ท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้รับใช้ของพระเจ้า

คำเทศนาเรื่อง ท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้รับใช้ของพระเจ้า

      

            สวัสดีครับพี่ - น้องที่รัก ในเช้าวันนี้ผมขออนุญาต ที่จะใช้เวลาในการแบ่งปันพระคำของพระเจ้ากับพี่ - น้องในเวลาที่ไม่นานนัก เพราะกำลังของผมส่วนหนึ่งได้ถูกใช้ออกไปแล้วในการนำพี่น้องนมัสการพระเจ้า พี่ - น้องได้รับพระพรไหมครับ อาเมน

และข้อพระคัมภีร์ ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้ ผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจาก 1 ทมธ. 5:17-18 ให้ที่ประชุมได้เปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

คณะผู้ปกครองที่บริหารกิจการของคริสตจักรได้ดี ควรได้รับเกียรติเป็นสองเท่าโดยเฉพาะบรรดาผู้ทำหน้าที่เทศนาและสั่งสอนเพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า อย่าเอาตระกร้อครอบปากวัวซึ่งนวดข้าวอยู่ และคนทำงานสมควรได้รับค่าจ้างของตน และผมจะให้ชื่อของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า ท่าทีที่ถูกต้องต่อผู้รับใช้ของพระเจ้า ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

            พี่ - น้องที่รักครับ วันที่ 26 มี.ค. 2003 เป็นวันที่ผมจำได้อย่างแม่นยำว่าวันนั้นเป็นวันที่ผมได้ตัดสินใจ ที่จะถวายตัวที่จะปรนนิบัติและรับใช้พระเจ้าในฐานะศิษยาภิบาล และจังหวัดที่พระเจ้าทรงนำให้ผมได้มีโอกาสเดินทางไปรับใช้นั่นก็คือที จ. บุรีรัมย์ ซึ่งผมก็คงจะไม่พูดถึงรายละเอียดในงานรับใช้พระเจ้าของผมที่นั่นเท่าไหร่นัก

            แต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่ง ที่ผมได้รับความสะเทือนใจเป็นอย่างมากนั่นก็คือ มีเพื่อนผู้รับใช้พระเจ้าท่านหนึ่ง เขาเกิดเจ็บไข้ไม่สบาย ซึ่งคุณหมอเจ้าของไข้ก็ได้รับเพื่อนผู้รับใช้คนนี้เอาไว้เป็นคนไข้ในหรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Admit / IPD นั่นเอง

เมื่อผมทราบข่าว โดยส่วนตัวผมก็มีใจที่อยากจะไปเยี่ยมเพื่อนผู้รับใช้ท่านนี้ ผมก็เลยขอให้พี่ - น้องในคริสตจักรแห่งนั้นได้เป็นคนพาผมไปเยี่ยม ซึ่งเขาก็มีความยินดี และเขาก็ได้พาผมขึ้นรถอีแต๊กไป พร้อมกับลูกชายของเขาคนหนึ่ง อายุก็ประมาณสัก 9 - 10 ขวบน่าจะได้ปัจจุบันี้ก็น่าจะประมาณ 19 - 20 ปีน่าจะได้

เมือไปถึงที่โรงพยาบาล ผมก็มุ่งหน้าไปที่ตึกที่คนไข้พักรักษาตัวอยู่เมื่อพบเพื่อนผู้รับใช้ท่านนี้ ผมก็เห็นว่าเพื่อนผู้รับใช้ท่านนี้เขานอนรวมกับคนไข้คนอื่นๆอยู่ เสียงในห้องคนไข้รวมก็ดังพอสมควร ญาติคนไข้ก็เดินขวักไขว่กันพอดู ซึ่งผมเชื่อว่าบรรยากาศอย่างนี้พี่ - น้องคงเข้าใจสภาพที่ผมสื่อนี้เป็นอย่างดี

