บทเรียนจากลาซารัส

คำเทศนาเรื่อง บทเรียนจากลาซารัส

  

ในเช้าวันนี้ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ยน.11:1-43 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ #

และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “บทเรียนจากลาซารัส” ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบครอบครัวที่พระเจ้าทรงรัก

พี่น้องที่รักครับ พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 5 ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงรัก มารธาและน้องสาวของเธอรวมถึงลาซารัสด้วย เหตุที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรักครอบครัวนี้นั่นเป็นเพราะว่าครอบครัวนี้ทรงรักพระเจ้ามาก

คำถามคือว่า ครอบครัวนี้รักพระเจ้ามากขนาดไหน ?

คำตอบก็คือ มากขนาดที่นางมารียนั้นได้เอาน้ำหอมที่มีราคาที่แพงมากในสมัยนั้นมาชโลมพระองค์ แล้วใช้เส้นผมของนางเช็ดไปที่พระบาทขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ด้วยเหตุนี้เององค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงรักครอบครัวนี้มาก

และด้วยความรักที่ครอบครัวนี้มีให้กับองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามากถึงขนาดนี้  ดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้าครอบครัวนี้จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศิษย์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้น แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ครอบครัวนี้ยังมีความเป็นเพื่อน ยังมีความเป็นสหายขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกด้วย

และด้วยความสัมพันธ์ดังที่ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ พี่น้องลองช่วยผมพิจารณาหน่อยสิครับว่า เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จไปรับใช้ที่เมืองนั้น จะเสด็จไปรับใช้ที่เมืองนี้และเมื่อครั้นที่พระองค์จะต้องผ่านบ้านของมารธาและมารีย์

พี่น้องคิดว่าพระองค์จะทรงแวะไปพักอาศัยที่ไหนครับ ? เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยจากการงาน องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็จะทรงคิดถึงบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน และนี่เป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งที่ครอบครัวนี้ได้รับจากพระเป็นเจ้า

คำถามคือว่า พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ต้องการที่จะบอกอะไรกับพี่น้องในเช้าวันนี้ ?

พี่น้องรู้หรือไม่ว่า ในเวลานี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้านั้นกำลังทำงานร่วมกับคริสตจักรของพระองค์อยู่ในเวลานี้และพระองค์ก็ทรงเหน็ดเหนื่อยเหมือนกับที่พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยมาเมื่อสองพันกว่าปีที่ผ่านมา

คำถามที่พระเจ้าต้องการถามพี่น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า พี่น้องเคยเชิญชวนพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้าได้เข้ามาพักที่บ้านของพี่น้องบ้างไหมครับ ?

พี่น้องรู้หรือไม่ว่า ในเวลานี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้านั้นกำลังทำงานร่วมกับคนที่พระเจ้าได้ทรงโปรดเจิมตั้งเอาไว้[อฟ.4:11]
ให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ พี่น้องเคยเชิญชวนคนของพระเจ้าที่ได้กล่าวไปเมื่อสักครู่นี้ให้เขาได้เข้ามาพักที่บ้านของพี่น้องบ้างไหมครับ ?

ผมอยากหนุนใจให้พี่น้องได้สำรวจตัวของพี่น้องเอง ซึ่งถ้าพี่น้องไม่เคยที่จะเชิญชวน 1) พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเป็นเจ้าเข้ามาพักในบ้านของพี่น้องเลย ผมอยากหนุนใจให้พี่น้องได้บอกกับพระเจ้าว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์เจ้าข้าถ้าพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อย ลูกขอเชิญพระองค์ทรงโปรดนึกถึงบ้านหลังนี้หรือขอพระองค์เชิญพักที่บ้านหลังนี้”

ผมอยากหนุนใจให้พี่น้องได้สำรวจตัวของพี่น้องเอง ซึ่งถ้าพี่น้องไม่เคยที่จะเชิญชวน 1)คนของพระเจ้าเข้ามาพักในบ้านของพี่น้องเลย ผมอยากหนุนใจให้พี่น้องได้บอกกับคนของพระเจ้าเหล่านี้ว่า อาจารย์ถ้ามาสมุทรสงครามเมื่อไหร่พันที่บ้านผมได้นะ และครัวเรือนของพี่น้องจะได้รับพระพรจากพระเจ้าอย่างมากมาย

