ชื่นชมยินดีในทุกเวลา 2

คำเทศนาเรื่อง ชื่นชมยินดีในทุกเวลา 2

                ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ฟป.1:19 - 20 ข้าพเจ้าจะมีความชื่นชมยินดีต่อไปด้วย เพราะข้าพเจ้ารู้ว่า โดยคำอธิษฐานของท่าน และโดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณแห่งพระเยซูคริสต์ นี้จะเป็นเหตุให้ข้าพเจ้ารับการช่วยกู้ เพราะว่าเป็นความมุ่งมาดปรารถนาและความหวัง ว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความละอายใดๆเลย แต่เมื่อก่อนทุกครั้งมีใจกล้าเสมอฉันใด บัดนี้ก็ขอให้เป็นเช่นเดียวกันฉันนั้น พระคริสต์จะทรงได้รับเกียรติในร่างกายของข้าพเจ้าเสมอ แม้จะโดยชีวิตหรือโดยความตาย และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ชื่นชมยินดีในทุกเวลา 2”

                พี่น้องยังจำได้ไหมครับว่า ครั้งที่แล้วจากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบกี่ประการที่สำคัญด้วยกันนะครับ ? 3 ประการที่สำคัญ ประการที่ 1)เราพบเอกลักษณ์ที่พิเศษหรือเอกลักษณ์ที่เด่นของการเป็นคริสเตียน 2)เราพบคำอธิษฐาน ประการที่ 3)เราการช่วยเหลือของพระวิญญาณ

ซึ่งในเช้าวันนี้เราจะมาต่อกันในประการที่ 2 เพียงประการเดียวนะครับซึ่งเนื้อความในตอนที่แล้ว พี่น้องยังจำกันได้ไหมครับว่าตอนที่ท่าน อ.เปาโล ได้เขียนจดหมายฉบับนี้นั้น ท่าน อ.เปาโล เขียนจากที่ไหนครับ ? ในคุก

อ.เปาโล บอกกับเราว่า แม้ว่าท่านจะต้องทุกข์ยากลำบาก แต่ท่านก็ยังสามารถที่จะชื่นชมยินดีได้ในทุกๆเวลาเสมอ เพราะอะไรครับ ? เพราะว่าท่านนั้นยังสามารถที่จะอธิษฐานกับพระเจ้าได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า

1)ในวันคืนแห่งความยากลำบากนั้นเราสามารถที่จะอธิษฐานกับพระเจ้าได้ในทุกหนและทุหแห่ง จะในคุกก็ได้ จะนอกคุกก็ได้

2)ต่อให้ท่าน อ.เปาโล ถูกห้ามว่าอย่าอธิษฐานเสียงดัง พี่น้องคิดว่า อ.เปาโล สามารถที่จะอธิษฐานภายในจิตใจของท่านกับพระเจ้าได้

3)ต่อให้สภาพร่างกายของท่าน อ.เปาโล จะดีหรือไม่ดี จะแข็งแรงหรือว่าจะเสื่อมโทรมลง ท่าน อ.เปาโล สามารถที่จะอธิษฐานกับพระเจ้าได้

ดังนั้นคริสเตียนเราควรที่จะมีความชื่นชมยินดีในพระเจ้าตลอดเวลาเสมอ เหมือนกับท่าน อ.เปาโล ในตอนนี้ แต่ท่าทีภายในจิตใจของเรานั้นสำคัญที่สุด ที่จะทำให้พระเจ้านั้นทรงช่วยกู้เราออกจากปัญหาต่างๆนั้น

ยก.5:16 “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล”

ผมอยากที่จะบอกกับพี่น้องอย่างหนึ่ง นั่นก็คือว่า “ตราบใดก็ตามที่เรายังเป็นมนุษย์อยู่ในโลกใบนี้ เราย่อมพบกับอุปสรรคปัญหา” แต่เราชื่นชมยินดีได้ เพราะอะไรครับ ? เพราะคำอธิษฐาน