เหตุเพราะผู้รับใช้พระเจ้าท่านนี้เขาใชบัตร 30- ในขณะเดียวกันผมก็มองว่าเพื่อนผู้รับใช้ท่านนี้ก็ดูขาดซึงสง่าราศีของพระเป็นเจ้า ผมก็เลยถามเพื่อนผู้รับใช้ท่านนี้ว่า อาจารย์ทำไมถึงดูโทรมจังเลย

ศิษยาภิบาลท่านนี้ตอบผมว่า ปากร้องท้องกิ่ว ครับอาจารย์ ต้องอยู่แบบไปวันๆ

ผมจึงถามต่อไปว่า แล้วพี่ - น้องสมาชิกในโบสถ์ของอาจารย์ล่ะ ?

ศิษยาภิบาลท่านนี้ตอบผมว่า สมาชิกของผมมันขี้เหนียว เขามาตักตวงพระพรที่จะได้รับจากคำเทศนาของผมทั้งนั้นแหละ

ซึ่งผมก็ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกับศิษยาภิบาลท่านนี้ สักเท่าไหร่นักลูกของสมาชิกคนนี้ก็โพล่งคำพูดหนึ่งขึ้นมาว่า

พ่อๆๆ ถ้าผมโตขึ้นแล้ว พ่อให้ผมรับใช้พระเจ้าแล้วเป็นอย่างนี้ ผมไม่เอาด้วยเด่ ซึ่งทำให้พระนามของพระเจ้าจะต้องได้รับความอับอายจากเตียงที่อยู่ข้างๆเป็นอย่างมาก ซึ่งเรื่องไม่ได้จบเพียงเท่านี้นะครับพี่ - น้อง ผมได้หยิบเงินในกระเป๋าเพียงเท่าที่ผมถวายได้ให้กับอาจารย์ท่านนี้

ศิษยาภิบาลท่านนี้ตอบผมว่า ผมรับเงินนี้เอาไว้แล้วนะครับอาจารย์ แต่ผมขออนุญาตที่จะถวายคืนให้กับอาจารย์ เพื่ออาจารย์จะได้เก็บเงินนี้เอาไว้ใช้ในยามที่อาจารย์มีอายุเท่าผมเนี่ยแหละ พูดแล้วอาจารย์ท่านนี้ก็น้ำตาไหล

คำถามก็คือว่า เมื่อพี่ - น้องได้ยินเรื่องอย่างนี้แล้ว พี่ - น้องคิดอย่างไรครับ

            สิ่งที่ผมต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องผ่านเรื่องเล่าเรื่องนี้นั่นก็คือว่า ?

ตลอดระยะเวลาที่ผมเป็นผู้เชื่อหรือเป็นคริสเตียนมา 10 กว่าปี

ผมพบว่าพี่ - น้องคริสเตียนไทยนั้นมักที่จะท้าทาย , มักที่จะหนุนใจให้คนหนุ่มคนสาวคนที่มีความรู้ความสามารถหรือคนที่มีศักยภาพ ให้อุทิศตัวหรือถวายตัวที่จะรับใช้พระเจ้า ซึ่งคนที่มีคุณสมบัติที่ผมได้กล่าวถึงเมื่อสักครู่นี้ พี่ - น้องคิดว่าโดยส่วนมากเขาพร้อมไหมครับ ที่จะเดินเข้าสู่ถนนสายนี้ ? คำตอบคือ น้อยมาก

ค่ายคนหนุ่มสาวที YC ได้จัดขึ้นและเพิ่งจบไป ซึ่งก่อนหน้าที่จะจัดค่ายขึ้นมานั้นเขาได้ตั้งเป้าหมายว่า จะมีลูกค่ายซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวสมัครมาร่วมค่ายในปี 2013 นี้ประมาณ 1,500 คน แต่มีเพียงแค่ 1,050 คนเท่านั้นที่มาร่วมค่ายนี้ และมีผู้ที่ถวายตัวจะรับใช้พระเจ้าผ่านการจัดค่ายในครั้งนี้ประมาณ 10 %

ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไรครับ ? ซึ่งนั่นหมายความว่า ส่วนที่เหลือเขาไปประกอบวิชาชีพอื่นกันหมด บางคนเขาอาจจะขอมีส่วนร่วมในการรับใช้ในลักษณะเป็น I Serveคือ เป็นครั้งคราว แล้วแต่จะมี Christian Event อะไรขึ้นมา ฉันก็จะขอไปเป็นส่วนหนึ่งที่จะมีส่วนร่วมรับใช้แต่พอจบงานแล้วก็จบกัน

ด้วยเหตุนี้พี่ - น้องจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมพระกิตติคุณของพระเจ้าที่ได้เข้ามาถึงประเทศเกือบจะ 200 ปีแล้วมันถึงไม่ได้ไปไหนเสียที

ซึ่งต่างกับประเทศเกาหลีใต้ชนิดฟ้ากับเหว หมายความว่ามันช่างห่างไกลกันมาก ซึ่งโดยแท้ที่จริงแล้วพระกิตติคุณของพระเจ้ามาถึงประเทศเกาหลีใต้ช้ากว่าประเทศไทยประมาณเกือบ 60 ปี แต่ในเวลานี้คริสเตียนเกาหลีและคริสตจักรของประเทศเกาหลี เขาต่างไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว แต่พอเรากับมาดูคริสเตียนไทยหรือคริสจักรไทยมันดูเหมือนกับเราไม่ไปไหนกันเสียที

กับมาดูเรื่องสดๆร้อนๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมากันสักนิดหนึ่ง พี่ - น้องทราบไหมครับว่า เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ประเทศสิงค์โปร์ได้ออกกฏหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง และมีผลบังคับใช้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา รัฐบาลสิงค์โปร์ได้ออกกฏหมายอย่างนี้ครับว่า

ถ้าคริสตจักรไหนต้องการที่จะมีศิษยาภิบาล คริสตจักรนั้นจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับศิษยาภิบาล อย่างน้อยคิดเป็นเงินไทยประมาณ 100,000-

ด้วยเหตุนี้นี่เอง ทำให้ศิษยาภิบาลคนไทยหลายคนเวลานี้ อธิษฐานกับพระเจ้า เขาอธิษฐานว่าอยากอยู่หรืออยากไปครับ อยากที่จะไปเป็นศิษยาภิบาลที่ถูกส่งไปดูแลฝ่ายจิตวิญญาณคนงานไทยที่รับเชื่อที่สิงค์โปร์

คำถามคือว่า ทำไมเขาถึงไม่อยากรับใช้คริสตจักรไทยแล้วล่ะ

ซึ่งแน่นอนคำตอบมันอาจจะมีหลายคำตอบ แต่คำตอบหนึ่งที่ผมอยากที่จะแบ่งปันกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้ นั่นก็คือการที่พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรไทยโดยส่วนมาก ไม่ได้มีท่าทีแสดงถึงความห่วงใยต่อคนของพระเจ้าอย่างแท้จริง

มิหนำซ้ำยังมีพี่ - น้องสมาชิกบางคน พูดในทำนองที่ว่า คนที่ปรนนิบัติพระเจ้าก็ให้กินอาหารที่โบสถ์ ส่วนคนที่ปรนนิบัติที่แท่นบูชาก็ให้รับส่วนแบ่งจากที่แท่นบูชา หรือจากถุงถวายนั่นแหละ ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว สิบลดในถุงถวายทั้งเดือนของคริสตจักรท้องถิ่นหลายๆแห่ง รวมถึงที่นี่ด้วยยังไม่พอค่าใช้จ่ายของคริสตจักรเลยแล้วจะเอาที่ไหนมาเลี้ยงดูผู้รับใช้

