ทำไมเราต้องเชื่อฟัง

                                                   คำเทศนาเรื่อง ทำไมเราต้องเชื่อฟัง 

                                    

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม อฟซ.6 :1 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ฝ่ายบุตรจงนบน้อมเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะการกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก ” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ทำไมเราต้องเชื่อฟัง” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่น้องที่รักครับ ปัญหาหนึ่งในหลายๆปัญหาของสังคมไทยนั่นก็คือ ปัญหาเด็กและเยาวชน ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่ๆเกี่ยวข้องกับปัญหานี้โดยตรงได้พูดอย่างชัดเจนว่า สาเหตุของปัญหานี้เกิดจาก พ่อแม่ ผู้ปกครอง ขาดการอบรมสั่งสอนรวมทั้งขาดการดูแลและเอาใจใส่ พอเด็กและเยาวชนเหล่านี้ได้ไปก่อปัญหาหรือสร้างปัญหาขึ้นมา และเขารู้ว่าพ่อ แม่ ผู้ปกครองนั้นได้ปล่อยปะละเลยเด็กๆเหล่านี้ เขาจะพากันพูดว่าอย่างไรครับพี่น้อง ?

เขาจะพากันพูดว่า “ไอ้ลูกพ่อ แม่ ไม่สั่งสอน” ซึ่งโดยแท้จริงแล้วคนที่พูดว่านั้น เขาไม่ได้พูดว่าเด็กๆหรอกนะครับ แต่เขาต้องการพูดว่าใครครับ ? เขาต้องการพูดว่าผู้ใหญ่นั่นแหละ

อีกสาเหตุหนึ่งมาจากการที่พ่อ แม่ ผู้ปกครองให้การอบรมสั่งสอน ให้การดูแลเอาใจใส่ต่อบุตรของตน แต่เด็กเหล่านี้ไม่สนใจ ไม่เชื่อฟัง ชอบแต่จะเที่ยวเตร่ ป็นคนพาลเกเร พอเด็กและเยาวชนเหล่านี้ไปสร้างปัญหาขึ้นมา และเพื่อนบ้านใกล้เคียงเขารู้ว่าพ่อ แม่ ผู้ปกครองบ้านนี้ดูแลเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างดี เขาจะพากันพูดว่าอย่างไรครับพี่ น้อง ?

เขาจะพากันพูดว่า “ไอ้เด็กไม่รักดี” หรือไม่ก็พูดว่า “ไอ้เด็กไม่เอาถ่าน” เป็นต้น ชีวิตของเด็กเหล่านี้จะมีคุณภาพที่ต่ำ การใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้นไม่มีจุดหมาย

อนาคต ของเด็กและเยาวชนเหล่านี้คำว่า คต ต้องสะกดด้วย คด คือ คดจริงๆ ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาหนึ่งของสังคมไทยที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก

พี่น้องที่รักครับ พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระบิดาของเรา พระองค์ทรงได้มอบคำสอนที่เป็น นิรันดรให้กับเราทั้งหลาย ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ทั้งต่อฝ่ายร่างกายและต่อฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเราทุกๆคน และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้เราทั้งหลายซึ่งเป็นบุตรีบุตราของพระองค์ได้เชื่อฟังในคำสอนของพระองค์และนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างเคร่งครัด เพื่อที่เราจะไม่ทำตามใจตนเอง แต่เพื่อที่เราทั้งหลายนั้นจะได้ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า เพื่อที่พระสัญญาหรือพระพรแห่งการเชื่อฟังพระเจ้านั้นจะได้ไหลลงมาจะได้เทลงมาสู่ชีวิตของเราอย่างมากมายในทุกๆด้าน

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบว่า พระเยซูคริสต์เจ้าพระองค์ทรงดำรัสสั่งให้เราเชื่อฟังบิดา มารดาในฝ่ายร่างกายหรือให้เรานั้นเชื่อฟังพ่อ แม่ในฝ่ายโลก และทรงดำรัสสั่งให้เราเชื่อฟังบิดาในฝ่ายจิตวิญญาณด้วย

อย่างไรก็ตามพระวจนะของพระเจ้าในเช้าวันนี้ จะโฟกัสหรือมุ่งเน้นไปที่การเชื่อฟังบิดาในฝ่ายจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียวนะครับ

คำถามก็คือว่าใครคือ บิดาในฝ่ายวิญญาณของเราครับพี่น้อง ?

