น้ำใจของพระเยซู

น้ำใจของพระเยซู

            

            ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม มธ.9:35 - 38 ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มธ.9:35 - 38 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และข้อพระคัมภีร์ที่จะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ในข้อที่ 36 ให้ที่ประชุมอ่านในข้อที่ 36 พร้อมๆกันอย่างช้าด้วยเสียงที่ดังอีกครั้งหนึ่งเชิญครับและผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “น้ำใจของพระเยซูให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่น้องที่รักครับ เวลานี้ประเทศชาติบ้านเมืองของเราอยู่ในภาวะอะไรครับ ? อยู่ในภาวะวิกฤตกาลของภัยธรรมชาติประเภทอุทกภัย สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้จากวิกฤตกาลที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นั่นก็คือ ความมีน้ำใจของคนไทยทั้งชาติที่ต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

แต่ความช่วยเหลือที่ว่านี้เป็นความช่วยเหลือฝ่ายอะไรครับพี่น้อง ? เป็นความช่วยเหลือแต่เพียงฝ่ายร่างกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จริงหรือไม่จริงครับพี่น้อง ? การให้ถุงยังชีพ การให้ข้าวปลาอาหาร การให้น้ำดื่ม การให้ประตู การให้เงินสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย การให้แพทย์ พยาบาลลงพื้นที่ไปให้การรักษารวมทั้งการให้อะไรต่อมิอะไรหลายๆอย่าง สิ่งต่างๆเหล่านี้คือการช่วยเหลือในฝ่ายกายภาพทั้งสิ้น ซึ่งมันแตกต่างหรือตรงกันข้ามกับการช่วยเหลือขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

คำถามคือว่าแตกต่างกันตรงไหน ?

คำตอบก็คือว่า แตกต่างกันตรงที่ว่าองค์เยซูคริสต์เจ้านั้นมักจะให้การช่วยเหลือ ทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณไปพร้อมๆกันเสมอ เพราะฉะนั้นสายตาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงแหลมและคมมาก เพราะพระองค์มองทะลุแม้กระทั่งความต้องการในฝ่ายจิตวิญญาณของเราด้วย

ซึ่งถ้าพี่น้องได้อ่านในพระวจนะของพระเจ้าและถ้าพี่น้องยังไม่ลืมเหตุการณ์ที่พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกไว้ในพระธรรมยอห์นบทที่ 4 ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำเมืองเบธไซดา

พี่น้องก็จะพบว่า สาวกขององค์พระเยซูคริสต์มองเห็นแต่เพียงผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งที่ออกจากบ้านมาเพื่อมาหาน้ำกินน้ำใช้เท่านั้น แต่พระเยซูกับมองเห็นคนบาปคนหนึ่งที่ต้องการน้ำแห่งชีวิต

ที่บ่อน้ำนั้นสาวกขององค์พระเยซูคริสต์มองว่าเป็นที่พักเหนื่อยและควรที่จะใช้เป็นที่นั่งรับประทานอาหาร แต่พระเยซูทรงมองว่าที่นั่นน่าจะเป็นธรรมาสน์ที่จะใช้เป็นที่ให้อาหารฝ่ายจิตวิญญาณกับผู้คนในหมู่บ้านนั้นได้

เพราะฉะนั้นพระวจนะของพระเจ้าในพระธรรม ยน. 4 จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันกับเราได้เป็นอย่างดีว่า พระองค์นั้นทรงมีตาที่แหลมและคมเป็นอย่างมาก มองทะลุแม้กระทั่งจิตวิญญาณของเราได้อย่างแท้จริง ซึ่งสายตาแบบนี้เรามีได้ไหมครับพี่น้อง ? เรามีไม่ได้เลยถ้าเราไม่ได้อยู่ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

            จากพระวจนะคำของพระเจ้าในข้อที่ 36 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบว่าพระเยซูทรงทอดพระเนตรเห็น

            คำถามคือว่าเห็นอะไร คำตอบก็คือ พระเยซูทรงเห็นความต้องการในฝ่ายร่างกายของฝูงชน ตาของพระเยซูทรงเห็นการทนทุกข์ของคนที่เป็นโรคเรื้อน หูของพระเยซูทรงได้ยินการร้องเรียกของคนตาบอดที่นั่งอยู่รมถนน