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก หลายคนที่มีความรู้ ความสามารถหรือมีศักยภาพที่ดี เขาจึงไม่เลือกที่จะเข้ามาเดินในถนนสายนี้ หรือถ้าจะรับใช้เขาก็ขอเลือก เลือกที่จะไปรับใช้กับบางองค์การ, องค์กร , หน่วยงานที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รักคริสตจักรไทยโดยเฉพาะคริสตจักรในต่างจังหวัดมากมายหลายแห่งจึงมี High Percentage หรือมีเปอร์เซ็นต์ของศิษยาภิบาลที่มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่ผมพูดอย่างนี้นั่นมิได้หมายความว่า ผมพิพากษาหรือตัดสินเพื่อนผู้รับใช้หรือบอกว่าผมดีกว่าคนอื่นนะครับ

แต่ 187 ปีที่ผ่านมา ที่พระกิตติคุณของพระเจ้าได้เข้ามาในประเทศไทยแต่เรายังมีผู้เชื่อไม่ถึง 500,000 คนอันนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ชี้ชวนและทำให้เราพอที่จะเข้าใจถึง การมีอยู่ของผู้รับใช้ของพระเจ้าในประเทศไทย ทั้งในช่วงของอดีตที่ผ่านมาและปัจจุบันที่เป็นอยู่ในเวลานี้และหรืออาจจะหมายรวมถึงอนาคตด้วยหรือเปล่าไม่ผมยังไม่แน่ใจ

ดังนั้นถ้าพี่ - น้องสมาชิกของคริสตจักรใดก็ตาม ที่ได้อยู่ภายใต้การอภิบาลของศิษยาภิบาลหรือผู้รับใช้ของพระเจ้าที่มีความรู้ ความสามารถและมีศักยภาพ ผมคิดว่าพี่ - น้องน่าจะเรียนรู้ในการที่จะขอบพระคุณพระเจ้า อีกทั้งพี่ - น้องน่าที่จะเรียนรู้ในการที่จะสนับสนุนผู้รับใช้ของตน ทั้งในด้านการอธิษฐานเผื่อ และสนับสนุนทางด้านในฝ่ายกายภาพของเขาอย่างเต็มที่

คำถามคือว่าเพราะอะไรผมถึงพูดอย่างนั้น ?

ถ้าวันนี้พี่ - น้องเดินไปที่ Lotus พี่ - น้องคิดว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกไหมครับ ? ถ้าวันนี้พี่ - น้องไปกินสุกี้ MK เมื่อรับประทานเสร็จเรียบร้อยแล้วและพี่ - น้องเดินไปจ่ายเงินที่ร้าน KFC มันคงจะเป็นเรื่องที่แปลกมาก

เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก ถ้าพี่ - น้องได้กินอาหารฝ่ายจิตวิญญาณที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าปรุงให้กับพี่ - น้องได้กิน พี่ - น้องก็ควรที่จะจ่ายค่าอาหารฝ่ายจิตวิญญาณให้กับเขาได้กินด้วยเช่นกัน

เหมือนกับที่พระคำของพระเจ้าตรัสว่า อย่าเอาตระกร้อครอบปากวัวซึ่งนวดข้าวอยู่และคนทำงานสมควรได้รับค่าจ้างของตน ยิ่งกว่านั้นถ้าผู้รับใช้ของพระเจ้าคนไหน ปรุงอาหารฝ่ายจิตวิญญาณให้กับพี่ - น้องสมาชิกได้กินอย่างเต็มที่

พระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเขาก็ควรที่จะได้รับเกียรติหรือเขาควรที่จะได้รับรางวัลจากผู้ที่ได้รับประโยชน์จากคำสอนนั้นถึง 2 เท่าอาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า พี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรนั้นๆต่างมีหน้าที่ๆจะต้องเลี้ยงดูผู้ที่เลี้ยงดูฝ่ายจิตวิญญาณของตนให้เหมาะสม

