เป้าหมายในชีวิตของผู้เชื่อ

คำเทศนาเรื่อง เป้าหมายในชีวิตของผู้เชื่อ

                

สวัสดีวันปีใหม่ครับพี่ - น้องที่รัก พี่ - น้องมีความชื่นชมยินดีนะครับที่ได้มีโอกาสพบกันในเช้าวันนี้ ขอถือโอกาสนี้ต้อนรับพี่ - น้องที่ได้มีโอกาสมาร่วมนมัสการพระเจ้าในเช้าวันนี้ด้วยนะครับ และในเช้าวันนี้พี่ - น้องพร้อมที่จะฟังพระคำของพระเจ้าหรือยังครับ  

และเราจะตื่นเต้นไปกับพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ด้วยกัน โดยผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้า จากพระธรรม มธ.28:18 - 20 และในหนังสือ อฟซ.3:19

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่พระวจนะของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า เป้าหมายในชีวิตของผู้เชื่อ ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

มีบุคคลผู้หนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเป็นใครนะครับ เขาได้กล่าวเอาไว้สั้นๆอย่างนี้ครับพี่ - น้องที่รัก เขากล่าวว่า เดินเรือต้องมีเข็มทิศ ดำเนินชีวิตต้องมีเป้าหมาย ซึ่งโดยส่วนตัวของผมแล้วพี่ - น้องที่รัก ผมมีความเห็นด้วยเป็นอย่างมากกับข้อความนี้หรือกับคำพูดนี้

ดังนั้นพระวจนะคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ จะพูดอย่างเฉพาะเจาะจงกับคนที่มีเป้าหมายหรือมีแผนงานในชีวิต เพื่อท่านจะได้มีเป้าหมายหรือแผนงานในชีวิตที่สมบูรณ์และสมดุลมากขึ้น

และรวมทั้งพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ ก็จะพูดกับคนที่ไม่มีเป้าหมายหรือแผนงานในชีวิตด้วย เพื่อที่ท่านจะเป็นบุคคลที่มีเป้าหมายในชีวิตกับเขาด้วยเช่นกัน และเมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ผมก็นึกถึงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้เรื่องมีอยู่ว่า

มีพี่ - น้องสมาชิก 2 ท่านบอกกับผมว่าอาจารย์ชีวิตของเขานั้นมีเป้าหมาย

ผมถามคนแรกว่า เป้าหมายในชีวิตของคุณในปีหน้านั้นคืออะไร ?

เขาตอบผมว่า เขาขอดำเนินชีวิตไปเพียงแค่วันหนึ่งๆ หรือให้มันผ่านไปวันหนึ่งๆเท่านั้น พี่ - น้องคิดว่าอันนี้เป็นเป้าหมายไหมครับ ? เป็นเป้าหมายเหมือนกันแต่ดูแล้วมันไร้อนาคตอย่างไรก็ไม่รู้

พี่ - น้องสมาชิกอีกท่านหนึ่งบอกกับผมว่า ปีหน้านั้น เขาอยากจะมีสิ่งนั้น

เขาอยากที่จะมีสิ่งนี้ แล้วเขาก็พรั่งพรูในสิ่งที่เขาได้วางแผนเอาไว้ออกมา ซึ่งก็เป็นเรื่องในฝ่ายเนื้อหนังทั้งนั้นเลย พี่ - น้องคิดว่าเป้าหมายของคนที่ 2 นี้เป็นเป้าหมายไหมครับ ? เป็นเป้าหมายเหมือนกันซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ไม่ดี

แต่ในฐานะที่พี่ - น้องและผม เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เราจะมีเป้าหมายในฝ่ายร่างกายหรือเราจะมีเป้าหมายในฝ่ายเนื้อหนังเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ แต่เราควรที่จะต้องมีการวางเป้าหมายในฝ่ายจิตวิญญาณเอาไว้ในชีวิตแห่งความเชื่อของเราด้วย

คำถามก็คือว่า แล้วเป้าหมายอะไรเล่า ที่มันมีคุณค่าหรือมีความสำคัญมากกว่ากัน ระหว่างเป้าหมายในฝ่ายเนื้อหนังกับเป้าหมายในฝ่ายจิตวิญญาณ

ปฐก.2:7 พระคำของพระตรัสว่า พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ขึ้นมาจากผงคลีดินหรือธุลีดิน ผมขออนุญาตที่จะขีดเส้นใต้เอาไว้แค่ตรงนี้ก่อนนะครับ

พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ชี้ให้เราเห็นว่า ร่างกายนั้นเป็นเพียงแค่เปลือกนอกที่ไม่มีชีวิต และพระคำของพระเจ้าในข้อเดียวกันนี้ยังได้ตรัสต่อไปอีกว่า และทรงระบายลมปราณ หรือลมหายใจ และหรือจิตวิญญาณแห่งชีวิตของพระองค์ลงไปหรือเข้าไปทางจมูกของมนุษย์ มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต พระคำของพระเจ้าตรงนี้ชี้ให้เราเห็นว่า คุณค่าของมนุษย์เรานั้นมาจากพระวิญญาณของพระเป็นเจ้า

ดังนั้นเราเองก็ควรที่จะให้คุณค่าและความสำคัญแก่ชีวิต อย่างที่พระองค์นั้นทรงให้แก่เรา

ดังนั้นคำถามที่ว่า แล้วเป้าหมายอะไรเล่า ที่มันมีความสำคัญมากกว่ากันระหว่างเนื้อหนังกับฝ่ายจิตวิญญาณ ? ขอพี่ - น้องช่วยตอบด้วยเสียงที่ดัง

Answer : เป้าหมายในฝ่ายจิตวิญญาณ

จริงหรือเปล่าที่พี่ - น้องต่างให้ความสำคัญกับเป้าหมายในฝ่ายจิตวิญญาณ

เพราะที่ผมเห็นๆนั่นก็คือพี่ - น้องในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราหลายคนทั้งในคริสตจักรฯ นี้และต่างๆคริสตจักรฯ ต่างวางเป้าหมาย ลงทุน ลงแรง ต่างทุ่มสุดตัวหรืออย่างสุดกำลัง ในการที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจหรือในอาชีพการงานของพี่ - น้องเองทั้งสิ้น

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีพี่ - น้องของเราท่านหนึ่งมาหาผมพร้อมกับภรรยาที่คริสตจักรฯ บอกกับผมว่า อาจารย์ครับ ผมฝากท่านอาจารย์อธิษฐานเผื่อด้วย เพราะปีหน้าเขาจะขยายพลาซ่าขึ้นอีกเฟสหนึ่ง เพื่อรองรับโรงแรมที่จะเกิดขึ้นที่อัมพวาอีก 2 แห่ง แห่งหนึ่งลงทุนโดยชัยวัฒน์ลิสซิ่งมูลค่า 50 ล้าน อีกแห่งหนึ่งลงทุนโดยนักค้าเพชร ค้าพลอยจากกรุงเทพฯ มูลค่า 200 กว่าล้านบาทและเขาก็ให้ของขวัญปีใหม่ผมกับ อ. ดา แล้วก็ขอตัวกลับ

ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว ผมตั้งใจฟังว่าเขาจะแบ่งปันเป้าหมายหรือแผนงานในฝ่ายจิตวิญญาณในปีหน้าให้ผมฟังสักหน่อย ว่าเขาจะทำอะไรเพื่อพระคริสต์แต่กับไม่มีเลย นี่ก็เป็นตัวอย่างง่ายๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าหลายๆ คนนั้น มีเป้าหมายที่จะประสบความสำเร็จในฝ่ายเนื้อหนังด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะครับพี่ - น้องที่รัก

แต่เราในที่ฐานะที่ได้ชื่อว่าเป็น 1. ผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ 2. ลูกของพระเจ้า เราควรจะต้องมีการวางเป้าหมายอย่างสมดุล ทั้งเป้าหมายในฝ่ายร่างกายและเป้าหมายในฝ่ายจิตวิญญาณด้วยพี่ - น้องที่รัก

ซึ่งในเช้าวันนี้พระคำของพระเจ้า คงจะไม่กล่าวถึงเป้าหมายในฝ่ายร่างกายหรือเป้าหมายฝ่ายเนื้อหนังของพี่ - น้องแต่อย่างใดเพราะทุกคนมืออาชีพอยู่แล้ว แต่จะกล่าวถึงเป้าหมายในฝ่ายจิตวิญญาณแต่เพียงอย่างเดียว

และเป้าหมายในฝ่ายจิตวิญญาณอย่างแรก ที่ผู้เชื่อทุกคนควรจะวางเอาไว้ในชีวิตของตนนั่นก็คือ การเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าจะทรงโปรดใช้การได้

คำถามก็คือว่า ใครเป็นคนวางเป้าหมายนี้เอาไว้ให้กับเรา ?