สิ่งหนึ่งที่ผมพบเสมอนั่นก็คือว่า พี่น้องส่วนหนึ่งเมื่อได้รับพระพรจากพระเจ้าแล้ว ส่วนหนึ่งกับเย่อหยิ่ง ลืมตัว บางคนถึงกับเป็นทาสของพระพรที่ได้รับและบางคนถึงกับหลงลืมพระเจ้า เมื่อถึงเวลาชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งในที่นี้หมายถึง เวลาของพระเจ้านะครับ พระเจ้าจะเข้ามาเพื่อขอรับคืน ให้บอกกับคนข้างซ้ายข้างขวาว่า “คุณต้องไม่เป็นคนนั้น”

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 เราพบคนที่พระเจ้าทรงรักกำลังป่วย

พระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า มารธากับมารีย์ ได้ให้คนไปบอกกับพระเยซู แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ยังทรงประทับอยู่ใน ณ.สถานที่แห่งนั้นอีก 2 วัน

พี่น้องที่รักครับ คนที่พระเจ้าทรงรักเป็นอย่างมากกำลังป่วยอยู่รวมถึงใกล้จะต้องตายด้วย แต่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็ยังทรงประทับอยู่ในที่ๆพระองค์ทรงประทับอยู่อีก 2 วัน

คำถามคือว่า พระองค์ 1 ) ทำอย่างนี้ได้อย่างไรกับคนที่พระองค์ทรงรัก 2 ) ทำไมถึงได้เย็นชาแบบนี้ ซึ่งเราเองก็สามารถที่จะมีอารมณ์หรือมีความรู้สึกอย่างนี้ได้เหมือนกันนะครับ เพราะนางมารธาเองก็มีอารมณ์ความรู้สึกนี้ด้วยเหมือนกัน

แต่การที่พระเจ้าทรงรู้ข่าวเรื่องลาซารัสแล้วและพระองค์ทรงประทับอยู่ในที่ๆพระองค์ทรงประทับอยู่นั่นต่ออีก 2 วันก็เพื่อที่ต้องการที่จะสอนเราว่า

1)พระองค์นั้นทรงเป็นพระเจ้าแห่งสัพพัญญูญาณ หมายความว่า พระองค์ทรงเห็นฉากจบของเรื่องนี้ตั้งแต่ฉากแรกของเรื่องนี้นั้นยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเลยพระองค์จึงสบายๆ

2)ความทุกข์ ความโศกเศร้า ความเสียใจ แม้กระทั่งอุปสรรคปัญหา มันสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่กับคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นแต่มันสามารถที่จะเกิดขึ้นกับคนที่รักพระเจ้าด้วยเช่นกัน

เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่มาประกาศหรือมาเป็นพยานกับพี่น้องแล้วบอกว่า ถ้ามาเชื่อพระเจ้าแล้วไม่มีปัญหานั้น พี่น้องกำลังได้รับการประกาศที่ผิด

3)การที่เราบอกว่าเรานั้นรักพระเจ้า แต่แท้ที่จริงแล้วพระองค์นั้นทรงรักเรามากกว่า

1ปต.5:10 “และเมื่อท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้ทรงพระคุณล้ำเลิศ ผู้ได้ทรงเรียกให้ท่านทั้งหลายเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดรในพระคริสต์ พระองค์เองก็จะทรงโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคงและมีกำลังขึ้น” 

ซึ่งนั่นหมายความว่า ความทุกข์ ความโศกเศร้า ความเสียใจหรืออุปสรรคปัญหาที่เราจะต้องเจอนั้น มันจะเกิดขึ้นกับเราเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นชั่วขณะหนึ่งในเวลาของพระเจ้านะครับ ไม่ใช่ชั่วขณะหนึ่งในเวลาของมนุษย์นะครับ