ดังนั้นมือของพระเยซู จึงได้ยื่นหรือได้เหยียดออกไปเพื่อช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยและคนที่หิวกระหายเหล่านั้นโดยฉับพลัน แต่สิ่งที่พระเยซูทรงเห็นลึกลงไปกว่าความต้องการที่ได้บรรยายมาทั้งหมดนั่นก็คือ พระเยซูทรงมองเห็นถึงความต้องการในฝ่ายจิตวิญญาณของคนเหล่านั้นด้วย

พระเยซูทรงมองเห็นคนบาป

พระเยซูมองเห็นคนที่หมดแรง ไม่มีที่พึ่งพิง

พระเยซูทรงมองเห็นความว้าเหว่ในฝ่ายจิตวิญญาณ

พระเยซูทรงมองเห็นค่านิยมที่ผิดๆของคนในสมัยนั้น

พระเยซูทรงมองเห็นเบื้องหลังพฤติกรรมของแต่ละคน

พระเยซูทรงมองเห็นถึงความพ่ายแพ้เมื่อมนุษย์จะต้องถูกทดลอง

พระเยซูทรงมองเห็นคนเหมือนแกะที่ปราศจากคนเลี้ยงที่มันกระจัด กระจาย

พระเยซูไม่ได้มองเห็นแต่ผู้คนหรือฝูงชน แต่พระเยซูทรงมองเห็นคุณค่าของคนแต่ละคนที่มีค่ามากพอที่พระองค์จะสละชีวิตให้

พระเยซูทรงมองเห็นว่า นี่เป็นโอกาสที่เราควรจะเก็บเกี่ยวหรือนำดวงวิญญาณของคนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าทั่วทั้งโลกให้มาเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์เห็นนี่เองพี่น้องที่รัก ทำให้เราทราบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงมีนิมิตและมีภาระใจต่อคนที่หลงหายไปทั่วทุกหนและทุกแห่ง ไม่ว่าคนๆนั้นจะอยู่บนเกาะหรือบนแก่ง ไม่ว่าคนๆนั้นจะอยู่ในเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ นิมิตและภาระใจที่พระเยซูทรงมีนั้นครอบคลุมไปทั่วโลก ทั้งๆที่พระเยซูก็ไม่เคยเดินทางออกจากประเทศปาเลสไตน์ของพระองค์เลย

ดังนั้นเราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมพระเยซูถึงได้ทรงตรัสสั่งกับเราทั้งหลายเอาไว้ใน มธ.28 :19 - 20 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านอย่างช้าๆพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ทำให้เราทราบว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงมีนิมิตและทรงมีภาระใจที่ กว้างและไกลลึกซึ้งต่อการช่วยเหลือผู้คน

ด้วยเหตุนี้เองพี่น้องที่รักคริสตจักรต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้รวมทั้งคริสตจักรใจสมานสมุทรสงครามแห่งนี้ด้วยจึงรับนิมิตหรือรับภาระใจของพระเยซูที่ได้ทรงตรัสเอาไว้ใน มธ.28:19 - 20 มาเป็น “ หัวใจหลัก ” ในการขับเคลื่อนพันธกิจของพระเจ้า นิมิตของคริสตจักรใจสมานสมุทรสงคราม คืออะไรครับ ? ท่องให้พระเยซูฟังดังๆ เลยครับพี่น้อง “ ประกาศ เสริมสร้างพระกาย ขยายคริสตจักร ”

การขยายคริสตจักรของพระเจ้าออกไปนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เราทราบว่านิมิตของคริสตจักรเรานั้นไม่ได้แคบหรือเราไม่ได้มีนิมิตที่เห็นแก่ตัว

การขยายคริสตจักรของพระเจ้าออกไปนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เราทราบว่า เราไม่ได้คิดถึงแต่ตัวของเราเองหรือกลุ่มของเราเองหรือคนของเราเองและหรือเฉพาะในคริสตจักรของเราเอง