คำตอบก็คือ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นผู้วางเป้าหมายนี้เอาไว้ให้กับเราทุกคน ซึ่งนั่นหมายความว่า จากนี้ต่อไปพี่ - น้องและผมจะมาเป็นเพียงแค่ผู้เชื่อเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้ แต่พี่ - น้องและผมจะต้องมีเป้าหมายในการที่จะพัฒนาความเชื่อของพี่ - น้องและผมไปสู่การเป็นธรรมิกชน และการสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่พระองค์จะทรงโปรดใช้การได้

ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาใหม่ ได้มีกล่าวถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเอาไว้ 4 ประการ

ประการที่ 1 อยู่ใน ลก.14:26-27 พระคำของพระเจ้าตรัสว่าคนที่จะมีคุณสมบัติในการเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่พระองค์จะทรงโปรดใช้การได้นั้นเขาจะต้องมีเป้าหมาย ในการที่จะรักพระองค์มากเป็นที่สุดหรือรักพระองค์มากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้

สิ่งที่พี่ - น้องจะต้องมีความเข้าใจให้ตรงกันกับพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ นั่นก็คือว่า พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ไม่ได้ห้ามเราที่จะรักบิดา มารดาของตน และพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ก็ไม่ได้ห้ามที่เรานั้นจะรักญาติพี่ - น้องหรือวงศ์วานญาติเครือของตนแต่ประการใด แต่สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือว่าเราจะต้องไม่ให้ความรักใดๆในโลกนี้มาเป็นอุปสรรค ขัดขวาง ทำให้ความรักที่เรามีต่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นดูด้อยค่าไป

ในทางตรงกันข้ามพี่ - น้องที่รักพระคำของพระเจ้าในตอนนี้กับที่จะบอกกับเราว่าอย่างสัตย์ซื่อว่า เมื่อเราสามารถที่จะรักพระองค์ได้อย่างถึงที่สุดแล้ว นั่นก็คือ อย่างสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด

เหมือนดั่งพระคำของพระเจ้า ที่ได้ตรัสเอาไว้ในหนังสือ ลก. 10 : 27 ความรักที่เรารักพระองค์อย่างนี้เนี้ยแหละ จะเป็นเหตุทำให้เรา 1. รักผู้อื่นได้ 2. รักซึ่งกันและกัน 3. รักคนที่ไม่น่ารัก 4. รักได้แม้กระทั่งศัตรูของเรา

สิ่งที่สำคัญประการหนึ่งในความรักนี้ นั่นก็คือ การสำแดงออกมาถึงแม้ว่าโลกนี้ 1. อาจจะมีคำพูดในทำนองที่ว่า รักนะแต่ไม่แสดงออก นั่นก็คือ เรื่องของโลกนี้ 2. อาจจะมีบทเพลงที่ขับร้องในทำนองที่ว่า แอบรักเธออยู่ในใจ เก็บไว้ในหัวใจแอบอิง มันก็เป็นเรื่องของบทเพลงในโลกนี้ แต่มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับโลกของพระเจ้า ซึ่งเป็นโลกฝ่ายจิตวิญญาณ

            พี่ - น้องลองคิดดูนะครับว่า ถ้าพระเจ้าตรัสกับเราว่า รักนะจุ๊บ จุ๊บ แต่ไม่แสดงออก หรือถ้าพระเจ้าร้องบทเพลงในทำนองที่ว่า แอบรักเธออยู่ในใจเก็บไว้ในหัวใจแอบอิง วันทั้งวันฉันรักเธอยิ่ง และพระองค์ไม่ทำอะไรเลย

คำถามก็คือว่า เมื่อพวกเราจะต้องจากหรือตายจากโลกนี้ไปแล้ว พวกเราจะพากันไปอยู่ที่ไหนครับ ? บึงไฟนรก

ดังนั้นความรักขององค์พระเยซูคริสต์จึงต้องสำแดงออกมา

            พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ยน. 21 : 17 ทำให้เราทราบว่า เปโตร ตรัสกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่า ข้าพระองค์รักพระองค์ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงตรัสกับเปโตรว่า อย่างนั้นจงรับใช้เรา จงเลี้ยงดูฝูงแกะของเรา