พระคำของพระเจ้าใน 1ปต.5:10 ยังได้บอกกับเราต่อไปด้วยว่า ความทุกข์ ความโศกเศร้า ความเสียใจหรืออุปสรรคปัญหานั้นเกิดขึ้นเพื่อที่เราจะได้รับการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขและพัฒนาเราให้ดีขึ้น

และเมื่ออุปสรรคปัญหาเพียงชั่วขณะหนึ่งในเวลาของพระเจ้านั้นเพียงพอแล้ว พระองค์ก็จะทรงเข้ามาเพื่อที่จะเป็นผู้นำเราให้ผ่านอุปสรรคปัญหานั้นไปได้

พี่น้องจำได้ไหมครับว่า เมื่อชาวฮีบรูต้องถูกกดขี่จากชาวอียิปต์ให้ใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม แต่เมื่อถึงชั่วขณะหนึ่ง แต่เป็นชั่วขณะหนึ่งในเวลาของพระเจ้านะครับ ไม่ใช่ชั่วขณะหนึ่งในเวลาของมนุษย์นะครับพระเจ้าได้เข้ามาโดยส่งคนของพระเจ้าคือโมเสสเข้ามาให้เป็นผู้นำพวกเขาออกไป

ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลาซารัสนี้ในตอนนี้ ที่เมื่อถึงเวลาของพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงเสด็จเข้ามา พระคำของพระเจ้าในข้อที่ 43 ตรัสว่า"ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด"

ในเหตุการณ์ตอนนี้พระเจ้าทรงสอนเราว่า พระองค์นั้นทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่มาเคย 1) มาก่อน 2) มาช้า 3) มาสาย แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มาทันเวลาเสมอ ในเหตุการณ์ตอนนี้พระเจ้าทรงสอนเราว่า พระองค์นั้นทรงเป็นพระเจ้าที่ 4) ไม่ผิดพลาด 5 ) ไม่มุสา

แต่การที่พระเจ้าทรงมาช่วยเรา ในลักษณะที่ทำให้เรานั้นรู้สึกต้องใจหาย ใจคว่ำ หรือช่วยเราแบบเส้นยาแดงผ่าแปดและหรือช่วยเราแบบเศษเสี้ยวของวินาที ก็เพื่อที่พระองค์นั้นต้องการจะทรงฝึกเรา สอนเราและสร้างเรา เพื่อที่เรานั้นจะมีความเชื่อและมีความไว้วางใจในพระองค์ว่าพระเจ้านั้นทรงเป็นคำตอบในชีวิตของเราอย่างแท้จริง

พระคำของพระเจ้าใน1ยน.4:12 ตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้าไม่ว่าเวลาใด” แต่คนจะเห็นพระเจ้า 1)ผ่านชีวิตของเรา2)ผ่านการที่พระเจ้านั้นทรงช่วยเหลือเรา นำเราออกจากอุปสรรคปัญหา จนคนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้านั้นต้องรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเรียกลาซารัสให้ออกมาแล้วลาซารัสก็ลุกขึ้นและเดินออกมาจากอุโมงค์ฝังศพนั้น พี่น้องคิดว่าพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ เขารู้สึกอัศจรรย์ใจไหมครับ ?

นี่เป็นการอัศจรรย์อย่างหนึ่ง ที่พระเจ้าต้องการให้ชีวิตของเรานั้น1) ได้เป็นคำตอบกับคนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้า 2) ได้ประกาศเป็นพยานถึงพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำผ่านชีวิตของเรา

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 เราพบบทเรียนที่ล้ำค่า

พี่น้องที่รักครับ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงให้คนที่พระองค์ทรงรักนั้นถึงแก่ชีวิต ก็เพื่อที่จะสอนสาวกของพระองค์ในเวลานั้น รวมถึงสอนเราทั้งหลายในเช้าวันนี้ด้วยว่า สำหรับพระองค์แล้ว

“ตายคือตาย แต่พระองค์ทรงช่วยให้ฟื้นจากความตายได้”

“พระองค์ทรงชนะปัญหาและพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือความตาย” และพระเจ้าปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายนั้นได้มีความเชื่ออย่างนี้

นี่เป็นบทเรียนหนึ่งที่พระเจ้าต้องการที่จะสอนเราผ่านเหตุการณ์นี้

บทเรียนอีกบทเรียนหนึ่ง นั่นก็คือ บทพิสูจน์ความเชื่อในพระเจ้าในชีวิตของเรา ผ่านอุปสรรค ผ่านปัญหา ผ่านเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

คริสเตียนหลายคน ดูผิวเผิน ดูเหมือนเขามีความเชื่อที่ดีนะครับ แต่พอเขาเจออุปสรรค เจอปัญหา เจอบางสิ่งบางอย่างที่เข้ามากระทบในชีวิตของเขา

แทนที่เขาจะเป็น 1)ผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ 2)หลักให้กับคริสตจักร ตรงกันข้ามเขากับเป็นทารกในฝ่ายวิญญาณ เขากับทิ้งคริสตจักรของพระเจ้าไปเลยก็มี

ดังนั้นทุกอย่างที่เข้ามากระทบในชีวิตของเรามันจะเป็นเครื่องมือวัดความเจริญเติบโตชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณของเรา และพระเจ้าจะทรงใช้คนที่มีความเจริญเติบโตใน 1)ความเชื่อ 2)ฝ่ายจิตวิญญาณ ในพระราชกิจของพระเจ้า

ปฐก.39-41 ทำให้เราทราบว่า โยเซฟนั้นเขาเป็นคนที่ชอบธรรม แต่คนชอบธรรมคนนี้ ก็ผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาก็มาก

พี่น้องจำได้ไหมครับว่า ตอนที่เขาเป็นเด็กนั้น โยเซฟก็ถูกพี่อิจฉา เขาจึงถูกขายไปเป็นทาส ตกไปเป็นทาสก็ดันถูกเมียของเจ้านายใส่ร้าย โยเซฟเขาจึงต้องตกไปเป็นนักโทษ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม โยเซฟ เขาก็ไม่เคยถามกับพระเจ้าเลยสักครั้งเลยนะครับว่า “ทำดีแล้วพระเจ้าอยู่ที่ไหน”

พระคำของพระเจ้าใน ยก.1:3-4 “เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคงและจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย”

ดังนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เข้ามากระทบในชีวิตของโยเซฟนั้นมันเป็นเครื่องมือชี้วัดความเจริญเติบโตชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณของเขา และเมื่อถึงเวลาของพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นวงล้อที่พาโยเซฟไปพบกับความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตและเป็นพระพรกับผู้อื่นด้วย

โยเซฟเขาได้เป็นอะไรครับ ? เป็นผู้มีอำนาจรองจากกษัตริย์ฟาโรห์

นี่เป็นบทเรียนล้ำค่า ที่พี่น้องจะต้องเรียนรู้เอาไว้ว่า ทุกอย่างที่เข้ามากระทบชีวิตของเรานั้น มันจะเป็นวงล้อพาให้เรานั้นไปสู่แผนการณ์ของพระเจ้า

ซึ่งในบางช่วง บางตอนของชีวิต เราอาจจะต้องผ่านความทุกข์ ความโศกเศร้า ความเสียใจ ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้าย ผ่านการร้องไห้เสียน้ำตานี้บ้างเพื่อที่เราจะได้พบกับพระเจ้า

อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า ความทุกข์ ความโศกเศร้า ความเสียใจ การผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายหรือการผ่านการร้องไห้เสียน้ำตาในบ้างครั้งนั้น เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้ในการสอนเรา เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของมารธา มารีย์และลาซารัสในตอนนี้

สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้

ประการที่ 1 เราพบครอบครัวที่พระเจ้าทรงรัก

ประการที่ 2 เราพบคนที่พระเจ้าทรงรักกำลังป่วย

ประการที่ 3 เราพบบทเรียนที่ล้ำค่า

Green City