คำอธิษฐานของใครครับ ? 1) ผู้เชื่อทำให้เรานั้นสามารถที่จะอยู่เหนือปัญหานั้นได้ 2) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้าทำให้เราสามารถที่จะเอาชนะปัญหานั้นได้

ซึ่งเขาจะต้องเป็นผู้เชื่อหรือเป็นลูกที่ชอบธรรม ซึ่งนั่นหมายความว่า มีความยำเกรงในพระเจ้า ดำเนินชีวิตอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า มีส่วนในราชกิจของพระเจ้า ถวายเพื่อแผ่นดินของพระเจ้าและอื่นๆอีกมากมาย สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เราอ้างกับพระเจ้าได้ ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ อสย.38:1-5“ครั้งนั้น เฮเซคียาห์ทรงประชวรใกล้จะสิ้นพระชนม์ และผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บุตรอามอสเข้ามาเฝ้าพระองค์ และทูลพระองค์ว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงจัดการการบ้านการเมืองให้เรียบร้อย เจ้าจะต้องตาย เจ้าจะไม่ฟื้นแล้วเฮเซคียาห์ทรงหันพระพักตร์เข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าข้าแต่พระเจ้าขอทรงระลึกถึงว่า ข้าพระองค์ได้ดำเนินอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์และสิ้นสุดใจ และได้กระทำสิ่งที่ดีในสายพระเนตรของพระองค์" และเฮเซคียาห์ทรงกันแสงมากยิ่ง แล้วพระวจนะของพระเจ้ามาถึงอิสยาห์ว่าจงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว ดูเถิด เราจะเพิ่มชีวิตให้เจ้าสิบห้าปี”

                กษัตริย์เฮเซคียาห์ร้องทูลต่อพระเจ้า และท่านได้อ้างถึงความชอบธรรมที่ท่านได้ทำต่อเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า สิ่งที่ท่านได้ร้องทูลไม่เพียงแต่จะทำให้พระเจ้านั้นกลับพระทัยแต่ยังต่ออายุให้กับเขาอีก 15 ปี

อฟ.3:20 “ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา”

ดังนั้นผู้เชื่อที่ชอบธรรมเขาจะรู้สึกชื่นชมยินดีเสมอ เพราะอะไรครับ ? เพราะว่าในอุปสรรคปัญหานั้น ผู้เชื่อที่ชอบธรรมเขาจะได้พบกับ 1) ความหวัง 2) คำตอบแห่งทางออก 3) หนทางออกที่อัศจรรย์

ดังนั้นเมื่อพี่น้องได้ยินได้ฟังไปเมื่อสักครู่นี้ ผมก็อยากให้พี่น้องได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน นั่นก็คือว่า คริสเตียนเรานั้นไม่ใช่มนุษย์เจ้าปัญหา แต่มนุษย์ที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระคริสต์หรือผู้ที่เชื่อในพระคริสต์แล้วก็ตาม แต่ถ้าเขายังไม่ได้บังเกิดใหม่ในพระเจ้าอย่างแท้จริงนั้นต่างหากที่เป็นมนุษย์เจ้าปัญหา

