ทูตของพระคริสต์

คำเทศนาเรื่อง ทูตของพระคริสต์

 

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม 2 คร.5:20 “ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกันกับพระเจ้า” และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ทูตของพระคริสต์”

พี่น้องทราบไหมครับว่า ก่อนหน้าที่พวกเราทุกคนจะเชื่อในพระเจ้านั้นพวกเราเป็นใครครับ ? พวกเราทุกคนต่าง คือ นักโทษที่รอรับการพิพากษาในบึงไฟนรก แต่เมื่อพวกเราทุกคนนั้นได้ต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตแล้ว พี่น้องทราบไหมครับว่าเราเป็นใครครับ ?

พระคำของพระเจ้าใน กจ.1:8 “แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก"

พระคำของพระเจ้าในข้อได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เราถูกเรียกให้เป็นพยานฝ่ายพระองค์

นอกเหนือจากการที่เราทั้งหลาย ถูกเรียกให้เป็นพยานฝ่ายพระองค์แล้ว พระคำของพระเจ้าใน 2 คร.5:20 “ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกันกับพระเจ้า” ผู้เชื่อทุกคนยังถูกเรียกให้เป็นฑูตสวรรค์ของพระคริสต์อีกด้วย

สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจให้ตรงกันนั่นก็คือว่า การเป็น “พยาน”กับการเป็น “ทูตชองพระคริสต์” นั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเป็นพยาน คือ

พระคำของพระเจ้าใน มธ.28:18-20 “พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติสมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"

พระคำของพระเจ้าใน มธ.28:18-20 บอกกับเราว่า การเป็นพยาน คือ การกล่าวถึงสิ่งที่เรานั้น มีประสบการณ์โดยตรงกับพระเจ้าหรือการกล่าวถึงการที่เรานั้นได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังมา

พระคำของพระเจ้าใน อฟซ.4:12 “เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น”

การเป็นพยาน คือ การประกาศ การเสริมสร้างพระกายเพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นสาวกของพระคริสต์ที่ใช้การได้

ดังนั้นหน้าที่ของธรรมิกชนหรือผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าคืออะไรครับ ? คือ การรับใช้พระเจ้า แต่ก่อนที่เขาจะรับใช้พระเจ้าได้นั้น เขาจะต้องผ่านการถูกเตรียม ถูกสร้าง และผ่านการฝึกผ่านการทดลอง จากพระเจ้าผ่านทางผู้รับใช้ของพระองค์ก่อน เมื่อผ่านการฝึกแล้ว เขาถึงจะออกไปรับใช้พระเจ้าด้วยความเข้าใจ นี่คือภาพ ของการเป็นพยาน

ส่วนการเป็นทูตของพระเจ้านั้น คือ การใช้ชีวิตทั้งชีวิตของเขานั้นสะท้อนถึงการเป็นผู้กระทำพระราชกิจของพระเจ้าแทนพระเจ้า

ซึ่งการเป็นพยานกับการเป็นฑูตของพระคริสต์นั้นต่างมีความสำคัญไม่น้อยหน้ากัน แต่การเป็นทูตของพระคริสต์จะต้องถูกเตรียมชีวิตอย่างเข้มข้นไหมครับ ? จะต้องเข้มข้นและมีคุณภาพมากกว่าการเป็นพยานอย่างมาก

ดังนั้นในเช้าวันนี้เราจะมาดูคุณลักษณะในการเป็นฑูตของพระคริสต์ด้วยกันว่าจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

ประการที่ 1 มธ.5:13-16 "ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ"ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้เมื่อจุดตะเกียงแล้วไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้นท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์”

พระคำของพระเจ้าในข้อนี้พูดถึงคำว่า “เกลือกับความสว่าง” ดังนั้นคุณสมบัติในการเป็นฑูตของพระคริสต์ประการที่ 1 นั่นก็คือ การเป็นเกลือกับการเป็นแสงสว่าง