พระเจ้า พระบิดา พระองค์ คือ บิดาในฝ่ายวิญญาณของเรา ดังนั้นเราทุกคนต้องเชื่อฟังพระองค์

คำถามที่น่าสนใจอีกประหนึ่งนั่นก็คือว่า ทำไมเราต้องเชื่อฟังพระองค์ ?

ประการที่ 1 อยู่ใน 1 ยน. 4 :19 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน”

เราควรเป็นคนที่เชื่อฟังพระองค์ เพราะความจริงที่ว่าพระองค์นั้นทรงทำไมครับพี่น้อง ?

เราควรเป็นคนที่เชื่อฟังพระองค์ เพราะความจริงที่ว่าพระองค์นั้นทรงรักเราก่อน และในยน. 3 :16 ให้ที่ประชุมได้เปิดไปที่ ยน.3 :16 และอ่านพร้อมกันด้วยเสียงดังเชิญครับ

ใน ยน. 3:16 ยิ่งทำให้เราทุกคนได้รู้และได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ความรักที่พระเยซูคริสต์ทรงมีต่อเราทุกๆคนนั้น มากมายเพียงใดและยิ่งใหญ่มากน้อยแค่ไหน

ดังนั้นเราทุกๆคนจึงสมควรที่จะตอบแทน ความจริงที่ยิ่งใหญ่นี้ ด้วยการที่เราทำไมครับพี่ น้อง ?

ดังนั้นคริสเตียนทุกๆคน บุตรี บุตราของพระองค์ทุกๆคนสมควรที่จะต้องตอบแทนความจริงที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วยการเชื่อฟังผ่านทางพระวจนะพระองค์

มีคุณแม่คนหนึ่งพาลูก 4 คน ไปเที่ยวศูนย์สรรพสินค้า ลูกคนหนึ่งเจอไอ้นั่นก็อยากได้ ลูกอีกคนหนึ่งเจอไอ้นี่ก็อยากได้ คุณแม่ก็พยายามที่จะควบคุมดูแลลูกทั้ง 4 คนโดยการพูด โดยการสั่งห้าม อย่างไรก็ตามปรากฏว่าลูกคนหนึ่งได้ขโมยของจากห้างสรรพสินค้านั้น

พี่น้องคิดว่าการที่ลูกคนหนึ่งได้ขโมยของจากศูนย์สรรพสินค้านั้นเป็นการเชื่อฟังคุณแม่ของเขามั้ยครับ ?

เช่นเดียวกันพี่น้องที่รักครับ ไม่ว่าพระคำของพระเจ้านั้นจะตรัสอะไรกับเรา หรือพูดอะไรกับเราก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากการเชื่อฟังพระองค์แล้วนั่นก็คือ การที่เรายอมจำนนต่อสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะนั้นและทำตามพระวจนะนั้นทุกๆประการ

พี่น้องฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ดีๆนะครับ สิ่งที่ผมจะพูดนั่นก็คือว่า เมื่อใดก็ตามที่เราตอบแทนความรักที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วยการยอมจำนนต่อสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าอีกทั้งทำตามพระวจนะของพระเจ้าเฉพาะเพียงบางข้อหรือเฉพาะข้อที่เราทำได้ นั่นก็เท่ากับว่าเราไม่ได้เชื่อฟังพระองค์อย่างแท้จริง

ซึ่งเป็นความบาปไหมครับพี่น้อง ? เป็นความบาป

และพี่น้องทราบไหมครับว่า บาปชนิดไหนที่คริสตเตียนเรานั้นผิดพลาดกับพระเจ้ามากที่สุด

คำตอบก็คือ บาปแห่งการไม่เชื่อฟังนั่นเองที่คริสเตียนเรานั้นผิดพลาดกับพระเจ้ามากที่สุด

ขอพระเจ้าช่วยเรา ที่เราทั้งหลายจะตอบสนองความรักและความจริงที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วยการที่เราจะเชื่อฟังพระองค์ในทุกๆกรณีอย่างไม่มีแม้ ไม่มีแต่และอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

ทำไมเราต้องเชื่อฟังพระองค์ ?