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ กจ.12:1-11 “คราวนั้นกษัตริย์เฮโรดได้เหยียดพระหัตถ์ออกทำร้ายบางคนในคริสตจักรท่านได้ฆ่ายากอบพี่ชายของยอห์นด้วยดาบเมื่อท่านเห็นว่าการนั้นเป็นที่ชอบใจพวกยิว ท่านก็จับเปโตรด้วย นี่เป็นระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อเมื่อจับเปโตรแล้ว จึงให้จำคุก ให้ทหารสี่หมู่ๆละสี่คนคุมไว้ ตั้งใจว่า เมื่อสิ้นเทศกาลปัสกา แล้วจะพาออกมาให้แก่คนทั้งหลายเพราะฉะนั้นเปโตรจึงถูกจำไว้ในคุก แต่ว่าคริสตจักรได้อธิษฐานพระเจ้าเพื่อเปโตรด้วยใจร้อนรนในคืนวันนั้นเอง ครั้นเฮโรดจะพาเปโตรออกมา เปโตรนอนหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และคนยามเฝ้าอยู่หน้าประตูคุกดูเถิด มีทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และมีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้องจำ ทูตองค์นั้นจึงกระตุ้นเปโตรที่สีข้างให้ตื่นขึ้นแล้วว่า "ลุกขึ้นเร็วๆ" โซ่นั้นก็หลุดตกจากมือของเปโตรทูตนั้นจึงสั่งเปโตรว่า "จงคาดเอวและสวมรองเท้า" เปโตรก็ทำตาม ทูตจึงสั่งว่า "จงสวมเสื้อและตามเรามาเถิด"เปโตรจึงตามออกไป และไม่รู้ว่าการซึ่งทูตทำนั้นเป็นความจริง คิดว่าได้เห็นนิมิตเมื่อออกไปพ้นทหารยามชั้นที่หนึ่งและที่สองแล้ว ก็มาถึงประตูเหล็กที่จะเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดเองให้ท่านทั้งสอง ท่านจึงออกไปเดินตามถนนแห่งหนึ่ง และในทันใดนั้นทูตสวรรค์ก็ได้อันตรธานไปจากเปโตรครั้นเปโตรรู้สึกตัวแล้วจึงว่า "เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้แน่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงใช้ทูตของพระองค์มาช่วยข้าพเจ้า ให้พ้นจากอำนาจของเฮโรด และพ้นจากการมุ่งร้ายของพวกยิว"

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันในตอนนี้พี่น้องชื่นชมยินดีไหมครับ ? พี่น้องอาจจะยังไม่ Get ว่าชื่นชมยินดีอะไรตรงไหน ?

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า คนของพระเจ้าในตอนนี้นั่นก็คือ เปโตร ถูกจับกุมขังอยู่ในคุกหลวง ซึ่งภายในก็มีการคุ้มกันมากมายหลายชั้น

แน่นอนพี่น้องที่รักครับ มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆในการที่พวกเขานั้นจะนำ เปโตร ออกมาจากคุก แต่พระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน นั่นก็คือว่า พี่น้องได้ไปรวมตัวกันที่คริสตจักร และพวกเขาได้พากันอธิษฐานกับพระเจ้าเผื่อ เปโตร ด้วยหัวใจที่ร้อนรน

พี่น้องชื่นชมยินดีหรือยังครับ ? บางคนอาจจะตอบว่า No เพราะ ตอนนี้ เปโตร ยังไม่ได้ออกจากคุก แสดงว่าพี่น้องยังไม่ Get ก็ไม่เป็นไร

เมื่อพี่น้องได้ไปรวมตัวกันที่คริสตจักร และพวกเขาได้พากันอธิษฐานกับพระเจ้าเผื่อ เปโตร ด้วยหัวใจที่ร้อนรน ถึงแม้ว่า เปโตร ในตอนนี้จะยังไม่ได้ออกจากคุกก็ตาม แต่พระพรแห่งการช่วยเหลือ ช่วยกู้ของพระเจ้าที่มีมาถึง เปโตร นั้นได้เริ่มขยับตัวขึ้นแล้ว

นั่นหมายความว่า เสียงแห่งการอธิษฐานนั้นเป็นเหมือนกับ Lift ที่นำอุปสรรคปัญหา นำความทุกข์ยากลำบากของเรานั้นขึ้นไปหาพระเจ้า

จากพระคำในตอนนี้เราจึงเห็นได้ว่า 1)เมื่อสุดที่ปลายมือของมนุษย์ พระเจ้าได้เริ่มที่จะทำกิจของพระองค์แล้ว 2)เมื่อปัญหามาถึงที่สุดแล้วจริงๆ พระเจ้าก็จะตอบอย่างอัศจรรย์จริงๆ

