ในเวลาของพระเจ้า

คำเทศนาเรื่อง ในเวลาของพระเจ้า

            ยน.11:1-44 มีชายคนหนึ่ง ชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นชนบทที่มารีย์และมารธาพี่สาวของเธออยู่นั้น 2 มารีย์ผู้นี้คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมพระองค์ และเอาผมของนางเช็ดพระบาทของพระองค์ ลาซารัสน้องชายของเธอกำลังป่วยอยู่ 3 ดังนั้นพี่สาวทั้งสอง จึงให้คนไปเฝ้าพระเยซูทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ผู้ที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่" 4 แต่เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้วก็ตรัสว่า "โรคนั้นจะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระเจ้าทรงได้รับเกียรติเพราะโรคนั้น" 5 พระเยซูทรงรักมารธาและน้องสาวของเธอและลาซารัส 6 ครั้นพระองค์ทรงได้ยินว่าลาซารัสป่วยอยู่ พระองค์จึงทรงพักอยู่ที่ที่พระองค์ทรงอยู่นั้นอีกสองวัน 7 หลังจากนั้นพระองค์ก็ตรัสกับพวกสาวกว่า "เราเข้าไปในแคว้นยูเดียกันอีกเถิด" 8 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า "พระอาจารย์เจ้าข้า เมื่อเร็วๆนี้ พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย แล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีกหรือ" 9 พระเยซูตรัสตอบว่า "วันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือ ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางวันเขาก็จะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้ 10 แต่ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางคืนเขาก็จะสะดุด เพราะไม่มีความสว่างในตัวเขา"

            11 พระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงตรัสกับเขาว่า "ลาซารัสสหายของเราหลับไปแล้ว แต่เราไปเพื่อจะปลุกเขาให้ตื่น" 12 พวกสาวกทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ถ้าเขาหลับอยู่เขาก็คงจะหายดี" 13 พระเยซูตรัสถึงความตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน 14 ฉะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเขาตรงๆว่า "ลาซารัสตายแล้ว 15 เพื่อเห็นแก่ท่านทั้งหลายเราจึงยินดีที่เรามิได้อยู่ที่นั่น เพื่อท่านจะได้เชื่อ เราไปหาเขากันเถิด" 16 โธมัสที่เรียกว่า แฝดจึงพูดกับเพื่อนสาวกว่า "พวกเราไปกับพระองค์ด้วยเถิด เพื่อจะได้ตายด้วยกันกับพระองค์" 17 ครั้นพระเยซูเสด็จมาถึง ก็ทรงทราบว่าเขาเอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว 18 หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ห่างกันประมาณสามกิโลเมตร 19 พวกยิวหลายคนได้มาหามารธาและมารีย์ เพื่อจะปลอบโยนเธอเรื่องน้องชายของเธอ 20 ครั้นมารธารู้ข่าวว่า พระเยซูกำลังเสด็จมาเธอก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในเรือน 21 มารธาทูลพระเยซูว่า "พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย 22 ถึงแม้เดี๋ยวนี้ข้าพระองค์ก็ทราบว่าสิ่งใดๆที่พระองค์จะทูลขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะทรงโปรดประทานแก่พระองค์" 23 พระเยซูตรัสกับนางว่า "น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก"

            24 มารธาทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์ทราบแล้วว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้าย เมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา" 25 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก 26 และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม" 27 มารธาทูลพระองค์ว่า "เชื่อพระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก" 28 เมื่อเธอทูลดังนี้แล้ว เธอก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบว่า "พระอาจารย์เสด็จมาแล้ว และทรงเรียกเจ้า" 29 เมื่อมารีย์ได้ยินแล้วเธอก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์ 30 ฝ่ายพระเยซูยังไม่เสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังประทับอยู่ ณ ที่ซึ่งมารธาพบพระองค์นั้น 31 เมื่อพวกยิวที่อยู่กับมารีย์ในเรือนกำลังปลอบโยนเธออยู่ เห็นมารีย์รีบลุกขึ้นเดินออกไป เขาทั้งหลายจึงตามเธอไป นึกว่าเธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์ 32 ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ประทับอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย" 33 เมื่อพระเยซูทรงเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงสะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์

            34 พระองค์ตรัสว่า "พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้ที่ไหน" เขาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด" 35 พระเยซูทรงพระกันแสง {ราชาศัพท์ แปลว่า ร้องไห้} 36 พวกยิวจึงกล่าวว่า "ดูซิพระองค์ทรงรักเขาเพียงไร" 37 แต่บางคนก็พูดว่า "ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ" 38 พระเยซูทรงสะเทือนพระทัยอีกจึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำ มีหินก้อนหนึ่งวางปิดปากไว้ 39 พระเยซูตรัสว่า "จงเอาหินออกเสีย" มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า ป่านนี้ศพมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าเขาตายมาสี่วันแล้ว" 40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า" 41 พวกเขาจึงเอาหินออก พระเยซูทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า "ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์ทรงโปรดฟังข้าพระองค์ 42 ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา" 43 เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงเปล่งพระสุรเสียง ตรัสว่า "ลาซารัสเอ๋ย ออกมาเถิด"