  • ขอให้พี่น้องได้คิดถึงเกลือกันสักนิดหนึ่งว่ามันจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
  • เกลือมันจะต้องละลายได้มันถึงจะมีประโยชน์ ดังนั้นทูตของพระคริสต์จะต้องเข้าถึงกับคนทุกกลุ่มได้ ตัวอย่างเช่น องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่พระองค์ทรงละลายตัวของพระองค์เองลงจากสวรรค์เพื่อเสด็จเข้ามาในโลก เข้ามาเพื่อใครครับพี่น้องที่รัก ? เข้ามาเพื่อมนุษย์ทุกคน
  • เกลือมันจะต้องมีรสชาติมันถึงจะมีประโยชน์ ดังนั้นทูตของพระคริสต์จะต้องเป็นผู้ที่ทำให้เกิดรสชาติขึ้นมา รสชาติที่ว่านี้เป็นรสชาติอย่างไรครับฑูตของพระคริสต์อยู่ที่ไหนต้องทำให้เกิด 1) สันติสุข 2) ความสดชื่นมีชีวิตชีวา 3) การฟื้นใจ 4) การเยียวยารักษาบาดแผลในชีวิตให้กับผู้คนที่นั่น
  • เกลือมันจะต้องเป็นตัวของตัวมันเอง ผสมกับน้ำร้อนต้องเค็ม ผสมกับน้ำอุ่นต้องเค็ม ผสมกับน้ำธรรมดาต้องเค็ม ผสมกับน้ำเย็นต้องเค็ม ดังนั้นฑูตของพระคริสต์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องมีจุดยืน และจุดยืนของฑูตของพระคริสต์นั้นจะต้องยืนอยู่บนพื้นฐานแห่งพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ยืนอยู่บนอำนาจเงินของใครหรือยืนอยู่ในอำนาจของเจ้าของโบสถ์และหรือยืนอยู่บนอำนาจของเจ้าของคริสตจักร
  • คราวนี้ขอให้พี่น้องได้คิดถึงแสงสว่างกันสักนิดหนึ่งว่ามันจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
  • แสงสว่างมันจะต้องเป็นประโยชน์ให้ความอบอุ่นแก่ผู้อื่น
  • แสงสว่างจะต้องให้ความรู้แก่ผู้อื่น โดยเฉพาะให้แก่คนที่ไม่มีปัญญาของพระเจ้า

ถ้าวันนี้พี่น้องบอกกับคนอื่นว่าเราเป็น “ฑูตของพระคริสต์” แต่เรากับละลายตัวเองเพื่อคนบางกลุ่ม เช่น เราเลือกที่จะประกาศกับคนกลุ่มนั้นไม่ประกาศกับคนกลุ่มนี้ อย่างนี้ใช่ฑูตของพระคริสต์ไหมครับ ?

ถ้าวันนี้พี่น้องบอกกับคนอื่นว่าเราเป็น “ฑูตของพระคริสต์” แต่เรากับสอนจริงเป็นเท็จ เท็จเป็นจริง หรือกับเทศนาเอาใจคนมีฐานะ คนมีตำแหน่งในคริสตจักร อย่างนี้ใช่ฑูตของพระคริสต์ไหมครับ ? ดังนั้นคุณสมบัติในการเป็นฑูตของพระคริสต์ประการที่ 1 นั่นก็คือ การเป็นเกลือการเป็นแสงสว่าง

คุณสมบัติในการเป็นฑูตของพระคริสต์ประการที่ 2 คือ การเป็นฑูตของพระเจ้านั้นต้องมีความเป็นผู้ใหญ่

            อฟซ.4:13 “จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์”

สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า การเป็นผู้ใหญ่ในที่นี้ มิได้หมายความว่าเป็นคนที่ตัวใหญ่หรือมีอาวุโสมากและหรือเป็นคนที่มีฐานะทางสังคมมากไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ

การเป็นทูตของพระเจ้านั้นต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ คำว่า “ผู้ใหญ่” ในที่นี้หมายถึง การเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งการเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้นั้น จะต้องได้รับ 1) การพัฒนาเสริมสร้าง 2) การเลี้ยงดูโดยพระวจนะของพระเจ้า

ซึ่งจะต้องใช้เวลา ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ให้พี่น้องนั้น ได้รู้ในเรื่องราวของพระเจ้าหรือท่องพระคำของพระเจ้าได้เท่านั้น แต่พี่น้องจะต้องนำพระคำของพระเจ้านั้นมาปฎิบัติในชีวิตจริงของพี่น้องได้ด้วย

ดังนั้นในทางของพระเจ้าคำว่า “วัยวุฒิ” จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณแต่อย่างใด เช่นเดียวกับการที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้า ที่พระองค์ทรงปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าพระบิดาในวัยที่พระองค์ทรงพระชนม์ยุ 30 ปี

และเสร็จพระราชกิจของพระองค์ในวัยที่พระองค์ทรงพระชนมม์ยุ 33.5 ปี ดังนั้นในทางของพระเจ้าแล้ว วัยจึงไม่มีอุปสรรคต่อการที่คนๆนั้นจะเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ

            คำถามก็คือว่า ในขณะที่เรายังรับการพัฒนาเสริมสร้างยังไม่แล้วเสร็จ เรารับใช้พระเจ้าได้หรือไม่ ? พี่น้องไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้เป็นฑูตของพระคริสต์ก่อนแล้วพี่น้องถึงจะรับใช้พระเจ้า แต่ระหว่างที่พี่น้องรับการพัฒนาเสริมสร้างอยู่นั้น พี่น้องก็สามารถที่จะรับใช้พระเจ้าได้และค่อยๆเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มที่มากขึ้นและเป็นผู้ใหญ่ที่ไปถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ในที่สุด

คุณสมบัติในการเป็นฑูตของพระคริสต์ประการที่ 3 คือ ต้องมีความสามารถในการทำหน้าที่แทนพระเจ้าได้ อสย.6:8 “และข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "เราจะใช้ผู้ใดไป และผู้ใดจะไปแทนเรา" แล้วข้าพเจ้าทูลว่า "ข้าพระองค์นี่พระเจ้าข้า ขอทรงใช้ข้าพระองค์ไปเถิด"

พี่น้องที่รักครับ การที่เราจะทำหน้าที่แทนพระเจ้าได้ เราก็จะต้องได้รับการพัฒนา เสริมสร้าง ได้รับการฝึกฝนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจก่อน คำถามก็คือว่า แล้วเราต้องได้รับการฝึกฝนมากน้อยแค่ไหนหรือเข้มข้นมากน้อยเพียงใด ?

มก.3:13-14 “แล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขา และพอพระทัยจะเรียกผู้ใดพระองค์ก็ทรงเรียกผู้นั้น แล้วเขาได้มาหาพระองค์พระองค์จึงทรงตั้งศิษย์สิบสองคนไว้ให้อยู่กับพระองค์ เพื่อจะทรงใช้เขาไปประกาศ”

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงใช้เวลาเสริมสร้าง พัฒนาอีกทั้งอยู่กินร่วมกับ 12 สาวก ของพระองค์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้พวกเขาเกิดความรู้ ความเข้าใจก่อนที่จะให้พวกเขานั้นออกไปทำหน้าที่แทนพระองค์ เป็นเวลา 3.5 ปี คิดเป็น 30,660 ชั่วโมง

แต่คริสเตียนเรากับใช้เวลากับพระเจ้าเพียงแค่ 2 ชม. ต่อสัปดาห์เพื่อมานมัสการพระเจ้า ถวายทรัพย์ กินข้าวและกลับบ้าน พี่น้องคิดว่ามันจะเป็นได้ไหมครับ ? ที่เราจะพลิกโลกแบบเดียวกับ 12 สาวก เป็นไปได้ครับ แต่เราต้องใช้เวลานานถึง 168 ปี แล้วพี่น้องคิดว่าจะมีใครอยู่ถึง 168 ปีไหมครับ ?

ผู้รับใช้พระเจ้า ศิษยาภิบาล อาจารย์ หลายท่านเอาเวลาไปใช้ในการเล่น Line มากกว่าที่จะใช้เวลานมัสการอธิษฐานกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว และนำเสนอว่าตัวเองนั้นเป็น “ทูต” ของพระเจ้าพี่น้องว่าเป็นไปได้ไหมครับ ? หากพี่น้องอยากเป็นทูตของพระเจ้า พี่น้องจะต้องจัดเวลารับการเสริมสร้างอย่างเข้มข้น ต้องทุ่มเทและอดทน พี่น้องจึงจะมีคุณสมบัติในการทำหน้าที่แทนพระเจ้าได้  

คุณสมบัติในการเป็นฑูตของพระคริสต์ประการที่ 4 คือ ต้องเป็นผู้แทนพระเจ้า วว.4:4 “และล้อมรอบพระที่นั่งนั้นมีที่นั่งอีกยี่สิบสี่ที่นั่ง และมีผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ทุกคนนุ่งห่มขาวและสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ”

            พี่น้องที่รักครับ การเป็นทูตของพระเจ้าเป็นงานที่ใหญ่ ที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ดังนั้นภาพของการเป็น ทูตของพระคริสต์จะต้องปรากฎออกมาให้คนได้ประจักษ์และแลเห็นหรือให้คนนั้นสัมผัสได้

