได้ลี้ยงดูจิตวิญญาณคน

  มีคริสเตียนเยอะแยะมากมายในประเทศไทยที่มานมัสการ ถวายทรัพย์ กินข้าวแล้วกลับบ้าน อีกทั้งยังมาเสนอแนะว่าโบสถ์ต้องทำอย่างนั้น ศิษยาภิบาล ต้องทำอย่างนี้

  ทำไมพี่น้องไม่ลองมาเป็น อ.ก้อง อ.ดา หรือทำไมพี่น้องไม่ลองไปบุกเบิกหรือก่อตั้งคริสตจักรดูบ้าง ว่าการอภิบาลสมาชิกที่มีที่ไปแบบร้อยแปดพันเก้ามันเป็นอย่างไร ผมอยากจะบอกกับพี่น้องอย่างตรงไปตรงมาอย่างหนึ่งนะครับว่า ถ้าคุณไม่ได้มาสวมรองเท้าคู่เดียวกันกับผมพี่น้องจะไม่มีวันเข้าใจ

  หลายคนประกาศ เป็นพยาน แต่พอให้เลี้ยงดูผู้เชื่อใหม่หลายคนไม่สมัครใจที่จะเลี้ยงดู เพราะการเลี้ยงดูแกะของพระเจ้ามันปัญหาเยอะไหม ? มีไม่กี่คนหรอกที่ผมกับ อ.ดาร์ ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาให้และผมกับ อ.ดาร์ ก็ไม่ปรารถนาที่จะพูดถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้

  ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงไม่อยากที่จะประกาศ เป็นพยานหรือเป็นเลี้ยงดูจิตวิญญาณผู้อื่น ซึ่งผมอยากจะบอกกับพี่น้องว่าส่วนมากที่ปฎิเสธนั้นเพราะพี่น้องมีความเข้าใจผิด ที่ถูกต้องแล้วงานของผู้เลี้ยงคืองานเจียรระไนชีวิตคน งานของผู้เลี้ยงเป็นงานที่เอาชีวิตของคนไม่สมบูรณ์มาแบกไว้ที่ตัว

  องค์พระเยซูคริสต์ทรงเรียก 12 สาวกมาแบกไว้ในชีวิตของพระองค์ สิ่งที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้คือ ทั้ง 12 สาวกไม่มีใครปฎิเสธพระเยซู เมื่อเขายอมให้ผู้เลี้ยงที่ดีสร้างชีวิตของเขาใหม่ ชีวิตทั้ง 12 ชีวิตจึงมีชีวิตที่สวยงาม ทั้ง 12 ชีวิตจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่คว่ำโลก

  เช่นเดียวกันถ้าเราอยากเห็นใครสักคนมีชีวิตที่สวยงามมีค่า คุณต้องเลี้ยงดูเขาด้วยพระวจนะของพระเจ้า เอาชีวิตของเขานั้นมา Fixture คือให้อยู่ในกรอบหรือในกฎเกณฑ์ชีวิตของเขาจะมีประโยชน์

  รางรถไฟจะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีรถไฟ รถไฟจะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีรางรถไฟ แต่มันจะมีประโยชน์อย่างแน่นอนถ้าทั้งรางรถไฟและรถไฟต่างยอมอยู่ภายใต้ Fixture หรือ Shape ของกันและกัน แต่นั่นหมายความว่า แกะก็ต้องยอมหรือมีความยินดีเต็มใจที่จะรับการถูกสร้างจากผู้เลี้ยงด้วยนะครับ

  คำถามที่น่าสนใจนั่นก็คือว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีวิธีในการเลี้ยงแกะอย่างไร ?

  1.เลี้ยงแกะต้องเลี้ยงให้โต โตในที่นี้คือ โตทั้งในฝ่ายร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณด้วย ซึ่งนั่นหมายความ แกะจะโตด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้

  2.เลี้ยงแกะต้องนำแกะไปในทิศทางที่ถูกต้อง ทำอย่างไรโดยให้เขาตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานแห่งพระวจนะ ไม่ใช่ตั้งมั่นอยู่ที่ตัวผู้เลี้ยงหรือให้เขาตั้งมั่นอยู่ในตัวของผู้นำ

  ถ้าผู้เลี้ยงคนใดเลี้ยงดูแกะของพระเจ้าโดยให้แกะตั้งมั่นอยู่ที่ตัวของผู้เลี้ยง คุณกำลังสอนให้เขาอยู่ในลัทธิบูชาผู้นำ ซึ่งคริสตจักรใดก็ตามที่มีการเลี้ยงแกะแบบนี้ก็ยากที่จะเข้าร่วมในการสามัคคีธรรมกับคริสตจักรอื่นๆ เหมือนบางคริสตจักรที่เป็นอยู่ในเวลานี้

  3.เลี้ยงแกะโดยปกป้องแกะออกจากคำสอนผิด คำสอนที่ไม่ถูกต้องหรือปกป้องเขาออกจากความคิดที่ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งพระวจนะแต่การตัดสินใจเป็นเรื่องของเขา

  4.ปกครองแกะ โดยให้แกะในคอกอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

  ปัจจุบันหลายองค์กร องค์กร หน่วยงานหรือหลายคริสตจักรจึงมีการเขียนธรรมนูญ กฎบัตรหรือกติกาในการปกครองขึ้นมาเพื่อใช้ในการบริหารจัดการคริสตจักร

  5.เมื่อแกะโตแล้ว แกะตัวนั้นจะต้องไปเสริมสร้างและพัฒนาให้แกะตัวอื่นเติบโตขึ้นเพื่อขยายแผ่นดินของพระเจ้าและอาณาจักรของพระองค์

  ทั้ง 5 ประการนี้เป็นสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้กระทำเอาไว้เป็นแบบอย่างและพระองค์ทรงทำมาตลอด 3 – 3.5 ปีในขณะที่พระองค์ทรงรับใช้พระบิดาอยู่ในโลกใบนี้

  ดังนั้นผู้เลี้ยงจะต้องมีเป้าหมายอย่างนี้ ไม่ใช่เลี้ยงแบบไม่มีเป้าหมาย และจะต้องทำ 5 ประการอย่างนี้ตลอดชีวิตในการเลี้ยงแกะของพระเจ้าด้วย

  ปัญหาก็คือเวลานี้คริสเตียนไทยโดยส่วนมากประกาศเป็นพยานส่วนตัว เรายังไม่ค่อยที่จะประกาศส่วนตัวกันสักเท่าไหร่ ดังนั้นการเลี้ยงดูแกะคงยังไม่ต้องพูดถึง

  ขอพระเจ้าเมตตาที่เราจะรักในการประกาศเป็นพยานส่วนตัวและฝึกที่จะตั้งครรภ์ในฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่เป็นหมันในฝ่ายวิญญาณ เพื่อที่พี่น้องจะมีโอกาสได้เลี้ยงดูลูกฝ่ายวิญญาณ น้องเลี้ยงฝ่ายวิญญาณ ลูกแกะของพระเจ้าตาม 5 ประการที่ได้กล่าวมา ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า “ผู้ใดประกาศเป็นพยานพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูผู้นั้น ผู้ใดเลี้ยงดูแกะ พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูผู้นั้น”

Green City