            นี่คือเป้าหมายในฝ่ายจิตวิญญาณ ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ได้ทรงมอบเอาไว้ให้กับเปโตร รวมทั้งเป็นเป้าหมายในฝ่ายจิตวิญญาณ ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมอบเอาไว้ให้กับพี่ - น้อง คจ. ใจสมานสมุทรสงครามรวมทั้งพี่ - น้องในพระกายเดียวกันทั่วทุกคริสตจักรในประเทศไทย

คำถามก็คือว่า วันนี้พี่ - น้องได้มีการวางเป้าหมายหรือแผนงานที่ว่านี้ เอาไว้ในชีวิตแห่งความเชื่อของพี่ - น้องหรือไม่ ถ้าพี่ - น้องยังไม่ได้มีการวางเป้าหมายหรือแผนงานในฝ่ายจิตวิญญาณนี้เอาไว้

ผมขอหนุนนำท่าน ให้ได้วางเป้าหมายในเอาไว้ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดใช้ท่านมากขึ้น

คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์

ประการที่ 2 อยู่ใน ลก. 14 : 33 พระคำของพระเจ้าตรัสกับเราอย่างชัดเจนว่า “ ท่านมิได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเรามิได้ ”

ประการที่ 2 นั่นก็คือ ต้องยอมเสียสละหรืออุทิศทุกสิ่งแด่พระองค์

เป็นความจริงพี่ - น้องที่รัก ที่ทุกๆ คนนั้นต่างต้องการที่จะมีชีวิตที่มั่นคง และด้วยเหตุนี้กระมัง เราทุกคนจึงมุ่งหน้าตั้งตาในการทำมาหาเก็บ รวมทั้งเราต้องการที่จะครอบครองบางสิ่ง บางอย่างที่เราทำมาหาได้เอาไว้ในชีวิตของเรา อีกทั้งเราไม่ต้องการที่จะสูญเสียอะไรมากมายนัก แต่ถ้าฉันได้ฉันเอาอะไรประมาณนี้ แต่ผู้เชื่อที่จะมีคุณสมบัติในการเป็นสาวก ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่พระองค์จะทรงโปรดใช้การได้นั้น เขาจะต้องมีท่าทีที่ว่า ทุกสิ่งและทุกอย่างที่เขาครอบครองอยู่นั้นเป็นของพระเจ้า

พระวจนะคำของพระเจ้าใน รม. 12 : 36 ตรัสว่าเพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ ดังนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า ทุกสิ่งและทุกอย่างที่เรามีหรือที่เรากำลังครอบครองอยู่นั้นมันไม่ใช่ของเราและไม่ใช่เพื่อเรา แต่เป็นของพระองค์และเพื่อพระองค์เท่านั้น

อาจจะกล่าวได้ว่า เป้าหมายของการเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นจะต้องมีคุณลักษณะ 1. ที่ไม่หวงสิ่งดีใดๆ เอาไว้เลย 2. ที่ยอมอุทิศทุกสิ่งเพื่อพระสิริของพระเจ้าหรือเพื่ออาณาจักรของพระองค์

พี่ - น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดจากนี้ต่อไปให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดนั่นก็คือว่า การที่เราไม่หวงสิ่งดีใดๆเอาไว้เลย ก็เพื่อที่เรานั้นจะได้รับพระพรอันยิ่งใหญ่จากพระเจ้า และการที่เรายอมอุทิศทุกสิ่ง และทุกอย่าง เพื่อพระสิริของพระเจ้าหรือเพื่ออาณาจักรของพระองค์นั้น ก็เพื่อที่เราทั้งหลายนั้นจะได้รับพระพรที่ไม่รู้จักจบสิ้นจากพระเจ้า ( อาเมนอยู่ที่ไหน )

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมอัครสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าทั้ง 11 คน + อ. เปาโล อีกหนึ่งคนเป็น 12 คน ถึงได้มีใจกล้าที่จะถวายชีวิตของเขา ให้กับองค์พระยซูคริสต์เจ้าอย่างสุดๆ

เวลานี้ชื่อของอัครทูตทั้ง 12 คนนี้ ได้เคียงคู่กับข่าวประเสริฐของพระเจ้ามาแล้วกี่ปีครับ 2013 ปี และนี่คือพระพรที่ไม่รู้จักจบสิ้น ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมอบให้กับสาวกของพระองค์