คำว่า รอบพระที่นั่งของพระเจ้า คือ ผู้อาวุโส หมายถึง ผู้แทนของพระเจ้า

            คำว่า ทุกคนนุ่งห่มขาว หมายถึง รับใช้ด้วยท่าทีและแรงจูงใจที่ถูกต้อง ขาวสะอาด และด้วยความบริสุทธิ์ใจ

            คำว่า สวมมงกุฎทองคำ หมายถึง ใช้อำนาจของพระเจ้า อย่างพระเจ้า แทนพระเจ้า

ดังนั้นฑูตของพระเจ้า จะต้องมีพระลักษณะของพระเจ้าเหมือนดังที่พระคัมภีร์วิวรณ์ได้เขียนเอาไว้ คือ มีสง่าราศี มีพระสิริและพระรัศมีภาพของพระบุตร ภาษาอังกฤษใช้คำว่ามี Aura สะท้อนจากภายในออกมาสู่ภายนอก

คุณสมบัติในการเป็นฑูตของพระคริสต์ประการที่ 5 การเป็นทูตของพระเจ้า คือ คนต้องสามารถอ่านเราออกได้

2 คร.2-3 “ท่านเองเป็นหนังสือของเราจารึกไว้ที่ดวงใจของเรา ให้คนทั้งปวงได้รู้และได้อ่าน ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์ ซึ่งเราได้เขียนไว้มิใช่ด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และมิได้เขียนไว้ที่แผ่นศิลา แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจมนุษย์”

            ทูตของพระคริสต์ ต้องเป็นตัวหนังสือของพระคริสต์ที่ผู้อื่นอ่านได้ และฑูตของพระคริสต์ต้องใช้อะไรเขียนหนังสือของพระคริสต์ครับพี่น้อง ? มิใช่ด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า และฑูตของพระคริสต์ต้องเขียนลงที่มิใช่ศิลาแต่เขียนลงแผ่นดวงใจของมนุษย์

            เพื่อให้พี่น้องได้เห็นภาพและมีความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้น ผมขออนุญาตยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่งให้พี่น้องฟัง กล่าวคือ ตลอดระยะเวลา 50 กว่าปีที่ผ่านมามีหลายองค์การ องค์กร หน่วยงานและหลายคริสตจักร พยายามที่จะเข้าไปบุกเบิกและก่อตั้งคริสตจักรที่ จ.สมุทรสงคราม แต่ก็ไม่มีองค์การ องค์กร หน่วยงานและคริสตจักรไหนเลยพี่น้องที่รักที่สามารถบุกเบิกและก่อตั้งคริสตจักรที่ จ.สมุทรสงคราม ได้

แต่เมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา พระเจ้าทรงนำให้ผมกับ อ.ดา ได้เข้าไปบุกเบิกและก่อตั้งคริสตจักร และผมกับ อ.ดา สามารถที่จะเข้าไปก่อตั้งคริสตจักรที่ จ.สมุทรสงครามได้

คำถามคือว่า ผมได้ปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์หรือยังครับ ผมได้ปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์แล้ว เพราะคนทั้งปวงได้รับรู้ ได้รับทราบแล้วว่าที่สมุทรสงคราม บัดนี้มีคริสตจักรของพระเจ้า คนที่บุกเบิกก่อตั้งคริสตจักร คือ อ.ก้อง , อ.ดา ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์หรือยัง

ผมเขียนด้วยน้ำหมึกและลายมือของผมใช่ไหม ? พระวิญญาณของพระเจ้าเป็นผู้เขียน เขียนลงที่ไหนครับ ? ลงบนใจของพี่น้องธรรมิกชน เมื่อพูดถึง คจ.ใจสมานสมุทรสงคราม เขาก็จะพูดว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงใช้ อ.ก้อง , อ.ดา เข้ามาบุกเบิกที่นี่ พระราชกิจของพระเจ้าเกิดผล คำพูดนี้หมายถึงอะไรครับพี่น้อง ? คนเห็นเราต้องเห็นพระเจ้าในเราด้วย ดังนั้นการเป็นทูตของพระเจ้า คือ คนต้องสามารถอ่านเราออกได้

คริสตจักรใน จ.เพชรบุรี ตั้งมาแล้วตั้ง 155 ปี แต่คริสตจักรที่เพชรบุรีเย็นๆอุ่นๆแต่พอ อ.ก้อง , อ.ดา มาบุกเบิกที่เพชรบุรี พี่น้องศูนย์ประกาศใจสมานเพชรบุรี กับมีใจร้อนรนในการประกาศเป็นพยาน มีใจร้อนรนในการนำคนมาถึงความรอด พี่น้องที่นี่มีการเติบโตเข้มแข็งในความเชื่อ พี่น้องที่นี่มีความรักใครกลมเกลียวกันดี พี่น้องที่นี่เขาช่วยเหลือเกื้อกูลกันดี