สิ่งที่น่าเศร้าใจนั่นก็คือว่า เวลานี้ผู้ทำการ , ศิษยาภิบาลหรือผู้รับใช้ของพระเจ้าหลายต่อหลายคนโดยเฉพาะผู้รับใช้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ทรงโปรดเรียกและเลือก รวมทั้งได้ทรงโปรดเจิมและแต่งตั้งเขาเอาไว้โดยส่วนมากนั้นในเวลานี้พอเดินไปไหนมาไหนต้องทำตัวหงอๆขาดซึ่งสง่าราศี ขาดซึ่งพระสิริของพระเจ้า

เหตุเพราะคนของพระเจ้า ไม่ได้รับค่าจ้างของตนหรืออาจจะได้รับแต่ไม่ได้รับในอัตราที่เหมาะสมตามสมควร อีกทั้งไม่ได้รับสิ่งที่ดีจากผู้ที่ได้รับประโยชน์จากคำเทศน์คำสอนของตน อันนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก

            ซึ่งในพระธรรม กลท.6:6 พระคำของพระเจ้าตรัสเอาไว้ว่าอย่างไรครับ ส่วนผู้ที่รับคำสอน จงแบ่งสิ่งที่ดีทุกอย่างให้แก่ผู้ที่สอนตนเถิด

พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อผู้รับใช้ของพระเจ้าคนใดก็ตาม ที่เขานั้นได้เทศนาสั่งสอนพระคำของพระเจ้าโดยตระหนักถึงความรับผิดชอบอีกทั้งรักและเอาใจใส่ฝูงแกะในความรับผิดชอบของตน

และเมื่อพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรคนไหนก็ตามที่มีความเดือดร้อน หรือทำความผิดความบาปและเขาก็พร้อมเสมอที่จะนำพี่ - น้องสมาชิกเหล่านั้นให้เข้ามาใกล้ชิดพระเจ้า ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องว่าผู้รับใช้พระเจ้าอย่างนี้แหละครับ ที่เขาสมควรจะได้รับพระพรจากพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักร

ในขณะเดียวกันศิษยาภิบาลหรือผู้รับใช้ของพระเจ้านั้น ก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่มากพอ ในการที่จะคาดหวังกับพระพรที่ได้รับจากพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักร

พระคำของพระเจ้าใน1คร.9:7 ตรัสดังนี้ว่าใครบ้างที่เป็นทหารโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง ใครบ้างปลูกองุ่นและไม่ได้กินผลองุ่นจากสวนนั้น ใครบ้างเลี้ยงปศุสัตว์และไม่ได้กินนม ดังนั้นศิษยาภิบาลหรือผู้รับใช้ของพระเจ้านั้น ก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่มากพอในการที่จะคาดหวังกับพระพรที่ได้รับจากพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักร

ในขณะเดียวกันศิษยาภิบาลเองหรือผู้รับใช้ของพระเจ้าเองก็ดีก็ควรที่จะตระหนักอย่างชัดเจนด้วยว่า โดยแท้จริงแล้วนั้นแหล่งพระพรนั้นมาจากพระเจ้า โดยพี่ - น้องสมาชิกเหล่านั้นเป็นเพียงท่อแห่งพระพรเท่านั้น

ในขณะเดียวกันท่าทีในการแสดงออกของพี่ - น้องสมาชิกในการถวายให้กับผู้รับใช้ของพระเจ้า ก็เป็นท่าทีที่พี่ - น้องก็จะต้องพึงระมัดระวังอย่างมากด้วยเช่นกัน เพราะพระคำของพระเจ้าใน 2 คร.9 :7 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า พระเจ้าทรงรักผู้นั้นที่ให้ด้วยใจยินดีด้วยความเต็มใจมิใช่ฝืนใจ

เพราะฉะนั้นพี่ - น้องสมาชิกคนไหนก็ตาม ที่ให้กับพระเจ้าผ่านการถวายให้กับผู้รับใช้ด้วยใจที่ไม่ยินดี หรือให้เพราะนึกเสียดาย และหรือให้ไปงั้นๆแหละเพราะไม่อยากให้ใครต้องมาพูดอะไรมาก…เบื่อ