ดังนั้นนิมิตหรือภาระใจที่เรามีนั้นมันจะต้องเกินจากหลังคาบ้านของเรา

ดังนั้นนิมิตหรือภาระใจที่เรามีนั้นมันจะต้องเกินจากกฎระเบียบ ข้อบังคับขององค์การ , องค์กร , หน่วยงานต่างๆที่เราได้วางเอาไว้

พี่น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือว่านิมิตหรือภาระใจของคริสตจักรในประเทศไทยโดยส่วนมากนั้น มักจะมีอคติและมีการบิดผันต่อการประกาศกับพี่น้องมุสลิมในประเทศไทย

เมื่อใดก็ตามที่คริสตชนไทยและคริสตจักรไทย ไม่ยอมออกมาจากกรอบของคิดเดิมๆ

คำถามก็คือว่า แล้วพระกิตติคุณของพระเจ้าจะไปได้ไกลจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลกได้อย่างไร ?

อย่างไรก็ตามพี่น้องที่รักครับ  เราต้องยอมรับอย่างสัตย์ซื่อว่า นิมิตและภาระใจที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก พระเยซูทำคนเดียวได้ไหมครับ ? ทำได้ แต่การที่พระเยซูไม่ทำนั้น เหตุเพราะพระเยซูต้องการที่จะให้เกียรติในการที่เรานั้นจะได้มีโอกาสเข้าส่วนนิมิตหรือเข้าส่วนในภาระใจนั้นร่วมไปกับพระองค์

คำถามที่สำคัญก็คือว่า เวลานี้เราทุกคนที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ ต่างได้ร่วมในนิมิตนี้หรือต่างได้ร่วมภาระใจนี้ไปกับพระองค์กันมากน้อยแค่ไหน อันนี้เป็นคำถามที่อยากจะฝากให้พี่น้องได้พิจารณาภายในจิตใจของพี่น้องในเช้าวันนี้

จากพระวจนะคำของพระเจ้าในข้อที่ 36 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 เห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา

            ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์ทรงรู้สึก ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์ทรงเมตตาสงสารคนเหล่านั้น

            พี่น้องที่รักครับ ความรู้สึก ความเมตตาสงสารที่พระองค์มีต่อคนบาปนั้นลึกซึ้งมากหรือน้อยขนาดไหนพี่ - น้องอยากทราบไหมครับ ? ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ อสย.53 : 3 “ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้งเป็นคนที่รับความเจ็บปวดและคุ้นเคยกับความเจ็บไข้และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ท่านถูกดูหมิ่นและเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน ”

            พี่น้องที่รักครับ ความรู้สึกเมตตาสงสารที่พระเยซูทรงมีต่อคนบาปทั้งหลายนั้น เป็นเหตุทำให้พระองค์มีจิตใจเร่าร้อน ในการที่จะแบกรับภาระนั้นเอาไว้คนเดียว นี่เป็นความรู้สึกเมตตาสงสารในระดับที่ลึกซึ้ง คำถามก็คือว่า เวลานี้เราทุกคนต่างมีความรู้สึกเมตตาสงสาร อย่างเดียวกันกับอย่างที่พระเยซูมีหรือเปล่า อันนี้เป็นคำถามที่สำคัญ

            อย่างไรก็ตามพี่น้องที่รักครับ ผมพบว่าในปัจจุบันนี้มีคริสตชนไทยอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่สูญเสียความเมตตาสงสารในระดับที่ลึกซึ้งนี้

เหตุเพราะคริสตชนไทยจำนวนมากเขากำลังเสาะแสวงหางาน หาเงิน หาทุน หาวัตถุ หาสิ่งของ หาเกียรติ หาลาภ หายศ หาการยอมรับจากสังคมภายนอก มากกว่าที่จะเสาะแสวงหาคนที่หลงหายหรือคนที่ยังไม่เชื่อให้ได้รับความรอดในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

เหตุเพราะมีคริสตชนไทยจำนวนมากที่มีความกระตือรือร้นในการที่จะทำงานของมนุษย์ โดยรีบเดินทางไปประชุมตามตารางที่นัดหมายเอาไว้ หรือกระตือรือร้นในการที่จะจัดการกับเอกสารบนโต๊ะทำงานให้แล้วเสร็จ มากกว่างานหรือมากกว่าพระราชกิจของพระเจ้า