ดังนั้นขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจอย่างหนึ่งนะครับว่า “บางครั้งพระเจ้าปล่อยให้เราทำอย่างสุดกำลังก่อน เพื่อที่เราจะเข้าสู่กำลังใหม่ในพระเจ้าได้” ดังนั้นการอธิษฐาน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในชีวิตคริสเตียน

มธ.19-20 “เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกว่า ถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงกระทำให้ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น"

                พี่น้องที่รักครับ คำอธิษฐานของผู้เชื่อที่ชอบธรรมลำพังเพียงคนเดียวนั้นก็ทรงพลังอยู่แล้ว ยิ่งมารวมตัวกันถึง 2-3 คนก็ยิ่งทรงพลานุภาพมากขึ้น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ เปโตร ในตอนนี้ไม่ใช่มารวมตัวกันเพียงแค่ 2-3 คน แต่มากันทั้งคริสตจักร มากันด้วยความร้อนรน มากันด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มากันด้วยความเชื่อเดียวที่เชื่อว่า “งานนี้ต้องพระเจ้าเท่านั้น” มากันด้วยคำพูดที่ว่า “เราอยากเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” และขั้นตอนต่อไปที่พระเจ้าทำนั่นก็คือ ส่งฑูตสวรรค์ของพระเจ้ามาในท่ามกลางปัญหานั้น

ในตอนนี้พี่น้องชื่นชมยินดีได้หรือยัง ถึงแม้ว่า เปโตร นั้นยังไม่ได้ออกมาจากคุกก็ตาม ? เราต้องชื่นชมยินดีได้แล้ว เพราะถึงขณะนี้เราต้องรู้แล้วว่า พระองค์นั้นทรงพระชนม์อยู่และพระองค์ทรงอยู่ด้วยกับเราและในท้ายที่สุดพระองค์ก็จะต้องเสด็จเข้ามาเป็นพระเอกตัวจริงในชีวิตของเรา ไม่ใช่เครื่องเล่น AJ

มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากบอกกับพี่น้องอย่างสัตย์ซื่อและตรงไปตรงมานะครับ ผมอยากบอกว่าคริสเตียนไทยหลายคนนั้นเข้าใจอะไรหลายอย่างไม่ถูกต้อง สิ่งหนึ่งที่หลายคนเข้าใจไม่ถูกต้องนั่นก็คือว่า “ถ้าจะดูว่ามีคริสเตียนที่รักพระเจ้ามากน้อยแค่ไหนให้ไปดูที่โบสถ์ในวันอาทิตย์” แต่ผมอยากบอกว่า “ถ้าคุณจะดูว่ามีคริสเตียนที่รักพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน ให้ไปดูในวันศุกร์อธิษฐานและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่มีการถืออดอาหารอธิษฐานอย่างน้อย 3 วันๆละ 3 มื้อ” เหลือเท่านั้นแหละที่รักพระเจ้า

เดือน ตุลาคม ปี 2010 ผมมีโอกาสไปสัมมนาที่ประเทศเกาหลี 11 วันและพักอยู่ที่คริสตจักรแห่งหนึ่งที่เมือง Yatab Dong วันอาทิตย์มี 4 รอบนมัสการ รอบละ 10,000 คน ตอนเช้าของทุกวันตั้งแต่วัน จ-ศ ก่อนที่พวกเขาจะไปทำงาน จะมีพี่น้องสมาชิกมานมัสการรุ่งอรุณที่คริสตจักรตั้งแต่ 05.30 น.- 07.00 น.ประมาณกว่า 3,000 คน

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้รับใช้พระเจ้าหลายคนพยายามหนุนใจให้ผู้นำและสมาชิกในคริสตจักรไปทัศนศึกษาที่ประเทศเกาหลีเพื่อจะได้ไปเห็น ความเชื่อของพี่น้องที่นั่น และพอไปกลับมาก็มาทำตามอย่างเขา

ก็ทำกันได้สัก 1-2 เดือน ซึ่งใน 1-2 อาทิตย์แรกนั้นก็ Share ลงใน Face Book กัน Oh Ho จนหลายคริสตจักรนั้นรู้สึกอิจฉา แต่ภายหลังจากนั้นแล้ว Same Same คือ เหมือนเดิม เป็นเพราะอะไรครับ ?