            44 ผู้ตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "จงแก้ผ้าที่พันออกเสีย แล้วปล่อยเขาเถิด"

            ลก.1:5-25 ในรัชกาลเฮโรด กษัตริย์ของยูเดียมีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์ อยู่ในเวรอาบียาห์ ภรรยาของเศคาริยาห์ ชื่อเอลีซาเบธ อยู่ในตระกูลอาโรน 6 เขาทั้งสองเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระเจ้า และดำเนินตามบัญญัติและกฎหมายทั้งปวงของพระเป็นเจ้าไม่มีที่ติเลย 7 แต่เขาไม่มีบุตร เพราะว่านางเอลีซาเบธเป็นหมัน และเขาทั้งสองก็ชราแล้ว 8 ขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อกองเวรของท่านเข้าประจำการ 9 ท่านได้ฉลากตามธรรมเนียมของปุโรหิต ต้องเข้าไปในพระวิหารเผาเครื่องหอมบูชา 10 ส่วนบรรดาประชาชนก็อธิษฐานอยู่ภายนอก ในเวลาเผาเครื่องหอมนั้น 11 ทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า มาปรากฏแก่เศคาริยาห์ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมบูชา 12 เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว

            13 แต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า "เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธ ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น 14 ท่านจะมีความปรีดาและยินดี และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ที่บุตรนั้นบังเกิดมา 15 เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่จำเพาะพระเจ้า เขาจะไม่กินน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลย และจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตั้งแต่ครรภ์มารดา 16 เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอลหลายคนให้หันกลับมาหาพระเจ้าของเขาทั้งหลาย 17 เขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า" 18 เศคาริยาห์จึงทูลทูตสวรรค์ว่า "ข้าพเจ้าจะรู้แน่ได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าก็ชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว" 19 ฝ่ายทูตสวรรค์นั้นจึงตอบว่า "เราคือกาเบรียลซึ่งยืนคอยรับใช้อยู่หน้าพระพักตร์พระเจ้า และทรงใช้ให้มาพูดกับท่านและนำข่าวดีนี้มาแจ้ง

            20 นี่แน่ะ เพราะท่านมิได้เชื่อถ้อยคำของเราถึงเรื่องที่จะบังเกิดขึ้นตามกำหนด ท่านก็จะเป็นใบ้ไปจนถึงวันที่การณ์เหล่านี้จะสำเร็จ" 21 ฝ่ายคนทั้งหลายที่คอยเศคาริยาห์ก็ประหลาดใจเพราะท่านอยู่ในพระวิหารช้านาน 22 เมื่อท่านออกมาแล้วก็พูดกับเขาไม่ได้ คนทั้งหลายจึงหยั่งรู้ว่าท่านได้เห็นนิมิตในพระวิหาร ท่านใช้ใบ้กับเขา และยังเป็นใบ้อยู่ 23 เมื่อหมดเวรของท่านแล้ว ท่านก็กลับไปบ้าน 24 ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ แล้วไปซ่อนตัวอยู่ห้าเดือนพูดว่า 25 "พระเจ้าได้ทรงกระทำเช่นนี้แก่ข้าพเจ้า ในวันที่พระองค์ได้ทอดพระเนตร เพื่อความอดสูของข้าพเจ้าที่มีอยู่ท่ามกลางคนทั้งปวงจะหมดสิ้นไปเสีย" และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ในเวลาของพระเจ้า” ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

            มีภาษากรีกคำหนึ่ง ที่ผมอยากให้พวกเราได้เรียนรู้ไปด้วยกันในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า “ไครรอส” ซึ่งคำว่า “ไครอส”คำนี้นั้นมีความหมายอยู่ 2 ความหมายด้วยกัน

            “ไครรอส” ในความหมายที่ 1 คือ การพูดถึงวันและเวลาที่เป็นปกติ ตย.เช่น วันนี้วันที่เท่าไหร่ ตอนนี้กี่โมงแล้ว ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Chronometer นี่คือความหมายแรกของคำว่า “ไครรอส”

            “ไครรอส” ความหมายที่ 2 หมายถึง 1.เรื่องราวที่มันจะเกิดขึ้นแต่มันยังไม่เกิดขึ้น 2. เรื่องราวที่ยังมาไม่ถึง 3.เรื่องราวที่จะต้องรอคอย ซึ่งในพระคริสตธรรมคัมภีร์มีการพูดถึง “ไครรอส” ในความหมายที่ 2 นี้เอาไว้เยอะแยะมากมาย ตั้งแต่ในหนังสือปฐมกาลเป็นต้นมา