เหตุเพราะมีผู้รับใช้ของพระเจ้าหรือผู้ทำการหรือศิษยาภิบาลในประเทศไทยอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ที่ไม่ได้มีความกระตือรือร้นหรือไม่ได้มีความใส่ใจ ในวิธีการเทศน์การสอนของตนให้เป็นไปอย่างมีคุณภาพ ทำให้พี่น้องสมาชิกในคริสตจักรนั้นไม่ได้ตระหนักถึงนิมิตหรือภาระใจที่พระเจ้าได้ทรงมอบไว้ให้กับเขาด้วยเช่นกัน

ขอพระเจ้าเมตตาที่พี่น้องในคริสตจักรใจสมานสมุทรสงครามแห่งนี้จะมีวิญญาณแห่งความเมตตาสงสารในระดับที่ลึกซึ้งนี้ เหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราหรือเหมือนกับมิชชันนารีในยุคแรก เช่น

เฮนรี่ มาร์ติน ที่เมื่อเขาแผ่นดินอินเดียเป็นครั้งแรกเขาก็ได้อธิษฐานกับพระเจ้าว่า “ ขอให้ข้าพระองค์ที่จะมอดไหม้ไปในงานของพระองค์ เพื่อพระองค์ ”

ดาวิด ลิฟวิ่งสโตน แห่งอัฟริกา ที่กล่าวว่า “ ข้าพระองค์จะต้องเดินทางเข้าไปให้ถึงใจกลางทวีปอัฟริกาให้ได้หรือไม่ข้าพระองค์ก็ยินดีที่จะตาย ”

ฮัดสัน เทรเล่อร์ ผู้บุกเบิกดินแดนในประเทศจีนที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ ข้าพระองค์รู้สึกว่า ข้าพระองค์จะมีชีวิตต่อไปได้ยาก ถ้าข้าพระองค์มิได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อประเทศจีน ”

จอห์น น๊อก ที่ได้อธิษฐานจากส่วนลึกจากหัวใจของเขาว่า “ ขอโปรดประทานประเทศสก๊อตแลนด์ให้ข้าพระองค์หรือไม่ก็เอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย ”

เดวิด ไบรนาต ที่ได้ประกาศว่า “ ผมไม่แคร์ว่าผมจะไปที่ไหนหรือผมจะต้องทนความยากลำบากเพียงใด ตราบเท่าที่ผมคนมาถึงพระคริสต์ เมื่อผมหลับ ผมฝัน เมื่อผมตื่นสิ่งแรกที่เข้ามาในความคิดของผมคือ อยากเห็นคนมาถึงพระเยซู ความหวังของผมอยู่ในพระเจ้า ”

คำถามที่สำคัญก็คือว่า เวลานี้เราทุกคนที่นั่งอยู่ใน ณ.ที่แห่งนี้ ต่างมีความรู้สึกเมตตาสงสารในระดับที่ลึกซึ้ง ต่อคนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้า เหมือนกับองค์พระเยซูคริสต์หรือเหมือนกับมิชชันนารีในยุคแรกที่ได้กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้หรือไม่ ให้พี่ - น้องได้ตอบภายในจิตใจของพี่ - น้องเองในเช้าวันนี้

            จากพระวจนะคำของพระเจ้าในข้อที่ 36 ที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3 เราพบคำว่า “ ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง ”

            พี่น้องที่รักครับ เวลานี้มีคนไทยมากมายรวมทั้งคน จ. สมุทรสงคราม ของเราด้วยนะครับ ที่เห็นพี่น้องเพื่อนร่วมชาติหลายแสนครอบครัวที่ประสบอุทกภัยแล้วรู้สึกมีใจเมตตาสงสารเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเขาเลย ทั้งๆที่ตัวเองก็มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะช่วยเขาได้แต่ก็ไม่ช่วย พี่น้องคิดว่ามีคนเหล่านี้อยู่ในสังคมไทยหรือมีคนเหล่านี้อยู่ในจังหวัดนี้ไหมครับ ? มี

            ผมอยากจะบอกกับพี่น้องว่า ความรู้สึกมีใจเมตตาสงสารเพียงอย่างเดียวนั้นมันไม่พอหรือมันไม่สามารถที่จะมาทดแทนการช่วยเหลือกับการที่เราได้ลงมือปฏิบัติได้พี่น้องว่าจริงไหม ?