มีบทเพลงนมัสการพระเจ้าบทเพลงหนึ่งร้องอย่างนี้ครับว่า ข้ายอมทุกสิ่ง จะเชื่อฟังพระองค์ทุกอย่าง ส่วนที่เราร้องก็ร้องกันไป ซึ่งโดยแท้จริงแล้วส่วนที่เราร้องไปนั้นเราจะยังทำไม่ได้ ในการที่จะอุทิศทุกสิ่งและทุกอย่างของพี่ - น้องให้กับได้ พระองค์ก็คงไม่ว่าอะไรท่าน ในเมื่อท่านไม่พร้อม

แต่ถ้าพี่ - น้องเสียสละซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ให้กับพระองค์ไม่ได้ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่พี่ - น้องทุกคนทำได้ เช่น การที่พี่ - น้องเสียสละเวลาในการเข้ามาร่วม

1.ศุกร์อธิษฐาน            2.กลุ่มเซลล์ระหว่างสัปดาห์

3. ศึกษาพระวจนะของพระเจ้า 4. หนุนใจและอธิษฐานเผื่อผู้อื่น

5. กลุ่มประกาศหรือสละความสุขส่วนตัวบางอย่างเพื่องานของพระเจ้า

6. นมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์และอยู่ร่วมสามัคคีธรรมกับพี่ - น้องในคริสตจักร

ถ้าพี่ - น้องยังไม่สามารถที่จะเสียสละสิ่งต่างๆเหล่านี้ให้กับพระองค์ได้ ผมก็คิดว่าพี่ - น้องเองก็สมควรที่จะพิจารณาตัวเองสักนิดหนึ่ง ในการที่พี่ - น้องจะแนะนำตัวเองให้กับคนอื่นได้รู้จัก สอดคล้องกับระดับความเชื่อและวิถีชีวิตของท่านว่า ตัวของท่านเองนั้นเป็นเพียงแค่ผู้เชื่อ หรือเป็นธรรมิกชน และหรือเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้ากันแน่

ซึ่งโดยแท้จริงแล้วคำว่า คริสเตียน นั้นเขาใช้เรียกขานเฉพาะผู้เชื่อในยุคแรกเท่านั้น ภายหลังจากนั้นจนถึงวันนี้มีเพียงแค่ผู้เชื่อ ธรรมิกชนและสาวกเท่านั้นแต่เราก็มักจะเรียก คริสเตียน กันติดปากเรื่อยมา

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมเชื่อว่าพี่ - น้องเสียสละหรือทำได้อย่างแน่นอน คำถามก็คือว่าท่านจะทำไหม ? และนี่เป็นคุณสมบัติอย่างง่ายๆของการเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า

            มีบุคคลกล่าวเอาไว้อย่างนี้ครับว่าคนส่วนใหญ่ที่ไม่สามารถพาตัวเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้ได้ เพราะเขามักจะมีข้ออ้างให้กับตัวเองเสมอบางคนสามารถที่จะสร้างตรรกะหรือเหตุผลที่สวยหรู แค่เพียงเพื่อใช้เป็นข้ออ้างที่ทำให้เขาอยากที่จะหยุดทำตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ และทำให้ตัวเองไม่รู้สึกผิดรวมทั้งสร้างความรู้สึกให้คนอื่นเข้าใจว่า ที่เขาต้องหยุดเป้าหมายเอาไว้นั้นเพราะมันมีความจำเป็นจริงๆ อย่าให้เราเป็นคนอย่างนั้น

            ดังนั้นในสิ่งต่างๆ ที่ผมได้กล่าวมาถ้าพี่ - น้องยังทำไม่ได้พี่ - น้องช่วยจำแนกการแนะนำตัวเองให้ถูกต้องและชัดเจนด้วยว่าโดยแท้จริงแล้วท่านเป็นใคร

เพราะอะไรผมถึงกล่าวอย่างนั้น ? เพราะผู้เชื่อก็มีลักษณะของการดำเนินชีวิตอย่างหนึ่ง ส่วนคำว่า ธรรมิกชน นั้นมีความหมายว่า ผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ก็มีลักษณะของการดำเนินชีวิตอย่างหนึ่ง ส่วน สาวก ก็มีลักษณะของการดำเนินชีวิตอีกอย่างหนึ่งไม่เหมือนกัน ซึ่งในบ่ายวันนี้เราจะมีการต่อยอดกันในเรื่องนี้ในการสามัคคีธรรมในตอนบ่าย