            ตย.เช่น ปฐก.3:15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ

            ตย.เช่น ในพระธรรมอิสยาห์ ซึ่งเป็นหนังสือเล่มหนึ่งในภาคพันธสัญญาเดิม ซึ่งได้มีการพยากรณ์เอาไว้มากมายเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระผู้ไถ่, ทั้งในการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก (อสย. ๙:๖)

            และในฐานะองค์พระมหากษัตริย์ในวันสุดท้าย (อสย. ๖๓) อีกทั้งท่านยังได้พยากรณ์เกี่ยวกับอนาคตของอิสราเอลเอาไว้ด้วย นี่คือ “ไครรอส” ในความหมายที่ 2

            กลับมาที่พระคำของพระเจ้าใน ยน.11:1-44 ที่เราได้อ่านร่วมกัน เราพบอะไร ?

            ในข้อที่ 5 ทำให้เราทราบว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงทราบข่าวการป่วยของลาซารัส เพราะพี่สาวทั้ง 2 คนได้ให้คนไปส่งข่าวให้ทราบ แต่พระองค์ขอประทับอยู่ต่ออีก 2 วันในตำบลที่ยอห์นได้ให้บัพติสมา และเมื่อครบ 2 วันแล้วองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงตรัสกับสาวกว่าให้เราไปที่บ้านของลาซารัสกันเถิด

            ในข้อที่ (17) เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จมาถึงก็พบว่าพวกเขาได้เอาลาซารัสไปฝังไว้ที่อุโมงค์ฝังศพเป็นเวลา 4 วันแล้ว

ในข้อที่ (21 , 32 ) เราพบว่าทั้งมารธาและมารีย์ ต่างพูดคำเดียวกันเลย ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่น้องชายของข้าพระองค์จะไม่ตาย แปลความว่า

            1. ถ้าพระองค์มาตั้งแต่ในวันที่ดิฉันให้คนไปตาม น้องชายของดิฉันก็จะไม่ตาย

            2.ทั้งมารธาและมารีย์อยากให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จมาในเวลาของเขา 3.พระองค์มาก็ไม่ทันที่จะได้ดูใจเขาแล้ว 4. พระองค์มาตอนนี้ก็สายเสียแล้ว

            มารธากับมารีย์ กำลังพูดกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าใน “ไครรอส” ในความหมายหมายที่ 1 ไครรอสในความหมายที่ 1 คือ การพูดถึงวันเวลาปกติ

            มารธา มารีย์เอ๋ย การที่เจ้าให้คนไปตามแล้วเราไม่มาอีกทั้งเรายังขอพักที่นั่นต่ออีก 2 วันเพราะนั่นยังไม่ใช่ไครอสหรือมันยังไม่เวลาของเราเพราะฉะนั้นเจ้าต้องเรียนรู้ในการที่จะอดทนและรอคอย

            ในข้อที่ (23) องค์พระเยซูคริสต์ตรัสกับมารธาว่า “ลาซารัสจะเป็นขึ้นมาอีก” เพราะนี่คือ “ไครอส” หรือ นี่คือ “เวลาของเรา” เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เราอยู่นอกกรอบของกาลเวลา เราอยู่เหนือกาลเวลา เราดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง คือ เราไม่มีอดีตไม่มีปัจจุบันและอนาคต

            ดังนั้นเรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้นแต่ตอนนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นเพื่อที่เราจะได้รับพระเกียรติและพระสิริผ่านการตายของลาซารัส เพราะที่ผ่านมาคนส่วนมากจะเห็นแต่การที่เรารักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยให้หายดีแต่ยังไม่เคยเห็นคนตายและฟื้น

            ในข้อที่ (25-27) พระเยซูตรัสกับนางว่า เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นมาจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป และทุคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเธอเชื่อเช่นนั้นไหม มารธาทูลพระองค์ว่า "เชื่อ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก"

            ซึ่งต่างจากเรื่องราวของ เศคาริยาห์ ที่เขากับภรรยาคือนางเอลีซาเบธ นั้นเคยอธิษฐานขอบุตรกับพระเจ้าในขณะที่เขายังหนุ่มสาวอยู่ แต่บุตรก็ยังไม่มาสักที แต่เมื่อ “ไครรอส” หรือเวลาของพระเจ้ามาถึงเขากับครอบครัว เศคาริยาห์ไม่เชื่อ