เราขอบพระคุณพระเจ้า ที่เมื่อองค์พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงทอดพระเนตรและแลเห็นประชาชนของพระองค์แล้ว พระเยซูมิได้มีเพียงแค่ความรู้สึกที่เมตตาสงสารแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พระวจนะคำของพระเจ้าในข้อนี้ ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงเข้าไปช่วยเหลือหรือองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นได้ทรงลงมือปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นพระเยซูต้องเสียสละเวลา พระเยซูต้องลงทุนโดยการเดินเข้าไปหาประชาชน

คำถามก็คือว่า พระเยซูเดินเข้าไปหาประชาชนทำไมหรือไปทำอะไร ถ้าพี่น้องได้อ่านในพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มและถ้าพี่น้องยังจำได้   พี่น้องก็จะพบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเดินเข้าไปหาประชาชนเพื่อไปเทศนา สั่งสอน ไปหนุนใจไปชูใจผู้อื่น ไปให้สติให้ปัญญา ไปให้ข้อแนะแนวคิดในการดำเนินชีวิตกับคน ไปให้การรักษาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่สบาย ไปให้การปลดปล่อยในฝ่ายจิตวิญญาณและอื่นๆอีกมากมาย เป็นต้น โยงกลับมาเรื่องวิกฤตกาลน้ำท่วมในบ้านเรา

เวลานี้ชาวบ้านที่ออกมารับถุงยังชีพไม่ได้คนช่วยเหลือจะต้องทำไมครับ ? เขาจะต้องลงทุนโดยการนั่งเรือยางเอาถุงยังชีพเข้าไปให้กับชาวบ้าน

เวลานี้ชาวบ้านที่ออกมารับถุงยังชีพไม่ได้คนช่วยเหลือจะต้องทำไมครับ ? ผู้ช่วยเหลือบางกลุ่มเขาจำเป็นจะต้องสละเรือเพราะน้ำมันเชี่ยวกรากเรือมันไปต่อไม่ได้แล้ว

เวลานี้ชาวบ้านที่ออกมารับถุงยังชีพไม่ได้คนช่วยเหลือจะต้องทำไมครับ ? ผู้ช่วยเหลือบางคนเขาจะต้องสละชีวิตเพื่อนำความรอดไปสู่ผู้อื่น เช่น ปลัดอำเภอจะนะเหตุเพราะเรือล่ม เป็นต้น

การออกไปนั้นมี 3 ลักษณะด้วยกัน

ลักษณะที่ 1 คือ ออกไปเฉยๆโดยไม่ทำอะไรซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าแล้วมันจะไปทำไม

ลักษณะที่ 2 คือ ออกไปกระทำแต่ไปกระทำอะไรบ้างนั้นไม่ทราบเพราะทำเยอะแยะไปหมด

ลักษณะที่ 3 คือ ออกไปทำคุณประโยชน์และลักษณะที่ 3 เนี่ยและครับพี่น้องที่รัก คือสิ่งที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงกระทำ และไม่เพียงเท่านั้น ให้ที่ประชุมเปิดไปที่พระธรรมยน. 17:18 และอ่านพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใดข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น ” ซึ่งนั่นหมายความว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเรียกพวกเราทั้งหลายซึ่งเป็นผู้เชื่อในพระองค์ให้ออกไปทำคุณประโยชน์ ทั้งคุณประโยชน์ในฝ่ายร่างกายและทำคุณประโยชน์ในฝ่ายจิตวิญญาณ เหมือนดังที่พระองค์ได้ทรงกระทำด้วยเช่นกัน