ประการที่ 2 อยู่ใน ยน.14 :21 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดที่มีพระบัญญัติของเราและประพฤติตามพระบัญญัตินั้น ผู้นั้นแหละเป็นผู้ที่รักเรา และผู้ที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา”

มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนที่สวยมาก ใครต่อใครก็พากันบอกว่ารัก ใครต่อใครก็พากันบอกคิดถึงเธอ

วันหนึ่ง...ผู้หญิงที่สวยมากคนนี้ ต้องการที่จะรู้ว่าผู้ชายคนไหนกันแน่ที่รักเธอจริงๆเธอจึงตัดสินใจที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง และเหตุที่เธอตัดสินใจอย่างนั้นก็ทำให้ผู้ชายทั้งหลายที่บอกว่ารักเธอ คิดถึงเธอ ได้รู้ว่าเธอท้องขึ้นมา

ไม่นานผู้ชายที่บอกรักเธอ คิดถึงเธอก็พากันตีจากไปจากเธอ

แต่มีผู้ชายคนหนึ่งได้มาสำแดงตัวกับเธอ แล้วพูดกับเธอว่า….

ไม่ว่าลูกของใครในท้องของเธอ….ผมก็ยังรักคุณเสมอและยินดีที่จะรับคุณเป็นภรรยาของผมด้วยความเต็มใจ พอผู้ชายคนนี้พูดจบ…ผู้หญิงคนนี้ก็ร้องไห้และพูดว่า

“ฉันไม่ได้ท้อง” แต่ฉันต้องการพิสูจน์ว่าผู้ชายคนไหนที่มันรักฉันจริง

พระวจนะของพระเจ้าใน ยน.14 :21 ทำให้เรารู้ว่านี่เป็นบทพิสูจน์รักที่พระเจ้าต้องการทดสอบเราว่าเราต้องรักพระองค์ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดด้วยปากเท่านั้น แต่เราต้องพิสูจน์ความรักของเราที่มีต่อพระองค์ด้วยการเชื่อฟังและประพฤติ ปฏิบัติตาม โดยการสำแดงออกมาในการดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวันทุกๆวัน เมื่อใดก็ตามที่การดำเนินชีวิตของเราในแต่ละวันนั้นมันเกิดการขัดแย้งหรือว่าสวนทางกับพระวจนะของพระเจ้า นั่นหมายความว่า เรากำลังหันเหจิตใจของเราออกห่างจากพระองค์

ครอบครัวในปัจจุบันที่สามีหมดความรักในตัวภรรยาของตนหรือหันเหจิตใจของเขาไปหาผู้หญิงอื่น พี่น้องคิดว่าสามีเหล่านี้ได้เข้าไปสู่การทำความผิดความบาปไหมครับ ?แม้อาจจะไม่ใช่ทุกคน แต่เป็นส่วนมากเลยที่เดียวที่เข้าไปสู่ความผิดความบาป

คริสเตียนที่ไม่ได้มีความรักพระเจ้าจากส่วนลึกของภายในจิตใจจริงๆก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก ที่เขามักจะหันเหจิตใจของเขาออกห่างจากพระเจ้าได้อย่างง่ายๆ พระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตของเรา เขากับหนี เขากับไม่รับเอา ผู้เชื่อหลายต่อหลายคนจึงสอบตกบทพิสูจน์นี้

ขอพระเจ้าช่วยเรา ที่พวกเราชาวแม่กลองสมุทรสงคราม จะพิสูจน์ตนเองในความรักที่มีต่อพระเจ้าไม่ใช่เพียงแค่คำพูดเท่านั้น แต่เราจะพิสูจน์ความรัก ที่เรามีต่อพระเจ้าด้วยการประพฤติ การปฏิบัติตามโดยการสำแดงชีวิตของเราในแต่ละวันทุกๆวัน แน่นอนเราอาจจะทำไม่ได้ในระยะเวลาข้ามคืนหรืออาจจะทำไม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ขอให้เรามีความตั้งใจที่จะก้าวผ่านบทพิสูจน์นี้ร่วมกัน เชื่อว่าทุกๆคนที่มีความตั้งใจจะก้าวผ่านบทพิสูจน์รักของพระเจ้านี้ร่วมกันอย่างแน่นอน

ทำไมเราต้องเชื่อฟังพระองค์ ?