ผมคิดว่าพี่ - น้องสมาชิกคนนั้นจะต้องกลับใจใหม่หรือไม่ต้องถวายเลยก็คงจะไม่มีใครว่าอะไร เพราะโดยส่วนมากคนของพระเจ้าก็มักที่จะไม่ยอมที่จะให้อะไรมาขัดขวางการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้

แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ - น้องจะต้องเข้าใจให้ตรงกันและให้ถูกต้องนั่นก็คือว่า การถวาย ทศางค์ หรือว่า สิบลด กับการถวาย พิเศษ นั้นมันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน

การถวาย ทศางค์ หรือ สิบลด นั้นชื่อมันก็ตรงตัวมากเลยนะครับพี่ - น้องว่ามันเป็นการถวายให้กับพระเจ้า เปรียบเสมือนกับการที่พี่ - น้องนั้นจ่ายภาษีในการทรงเนรมิตสร้างให้กับพระเจ้า เป็นค่าออกซิเจนในอากาศที่พี่ - น้องใช้หายใจในแต่ละวัน , เป็นค่าแสงแดด , เป็นค่าสายลมที่พัดโบกวีให้กับเรา เป็นต้น

แต่การถวาย พิเศษ ชื่อมันก็บอกกับเราอย่างชัดเจนอีกเช่นกันว่า มันเป็นการถวาย พิเศษ เป็นการถวายที่พี่ - น้องนั้นสามารถที่จะเข้าส่วนหรือร่วมส่วนและหรือเป็นหุ้นส่วนในพระราชกิจของพระเจ้า เช่น

การถวายเพื่อการก่อสร้างพระนิเวศน์ , การถวายเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งพระพรในเรื่องนั้น เรื่องนี้ , การถวายเพื่อการประกาศ , การถวายเพื่อสงเคราะห์หรือเพื่อช่วยเหลือพี่ - น้องคริสเตียนที่ขัดสน , การถวายเพื่อให้กับครอบครัวผู้รับใช้โดยเฉพาะในอนาคตอันใกล้ อ.ประยงค์ กำลังจะได้บุตรชาย พี่ - น้องก็จะต้องช่วยกันดูแลให้มากขึ้น เป็นต้น

ผมอยากให้พี่ - น้องช่วยผมคิดนิดนึง วันนี้นะ ถ้าพี่ - น้องไม่ได้ฝากเงินกับธนาคารไหนเอาไว้เลยนะครับ แล้วอยู่ดีๆ พี่ - น้องจะเดินเข้าไปเบิกเงินที่ธนาคารนั้นได้ไหมครับ ?

เช่นเดียวกัน ถ้าพี่ - น้องไม่ได้ฝากเงินกับธนาคารแห่งสวรรค์ ในวันคืนที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จกลับมาพี่ - น้องจะเบิกเงินจากคลังทรัพย์อันรุ่งเรื่องของพระเจ้าได้อย่างไร

ถึงแม้ว่าพี่ - น้องคริสเตียนบางคนจะหัวหมอ บอกกับพระเจ้าว่าพระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์สามารถที่จะท่องข้อพระคัมภีร์ใน ฟลป.4:19 ได้ว่า พระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่ขาดอยู่ จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์โดยองค์พระเยซูคริสต์

แน่นอนพระองค์รักท่าน พระองค์จะทรงฟังการท่องพระคัมภีร์ของพี่ - น้องอย่างตั้งใจ แต่พระองค์ไม่สามารถที่จะให้พี่ - น้องเบิกทรัพย์นั้นได้ เหตุผลอย่างง่ายๆเพราะพี่ - น้องไม่ได้ฝากเงินในบัญชีสวรรค์ แล้วพี่ - น้องจะเบิกทรัพย์นั้นได้อย่างไร