เพราะฉะนั้นเราที่อยู่ที่นี่ทุกๆ คนจะต้องลงทุนและเสียสละ แน่นอนการลงทุนการเสียสละของพวกเราแต่ละคนนั้นอาจจะไม่เหมือนกัน คนที่มีกำลังถวายให้ถวายเหมือนกับพี่น้องของเราคนหนึ่งในคริสตจักรฯ ที่ถวายใบปลิวทางออกประเทศไทยให้กับคริสตจักรฯ เป็นจำนวนถึง 4,000 ใบ หรือเหมือนกับพี่น้องในพระกายเดียวกันถึงแม้ว่าท่านจะอยู่ต่างคริสตจักรฯก็ตามแต่ก็มีภาระใจโดยสัญญาถวายค่าจัดพิมพ์หนังสือเล่มที่ 2 ให้กับผมเป็นจำนวนถึง 50,000 บาท

ผมอยากจะบอกกับพี่น้องว่า เงินนั้นหาใช่มีไว้เพื่อใช้จ่ายสำหรับสิ่งที่จำเป็นสำหรับตัวเองหรือหาไว้เพื่อให้ตนมีความสุขเท่านั้นไม่ แต่มันมีไว้เพื่อลงทุนในการนำคนมารู้จักกับพระผู้ช่วยให้รอดของเราด้วย

ส่วนคนที่ไม่มีกำลังถวาย ก็ให้ท่านนั้นได้เสียสละในการที่จะอธิษฐานเผื่อคนใน จ. สมุทรสงคราม หรือคนในประเทศนี้อย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะได้ยินเรื่องราวของพระเยซูและให้เขาเหล่านั้นได้มีโอกาสได้มารู้จักกับพระองค์ หรือไม่ก็ออกไปทำคุณประโยชน์โดยการออกเดินแจกใบปลิว “ทางออกประเทศไทย” เพื่อแนะนำคนอื่นๆให้มารู้จักกับพระผู้ช่วยให้รอดของเราหรือเป็นพยานบุคคลผ่านการดำเนินชีวิตของท่านในแต่ละวัน

สิ่งที่พี่น้องจะต้องไม่ลืมนั่นก็คือ ผู้ที่ติดตามพระเยซูทุกๆคนนั้นคือราชทูตของพระเจ้า หน้าที่ของการเป็นราชทูตของพระเจ้าซึ่งเป็นหน้าที่ของพี่น้องและผมนั้นนั่นก็คือการนำคนบาปให้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า พระบิดาของเรานั่นเอง

คำถามที่สำคัญก็คือว่า เวลานี้พวกเราที่นั่งอยู่ใน ณ. ที่แห่งนี้ทุกๆ คนพร้อมที่จะลงทุนโดยการถวายพิเศษหรือพร้อมที่จะเสียสละในการที่จะก้าวออกไปทำคุณประโยชน์ เพื่อพระราชกิจของพระเจ้ากันมากน้อยแค่ไหน เป็นคำถามที่ผมอยากให้พี่ - น้องได้ตอบภายในจิตใจของพี่น้องเองในเช้าวันนี้

พี่น้องที่รักครับ เมื่อเราได้เห็นถึงธารน้ำใจของพระเยซูที่มีมาเหนือคนบาปอย่างเราถึงขนาดนี้แล้ว พี่น้องยังจะเป็นคนที่แล้งน้ำใจในการที่จะตอบแทนต่อความมีน้ำใจของพระเยซูโดยการไม่ปรนนิบัติรับใช้พระเยซูต่อไปอย่างนั้นอีกหรือ อันนี้เป็นสิ่งที่พระคำของพระเจ้าอยากที่จะถามพี่น้องในเช้าวันนี้

สรุปพระวจนะคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ 1. สิ่งที่พระเยซูเห็นทำให้เรารู้ว่าพระองค์ทรงมีนิมิตมีภาระใจ 2. สิ่งที่พระองค์รู้สึกทำให้เราทราบว่าพระองค์ทรงมีใจเมตตาสงสารและ 3. สิ่งที่พระองค์ทรงช่วยเหลือทำให้เราทราบว่าพระองค์ทรงเสียสละทุกสิ่งและทุกอย่างเพื่อเรา

Green City