คุณสมบัติประการที่ 3 ของผู้ที่จะเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่พระองค์จะทรงโปรดใช้การได้นั้นเขาจะต้องมีเป้าหมาย อยู่ในหนังสือ 2 ทมธ.2 : 2

            ประการที่ 3 พระคำของพระเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่า เขาจะต้องเป็นบุคคลคนที่สัตย์ซื่อและสามารถที่จะสอนคนอื่นได้

            พี่ - น้องที่รักครับ อ. เปาโล ได้กำชับทิโมธี เอาไว้ผ่านพระคำของพระเจ้าในข้อนี้อาจจะกล่าวได้ว่าพระคำใน2ทมธ.2:2 นี้เป็นเหมือนกุญแจดอกสำคัญในการสร้างสาวก

อีกนัยหนึ่งนั่นก็คือว่า คนที่สัตย์ซื่อเขาจะยอมรับเป้าหมาย ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงมอบให้กับเราเอาไว้ใน มธ. 28 : 19 - 20 นั่นก็คือ เขาจะรับคำสั่งสอน รวมทั้งมอบคำสั่งสอน และสืบทอดเจตนารมณ์ ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกอย่าง ในการที่จะให้แผ่นดินของพระเจ้านั้นมาตั้งอยู่ และทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดานั้นสำเร็จ

            ดังนั้น คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นเขาจะต้องเคร่งครัดในการที่จะรับใช้อย่างเคร่งครัดเหมือนกับทหารที่ดีของพระเยซู

พระคำของพระเจ้าในข้อนี้พูดถึง คนที่สัตย์ซื่อ

คนที่สัตย์ซื่อ ในที่นี้หมายถึง เขาจะต้องมีมีฉากหน้าและฉากหลังของชีวิตที่เหมือนกัน ไม่ใช่ฉากหน้าของเขานั้นเหมือนฟ้าลัดดา แต่ฉากหลังของเขานั้นเหมือนผีอีเม้ยมันต้องไม่ใช่อย่างนั้น

พระคำของพระเจ้าในข้อนี้พูดถึง คนที่สามารถจะสอนผู้อื่นได้

และคนที่สามารถจะสอนคนอื่นได้นั้น เขาจะต้องยอม 1. ถูกสร้างก่อน 2. อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจในฝ่ายวิญญาณ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดเจิมตั้งผู้นั้นเอาไว้ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็น ศิษยาภิบาล หรือผู้นำในคริสตจักรและหรือผู้ปกครองในคริสตจักรก็ตาม

ดังนั้นถ้าพี่ - น้องจะเป็นผู้ที่สอนคนอื่นได้ดี พี่ - น้องจะต้องยอมที่จะถูกสร้างก่อน พี่ - น้องถึงจะไปสร้างผู้อื่นได้ เหมือนกับสาวกทั้ง 11 คนที่ยอมให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าสร้างทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณ

ในฝ่ายร่างกาย ก็คือ การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน กิน ดื่ม หลับนอนด้วยกัน

ในฝ่ายจิตวิญญาณ ก็คือ อธิษฐานด้วยกัน นมัสการด้วยกัน รับใช้ด้วยกัน

เข้าใจในนิมิต ปรัชญาและเป้าหมาย และจึงถูกส่งออกไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของพระเจ้ารวมทั้งทำตามพระประสงค์ของพระองค์

พี่ - น้องที่รัก เพชรน้ำเอก มันจะส่องประกายแวววาวในทุกแง่มุมได้ มันต้องผ่านการเจียระไนมาอย่างดี เช่นเดียวกับ ทองนพคุณ ที่บริสุทธิ์สุกใส มันก็จะต้องผ่านการหลอมมาเป็นอย่างดี

สาวกที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะทรงโปรดใช้การได้ และจะทรงใช้เขามากขึ้นในแผ่นดินของพระเจ้าหรือในอาณาจักรของพระองค์ ก็จะต้องผ่านการถูกสร้างที่ดีด้วยเช่นกัน

อาจจะกล่าวได้ว่า ถ้าวันนี้พี่ - น้องเป็นผู้ตามในฝ่ายจิตวิญญาณที่ดี อนาคตพี่ - น้องก็จะเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณที่ดีด้วยเช่นกัน

พระคำของพระเจ้า ลก. 6 : 40 ตรัสว่า ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครูแต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการสอนครบแล้วก็จะเป็นเหมือนครูของตน

พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ เป็นเหมือนกับข้อสอบ สอบทั้งผู้สร้างและ ผู้ถูกสร้าง

พระเยซูตรัสว่า การทดสอบที่แท้จริงของการสร้างสาวก คือ การที่ผู้สร้างไม่ได้อยู่ด้วยกับเขาอีกต่อไปว่าผู้ถูกสร้างให้เป็นสากนั้นเขายังคงสัตย์ซื่อต่อสิ่งที่คุณได้สอนเขาเอาไว้หรือไม่

ขอเชิญที่ประชุมเปิดพระคำของพระเจ้าในหนังสือ ยน. 15 : 8 และอ่านพร้อมๆกันอย่างๆด้วยเสียงที่ดัง เชิญครับ

พระคำของพระเจ้าใน ยน.15 : 8 บอกกับเราว่า ถ้าคนที่เราสร้างให้เขาเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น เขายังคงปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ตามที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงมอบหมายเอาไว้ได้ กล่าวคือ เขายังประกาศ เป็นพยาน เขามีการเสริมสร้างพระกายให้เข้มแข็ง เขายังขยายอาณาจักร ขยายเต้นและขยายพระวิหาร ของพระเจ้าออกไป นั่นก็เท่ากับ เขาเกิดผลในการเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า

คำถามก็คือว่า พี่ - น้องมีเป้าหมายฝ่ายจิตวิญญาณนี้ เอาไว้ในชีวิตแห่งความเชื่อของพี่ - น้องบ้างไหม ผมขอให้คำถามที่ผมถามพี่ - น้องอยู่เรื่อยๆนี้กวนจิตใจของพี่ - น้องตลอดเวลา เพื่อที่พี่ - น้องจะได้มีเป้าหมายแผนงานในฝ่ายจิตวิญญาณนี้เอาไว้ในชีวิตของพี่ - น้องบ้างไม่มากก็น้อย

เป้าหมายของผู้ที่จะเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่พระองค์จะทรงโปรดใช้การได้นั้น จะต้องมีคุณลักษณะประการที่ 4 ซึ่งเป็นประการสุดท้ายอยู่ใน อฟซ. 3 :19

ประการที่ 4 กล่าวคือ เขาจะต้องมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตที่จะก้าวไปสู่ความไพบูลย์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า และนี่ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงวางเอาไว้ให้กับเรา

คำว่า ความไพบูลย์ คำนี้หมายถึง 1. ความสมบูรณ์ 2. ความดีรอบคอบ 3. ความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณ

พี่ - น้องทราบไหมครับว่า มีผู้เชื่อเป็นจำนวนมากในโลกใบนี้ รวมทั้งพี่ - น้องที่อยู่ที่นี่ด้วย ที่เริ่มต้นจากการได้ฟังข่าวประเสริฐ แล้วสำนึกผิดจากความบาปที่นำไปสู่ความตายในบึงไฟนรก และเขายังมีความเชื่อในพระเจ้าอยู่ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้เชื่อมาแล้วกี่ปีก็ตาม เขาไม่เคยก้าวข้ามจากจุดของการเป็นผู้เชื่อนี้ ไปสู่การเป็นธรรมิกชน เมื่อเขาไม่เคยก้าวข้ามไปสู่การเป็นธรรมิกชนไฉนเลยเขาจะเข้าความไพบูลย์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเลย

ผู้เชื่อเหล่านี้จึงดำเนินชีวิตกับพระเจ้าแบบขึ้นๆ ลงๆ แบบชักเข้า ชักออก หรือแบบผีอีเม้ย เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป แบบตามอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งเป็นการติดตามองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างน่าสงสารเป็นอย่างมาก

พี่ - น้องในคริสตจักรฯ บางคน หลายคนที่อยู่ใกล้ตัวผมหรือรับใช้ร่วมกับผม มักจะได้ยินผมปรารภอยู่เสมอว่า ผู้เชื่อแบบนี้ดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ ดีกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อพระเจ้าหน่อยเดียวเท่านั้นเอง

ในขณะเดียวกันก็มีผู้เชื่อ ที่ก้าวไปสู่การเป็นธรรมิกชน อยู่จำนวนไม่น้อย ที่เมื่อเขาได้รับการวางรากฐาน ในการเป็นสาวกที่ดีเอาไว้แล้ว ในชีวิตของเขา แต่เขากับหยุดมันดื้อๆ ไม่ไปต่อ ไม่ไปให้ถึงความไพบูลย์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าอันนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก

ในขณะเดียวกันก็มีธรรมิกชนบางคน ก้าวไปสู่การเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว แต่เขาพยายามที่จะไปต่อ ต้องการที่จะเป็น Super สาวกเขาเลยสร้างโครงสร้างของตัวเองขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าโครงสร้างของพระเจ้าขึ้นไปอีก ทำให้โบสถ์ต้องแตกแล้วแตกอีก อันนี้ก็เป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก หากสาวกคนนั้นไม่สามารถที่จะควบคุมตนเองได้

พระคำของพระเจ้าในหนังสือ มธ. 5 : 48 “ เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เป็นผู้ดีรอบคอบ ”จากพระวจนะคำของพระเจ้าในข้อนี้ ทำให้เราทราบอย่างชัดเจนว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ทรงเรียกสาวกของพระองค์ ให้ไปถึง Standard หรือไปถึงความไพบูลย์นี้

มาตราฐานนี้หรือความไพบูลย์นี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราศึกษาพระวจนะของพระเจ้า การศึกษาพระวจนะของพระเจ้า จะนำเราไปสู่ความรู้และความเข้าใจ ตลอดจนการรับใช้ ที่ได้มีการพิสูจน์แล้วว่า มีความสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า

ซึ่งนั่นหมายความว่า จิตใจและจิตวิญญาณของเขา ความคิดของเขา รวมทั้งร่างกายของเขานั้น อยู่ภายใต้การควบคุมแห่งฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทำให้เขาเป็นผู้ดีรอบคอบได้ และนี่คือ Standard ที่ใช้ชี้วัดความไพบูลย์ของสาวกที่องค์พระเยซูคริสต์จะทรงโปรดใช้ท่านได้

คำถามก็คือว่า พี่ - น้องเคยตั้งเป้าหมาย แผนงานฝ่ายวิญญาณนี้เอาไว้ในชีวิตแห่งความของพี่ - น้องบ้างหรือไม่

พี่ - น้องที่รักครับ งานในฝ่ายโลกหรืองานในฝ่ายเนื้อหนังนั้น ผมเชื่อว่าพี่ - น้องทุกคนมักจะคิดถึงการเลื่อนซี เลื่อนขั้น เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง

คำถามสุดท้ายของผมที่อยากจะถามพี่ - น้องจากหัวใจนั่นก็คือว่าพี่ - น้องไม่อยากเลื่อนตำแหน่ง จากเป็นการผู้เชื่อมาเป็นธรรมิกชนหรือมาเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้ากันบ้างหรือ            หรือพี่ - น้องพอใจกับคำว่าผู้เชื่อนี้แล้วเลยขอเป็นผู้เชื่อมืออาชีพอย่างนี้เรื่อยไป   จนกว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จกลับมา

ผมอยากเรียนกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อว่า 7 คืน 8 วัน ที่ผมอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้นั้น ผมได้แต่น้ำตาไหลผมขอกับพระเจ้าว่า ก่อนที่ผมจะจบชีวิตนี้ ขอให้ผมได้ไปเยือนแผ่นดินของพ่อที่อิสราเอลสักครั้งหนึ่ง ซึ่งผมก็จะได้ไปในปีนี้ขอบคุณพระเจ้า

และอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอธิษฐานกับพระเจ้า นั่นก็คือ ผมอยากจะเห็นพระเจ้าฟื้นฟูประเทศไทย ผ่านคริสตจักรไทยและคริสตชนไทย ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าผมจะเห็นสิ่งนี้หรือเปล่าก็ขอพระเจ้าเมตตา

สรุปพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้

พี่ - น้องจะต้องตั้งเป้าหมายในการที่จะเป็นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์โดยสาวกที่องค์พระเยซูคริสต์จะทรงโปรดใช้การได้นั้นมี 4 ประการ

  1. รักพระเจ้าสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด
  2. ต้องยอมเสียสละหรืออุทิศทุกสิ่งแด่พระองค์
  3. เขาจะต้องเป็นบุคคลคนที่สัตย์ซื่อและสามารถที่จะสอนคนอื่นได้
  4. เขาจะต้องมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตที่จะก้าวไปสู่ความไพบูลย์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า

Green City