สิ่งที่น่าเศร้าใจอีกประการหนึ่งนั่นก็คือว่า พี่ - น้องอาจจะมีเงินฝากในบัญชีของโลกนี้มากมาย แต่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อว่า แต่ถ้าพี่ - น้องไม่ได้เข้าส่วน , ร่วมส่วนหรือไม่ได้เข้าเป็นหุ้นส่วนในพระราชกิจของพระเจ้า โดยเฉพาะกับคนที่พระเจ้าทรงนำให้เขานั้นได้มาเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณหรือผู้อภิบาลให้กับเรา

ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อและอย่างตรงไปตรงมาว่าพี่ - น้องกำลังจะเป็นบุคคลที่ล้มละลายในบัญชีเงินฝากในฝ่ายสวรรค์โดยที่พี่ - น้องไม่รู้ตัว

ผมขออนุญาตถามคำถามพี่ - น้องสัก 2 - 3 คำถาม ?

คำถามแรก พี่ - น้องคิดว่า พระเจ้า พระเยซูเอาอะไรก่อนมาเป็นอันดับแรก ? ระหว่างตัวเองกับราชอาณาจักรของพระเจ้า

คำถามที่สอง พี่ - น้องคิดว่า อ.ประยงค์กับภรรยา เอาอะไรมาก่อนเป็นอันดับแรก ระหว่างตัวเองกับราชอาณาจักรของพระเจ้า

คำถามสุดท้าย ซึ่งขอพี่ - น้องอย่าเพิ่งตอบนะครับ ขอให้ได้อธิบายเนื้อความให้จบก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยตอบ

คำถามสุดท้ายก็คือว่า แล้วพี่ - น้องที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนที่นั่งอยู่ที่นี่ล่ะเอาอะไรมาเป็นความสำคัญอันดับแรก ตัวเองหรือราชอาณาจักรของพระเจ้า ? อย่าเพิ่งตอบนะครับ

ในหนังสือ 1พศด. 29 : 7 - 14 ทำให้เราทราบว่า เมื่อคนของพระเจ้านั่นก็คือ กษัตริย์ดาวิด เมื่อคนของพระเจ้าได้ยืนต่อหน้าประชาชนของเขาและกล่าว่า พระเจ้าได้ทรงประทานแบบก่อสร้างพระนิเวศน์ให้แก่ข้าพเจ้าแต่ข้าพเจ้าจะไม่ใช่ผู้สร้าง

เพราะข้าพเจ้าเป็นนักรบ ซาโลมอนบุตรของข้าพเจ้าจะเป็นผู้รับผิดชอบ

ข้าพเจ้าได้ถวายสิ่งของ ของข้าพเจ้าด้วยความเต็มใจพวกท่านจะถวายด้วยความเต็มใจด้วยหรือไม่เมื่อประชาชนได้ยินดังนั้นพวกเขาก็ถวายด้วยความเต็มใจ

พี่ - น้องที่รักครับ จากเรื่องนี้ทำให้เราทราบว่าประชาชนของเขานั้นรู้จักดาวิดเป็นอย่างดี ว่าดาวิดนั้นเป็นผู้นำที่ได้รับการเจิมหรือมีการเจิมจากพระเจ้า พวกเขาจึงถวายอย่างมากมายผ่านดาวิด พวกเขาจึงอยากร่วมส่วน พวกเขาจึงอยากที่จะเข้าส่วนและพวกเขาอยากร่วมเป็นหุ้นส่วนในการช่วยให้ผู้รับใช้ของพระเจ้านั้นสำเร็จ ในพระราชกิจของพระองค์

ดังนั้นคำถามสุดท้าย อันนี้ถามแล้วต้องการคำตอบแล้วนะครับ

ดังนั้นคำถามสุดท้ายที่ผมได้ถามพี่ - น้องไปเมื่อสักครู่ว่าแล้วพี่ - น้องที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนที่นั่งอยู่ที่นี่ล่ะ เอาอะไรมาเป็นความสำคัญอันดับแรก ระหว่างตัวเองกับราชอาณาจักรของพระเจ้า ?