คำพูดนี้หมายถึงอะไรครับพี่น้อง ? ทุกท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์หนังสือเล่มนี้ใครเป็นคนเขียนครับ ? พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเปิดเผยทำให้พี่น้องต่างคริสตจักร ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ดังนั้นพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นคนเขียน เขียนลงที่ไหนครับ ? ในใจของพี่น้องในพระเยซูคริสต์

คนเห็นเราต้องเห็นพระเจ้าในเราด้วย ดังนั้นการเป็นทูตของพระเจ้า คือ คนต้องสามารถอ่านเราออกได้

คุณสมบัติในการเป็นฑูตของพระคริสต์ประการที่ 6 การเป็นทูตของพระเจ้า คือ ต้องให้ผู้คนรู้จักพระปัญญาของพระเจ้าผ่านชีวิตของเรา

อฟ.3:10 “ประสงค์จะให้เทพผู้ปกครองและศักดิเทพในสวรรค์สถาน รู้จักปัญญาอันซับซ้อนของพระเจ้าทางคริสตจักร ณ บัดนี้”

พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าปรารถนาที่จะให้เทพทั้งปวงรู้จักพระปัญญาซับซ้อนของพระองค์ผ่านทางคริสตจักรของพระองค์ คำถามคือว่าใครคือคริสตจักรของพระองค์ ?

ผู้เชื่อทุกคนเป็นคริสตจักรของพระองค์ เมื่อผู้เชื่อเป็นคริสตจักรของพระเจ้า พระปัญญาของพระเจ้าต้องปรากฎในเรามากขึ้น ผู้คนต้องรู้จัก 1) พระปัญญา 2) ความสลับซ้อน 3 ) การช่วยเหลือ ช่วยกู้ ของพระเจ้าผ่านชีวิตของเรามากขึ้น ดังนั้นชีวิตของเราซึ่งเป็นคริสตจักรของพระองค์จะต้องเป็นชีวิตที่สะท้อนถึงพระปัญญาของพระเจ้ามากขึ้น

Ex.ตัวอย่างคดีที่ดิน คจ.ใจสมาน ซ.6

คุณสมบัติในการเป็นฑูตของพระคริสต์ประการที่ 7 การเป็นทูตของพระเจ้า คือ

ผู้ถือแห่งกุญแจสวรรค์ มธ.16:19เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย"

            สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า คริสตจักรไม่ใช่เป็นตัวอาคารหรือสถานที่ แต่คริสตจักร คือ ผู้เชื่อทุกคน ดังนั้นผู้เชื่อทุกคนเป็นคริสตจักรของพระเจ้าและพระเจ้าทรงหวงแหนคริสตจักรหรือหวงแหนเรา

            พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าทรงมอบกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้กับผู้เชื่อ ให้กับบุตรของพระองค์ให้กับคริสตจักรของพระองค์ให้กับฑูตของพระองค์ ดังนั้นทูตของพระเจ้าจึงเป็นผู้ทำหน้าที่กระทำแทนพระเจ้าในโลกนี้

ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่เกินเลยความจริงเลยที่เราจะสั่งห้ามสิ่งใดหรือกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลกก็เป็นดังนั้นในสวรรค์ ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าให้ศักยภาพและความสามารถของเราอยู่ในระดับเดียวกันกับพระองค์

ดังนั้นเราจะต้องใส่ใจและให้ความสำคัญอีกทั้งเรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจในเรื่องนี้พร้อมกับรับการเสริมสร้างจากพระเจ้าเพื่อที่เราจะทำหน้าที่ในการเป็นฑูตของพระคริสต์ได้อย่างเหมาะสม

สรุป     การเป็นทูตของพระคริสต์

  • 1 ต้องมีการเป็นเกลือกับการเป็นแสงสว่าง2 ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่
  • 3 ต้องมีความสามารถในการทำหน้าที่แทนพระเจ้าได้
  • 4 ต้องเป็นผู้แทนพระเจ้า 5 คนต้องสามารถอ่านเราออกได้
  • 6 ต้องให้ผู้คนรู้จักพระปัญญาของพระเจ้าผ่านชีวิตของเรา
  • 7 ต้องเป็นผู้ถือแห่งกุญแจสวรรค์

Green City