ประการที่ 3 อยู่ใน ฉธบ.10 :12-13 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ ดูก่อนคนอิสราเอล พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงประสงค์ให้ท่านกระทำอย่างไรคือให้ยำเกรงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ด้วยสุดจิต สุดใจของท่านทั้งหลาย และให้รักษาพระบัญญัติและกฏเกณฑ์ของพระเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย ”

จากพระวจนะของพระเจ้าในข้อนี้เราพบว่า พระเจ้าได้ทรงบัญชาเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจนโดยได้ระบุคำว่า ให้ ถึง 4 ครั้งด้วยกัน ได้แก่ให้อะไรบ้างครับพี่น้อง ? 1.คือ ให้เรายำเกรงพระเจ้า 2.คือ ให้เราดำเนินชีวิตตามทางทั้งปวงของพระองค์ 3.คือ ให้เรารักพระองค์และสุดท้ายคือให้เราปรนนิบัติพระองค์

มีสงครามระหว่างประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น ผู้นำทัพได้สั่งทหารให้ไปตัดไม้ไผ่มาคนละดุ้น และสั่งว่าเมื่อตัดเสร็จแล้วให้เอาปลายของมันปักลงดิน แต่มีทหารคนหนึ่งกับปักแต่เอาโคนของมันลงดิน เมื่อผู้นำทัพตรวจพบ จึงพูดว่าสั่งไม่เชื่อแล้วจะไปรบกับผมได้อย่างไร

พี่น้องคิดว่า สิ่งที่ผู้นำทัพสั่งนั้นเพื่อประโยชน์ของใครครับ ? ระหว่างประโยชน์ของผู้นำหรือประโยชน์ของพลทหาร

พระบัญชาของพระเจ้าใน ฉลธ.10 :12-13 ได้กระตุ้นคริสเตียนทุกๆคนให้เชื่อฟังพระองค์ ในพระวจนะของพระเจ้าได้กล่าวต่อไปอีกว่า “ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้เพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย ”

ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาให้เราทำอะไรก็ตามผ่านทางพระวจนะของพระองค์ ให้เรานั้นเชื่อฟัง ให้เรานั้นทำตามโดยไม่มีข้อแม้ ให้เราทำตามโดยไม่มีข้อแม้หรือข้อต่อรองใดๆ เลยนอกจากทำตามเท่านั้น

ผมขอบคุณพระเจ้าที่พี่น้องสมาชิกของเราหลายท่านมีใจที่อยากจะปรนนิบัติและรับใช้พระเจ้า และสิ่งหนึ่งที่พี่น้องมักจะได้ยินผมพูดอยู่เสมอๆนั่นก็คือว่า การรับใช้พระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีแต่จะดีมากๆถ้าพี่น้องเข้าใจการรับใช้

พระคำของพระเจ้าใน คลส. 1 :16 บอกกับเราว่า พระราชกิจของพระเจ้าเป็นพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ ระดับฟ้าสวรรค์แผ่นดินโลก

พระคำของพระเจ้าใน ใน อฟซ. 1 :21 บอกกับเราว่า พระราชกิจของพระเจ้านั้นเป็นพระราชกิจที่ จะต้องต่อสู้กับเทพผู้ครองเหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร

พระคำของพระเจ้าใน ใน อฟซ. 6 :12 บอกกับเราว่า พระราชกิจของพระเจ้านั้นเป็นพระราชกิจที่จะต้องต่อสู้กับสิ่งที่ตามองเห็นและกับสิ่งที่ตามองไม่เห็น

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยพี่น้องที่รัก ที่เราจะปรนนิบัติพระองค์โดยการที่เราไม่เชื่อฟังพระองค์ เปรียบเสมือนกับทหารคนเมื่อสักครู่นี้ที่ไม่ยอมเอาปลายลงดินแต่กับปักเอาโคนลงดิน แล้วมันจะไปรบร่วมกันได้อย่างไร

พื้นฐานอย่างแรกเลยของการที่พี่น้องจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้านั่นคือ การเชื่อฟัง โดยเฉพาะสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชานั้นเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติอย่างไม่มี ไม่มีแต่และไม่มีเงื่อนไขหรือข้อต่อรองใดๆ และนี่เป็นกุญแจดอกหนึ่งที่สำคัญที่จะทำให้พี่น้องนั้นมีส่วนในแผนการณ์ของพระเจ้า

และถ้าพี่น้องพัฒนาการเชื่อฟัง สัตย์ซื่อในการเชื่อฟัง ทำตามการเชื่อฟังนั้นอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะให้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าเสมอ พระเจ้าจะให้นิมิตแก่พี่น้องเพื่อที่พี่น้องจะมีส่วนในแผนการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน

สรุป เราต้องเชื่อฟังพระองค์เพราะ

1. พระองค์ทรงรักเราก่อน

2. เป็นบทพิสูจน์ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า

3. เป็นพระบัญชาของพระองค์

Green City