และนี่ก็เป็นความผิดที่ร้ายแรงอย่างหนึ่ง ของพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรของพระเจ้าในประเทศไทยในหลายที่ หลายแห่งหรือในหลายองค์กร , หน่วยงาน

ที่ปล่อยให้ศิษยาภิบาลหรือผู้รับใช้ของพระเจ้า ต้องตกอยู่ภายใต้การตัดสินใจที่เห็นแก่ตัวของพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักร หรือตกอยู่ภายใต้การตัดสินใจของธรรมกิจที่ขี้เหนียวหรือมีท่าทีที่ไม่ถูกต้องต่อคนของพระเจ้า

มันเป็นเรื่องที่ตลกมากที่พี่ - น้องทำงานในหน่วยงานของท่านโดยที่พี่ - น้องก็มีความอยากที่จะรู้ว่าตนเองได้ค่าจ้างเดือนละเท่าไหร่ ปีนี้เงินเดือนขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ โบนัสจะได้ 1 เดือนหรือ 2 เดือน แต่พอกับผู้รับใช้ของพระเจ้า , ศิษยาภิบาลกับไม่รู้ว่าตนเองและครอบครัวจะมีรายได้ที่แน่นอนเดือนละเท่าไหร่ หนำซ้ำบางคนกับถูกลดเงินเดือน

เพราะฉะนั้นพี่ - น้องสมาชิกที่นี่อย่าขี้เหนียวกับผู้รับใช้ ก่อนคริสตมาสต้องรู้แล้วว่า อ.ประยงค์ จะได้เงินของขวัญคริสตมาสเท่าไหร่ เงินเดือนขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า

เมื่อพี่ - น้องสมาชิกในคริสตจักรยังคาดหวังว่า ที่อยากจะได้รับอาหารฝ่ายจิตวิญญาณที่ดี ในทางตรงกันข้ามแต่ท่านกับไม่อยากที่จะจ่าย อันนี้ไม่เป็นเรื่องที่ไปเล่าให้ตลกฟังตลกยังร้องไห้เลยครับพี่ - น้องที่รัก

อ.เปาโล พูดเอาไว้ใน 1คร.9:1-2 ข้าพเจ้าไม่มีเสรีภาพหรือ ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอัครทูตหรือ ท่านทั้งหลายมิได้เห็นผลงานของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ

อ.ประยงค์ ก็อยากที่จะพูดอย่างที่ อ.เปาโล พูดนั่นก็คือว่า พี่ - น้องมิได้เห็นผลงานของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ ถ้าเห็นแล้วอยากเห็นมากขึ้นไหม ถ้าพี่น้องอยากเห็นมากขึ้น พี่ - น้องสมาชิกก็ต้องมีท่าทีห่วงใยอีกทั้งมีท่าทีในการที่จะอยากเข้าส่วน หรือร่วมส่วนและหรือร่วมเป็นหุ้นส่วน โดยการถวายสนับสนุนการรับใช้ของ อ.ประยงค์กับภรรยาให้มากขึ้น โดยที่ อ.ประยงค์และภรรยาจะได้ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องการเย็บเต้นท์หรือการทำมาหากิน เพื่อที่ทั้ง 2 ท่านจะได้มีเวลาในการที่จะครุ่นคิดถึงในสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะการทำให้พระมหาบัญชาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าสำเร็จ ในคริสตจักรแห่งนี้มากขึ้น

ดังนั้นขอให้พระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้เป็นที่ให้สติ ให้ความเข้าใจ ให้การท้าทาย รวมทั้งให้ความคิดบางสิ่งบางอย่างแก่พี่ - น้อง เพื่อที่พี่ - น้องเองนั่นแหละที่จะได้เป็นผู้รับพระพรจากพระเจ้าขอที่เราจะร่วมใจกันอธิษฐาน

Green City