            พระคำของพระเจ้าใน ยน.11:11 บอกกับเราว่า มีฑูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฎแก่เขา ฑูตสวรรค์องค์นี้ได้สารจากพระเจ้ามาถึงเขา ทูตสวรรค์บอกกับเศคาริยาห์ว่า สิ่งที่ท่านได้เคยอธิษฐานกับพระเจ้าไว้ในวัยหนุ่มนั้นพระองค์ทรงฟังนะ คำอธิษฐานเรื่องการมีบุตรของท่านสำเร็จแล้วและมันกำลังจะเกิดขึ้น

            และพระองค์ทรงใช้เรามาส่งสารกับให้ท่าน คือว่าภรรยาของท่านคือนาง เอลีซาเบธ นั้นจะตั้งครรภ์ บุตรที่คลอดออกมานั้นจะเป็นผู้ชาย เจ้าจงให้ชื่อเขาว่ายอห์น และฑูตสวรรค์ของพระเจ้าก็ยังได้พูดกับเศคาริยาห์ต่อไปอีกแยะแยะมากมาย เมื่อทูตสวรรค์ได้พูดกับเศคาริยาห์จนจบสิ้นกระบวนความ

            เศคาริยาห์ ตอบทูตสวรรค์ว่า เป็นความจริงที่ฉันกับภรรยาเคยอธิษฐานขอบุตรกับพระเจ้า ฉันอธิษฐานขอในตอนที่ฉันเป็นคู่ใหม่ปลามัน ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว แต่ตอนนี้ฉันทั้ง 2 คนนั้นแก่แล้ว มันสายเกินไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอก ว่าแต่ว่าฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นฑูตสวรรค์ของพระเจ้าจริงหรือไม่ ?

            .ในข้อที่ 19 ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงตอบว่า “เราคือการเบรียล” ตำแหน่งของเราคือ ยืนอยู่ต่อเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระองค์ทรงใช้เรามาเพื่อส่งสารนี้ให้กับท่าน เราไม่ได้ถูกส่งให้มาฟังเหตุผลหรือความคิดเห็นของท่าน แต่เรามาเพื่อจะบอกกับท่านว่า สิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นกับท่านและท่านกับภรรยาไม่มีทางเลือก

            เพราะนี่คือ “ไครอส” หรือ นี่คือ “เวลาของเรา” เราเป็นอัลฟาและโอเมกา เราอยู่นอกกรอบของกาลเวลา เราอยู่เหนือกาลเวลา เราดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของเราเอง คือ เราไม่มีอดีต ไม่มีปัจจุบันและไม่มีอนาคต

            แต่เมื่อท่านไม่มีความยินดีและเปรมปรีดิ์เพราะว่าท่านไม่เชื่อเศคาริยาห์ท่านจะต้องจ่ายราคา ในข้อที่ ยน.11 : 20 “นี่แน่ะ เพราะท่านไม่ได้เชื่อถ้อยคำของเราที่จะสำเร็จตามกำหนด ท่านจะเป็นใบ้ ท่านจะพูดไม่ได้จนกว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น” และราคาที่ท่านต้องจ่ายคือ ในขณะที่เพื่อนบ้านของท่านทุกคนต่างมีความชื่นชมยินดี ท่านจะไม่ได้รับความชื่นชมยินดีนี้เป็นเวลา 9 เดือน กับ 8 วัน

            เมื่อบุตรคนเล็กนึกขึ้นได้ว่าเขานั้นได้ทำผิดต่อบิดา เขาจึงลุกขึ้นแล้วไปหาบิดาของตน เมื่อบิดาของตนเห็นเขาแต่ไกลจึงวิ่งไปหาเขา ฝ่ายบุตรจึงพูดกับบิดาของตนว่า.....................................

            แต่พ่อทำอย่างไรครับ ? เอาแต่สวมกอด พ่อเอาจุบ โดยไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ คำถามคือว่า สาเหตุเพราะอะไร ? นี่คือ ไครรอสหรือนี่คือเวลาของของพระเจ้า

            พี่น้องลองคิดดูว่า ถ้าบิดาลองพูดกับบุตรของตนในทำนองที่ว่า กูว่าแล้วว่าไปไม่รอด เก่งนักลับมาทำไม อะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นพ่อคนนี้จึงรู้ว่านี่คือเวลาของพระเจ้า

            “ไครรอส” หรือเวลาของพระเจ้ากับโลกใบนี้ คือ พระองค์เสด็จเข้ามาแล้ว ผ่านสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ในแต่ละวันและเกิดขึ้นในทุกๆวัน พระองค์เสด็จเข้ามาในโลกนี้มากน้อยแค่ไหน ? ไม่ทราบ แต่เสด็จเข้ามาแล้วแต่พระองค์ยังไม่มาถึง

            คำถามคือว่า เรารู้ไหมว่า “ไครรอส” หรือเวลาของพระเจ้ากับเราตอนนี้คือเรื่องอะไร ?

Green City