ในทัศนะของผมโดยส่วนตัวนะครับ พี่น้องสัญญาว่าจะไม่ไปบอกใครนะครับ รวมถึงพี่น้องอย่าไปฟ้อง อ.มนูญศักดิ์ นะครับ ในทัศนะของผมนั้น ผมคิดว่าคริสเตียนไทยนั้นขี้เกียจ

ขี้เกียจประกาศเป็นพยาน ขี้เกียจที่จะอธิษฐาน คริสเตียนไทยจะขอแต่ให้พระเจ้าฟื้นฟู โดยที่ตัวเองอยากที่จะทำอะไรเพียงแค่นิดเดียว ซึ่งผู้เชื่อพวกเนี่ยใช้ไม่ได้ ให้พี่น้องบอกกับคนข้างซ้ายข้างขวาว่า อาจารย์ไม่ได้ว่าพี่น้องนะ และพี่น้องจะต้องไม่ใช่คนนั้น

ผู้นำคริสเตียนหลายคน พอถูกเชิญขึ้นไปอธิษฐานบนเวทีและเมื่อเขาต้องอยู่ต่อหน้า เขาอธิษฐานได้อย่างร้อนรน มีคำอธิษฐานที่สวยหรู แต่ชีวิตจริงส่วนตัว 05.00 น. ยังไม่เคยลุกขึ้นมาอธิษฐานกับพระเจ้าเลย

การอธิษฐานนี้เรียกว่า อธิษฐานโชว์หรือโชว์อธิษฐาน การอธิษฐานเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการอธิษฐานต่อพระเจ้าแต่เป็นการอธิษฐานต่อมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์ก็ฟังกันไป ส่วนพระเจ้านั้น.....ดังนั้นการอธิษฐานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตคริสเตียน

                ดังนั้นในวันที่พี่น้องนั้นทุกข์ยากลำบากและพี่น้องยังสามารถที่จะอธิษฐานกับพระเจ้าได้อยู่นั้น ก็ขอให้พี่น้องได้ชื่นชมยินดีในพระเจ้าเถิด

ขอให้ที่ประชุมเปิด สดด.14-15“เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้ เพราะเขารู้จักนามของเราเมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก เราจะช่วยเขาให้พ้นและให้เกียรติเขา”

พี่น้องที่รักครับ คำว่า “ร้องทูล” คำนี้นั้น เป็นการอธิษฐานที่ไม่ใช่เป็นการอธิษฐานแบบธรรมดา แต่เป็นการอธิษฐานแบบ 1) คร่ำครวญ วิงวอน 2)ปล้ำสู้กับพระเจ้า

พี่น้องลองพิจารณาร่วมไปกับผมนะครับว่า เมื่อผู้เชื่ออีกทั้งยังเป็นคนที่ชอบธรรมและเขายังได้ผูกพันตัวกับพระเจ้า เมื่อเขาร้องทูลต่อพระเจ้าพระเจ้าจะฟังเขาไหมครับ ?

ก่อนสงกรานต์น้องปลื้ม พูดกับผมว่า PaPa ปลื้มอยากได้ปืนฉีดน้ำ Iron Man ผมถามเขาว่า แล้วปลื้มจะทำอย่างไรเพื่อจะให้ได้มันมา

ปลื้มตอบว่าปลื้มจะเชื่อฟัง PaPa ปลื้มจะเขียนหนังสือให้สวย ปลื้มจะท่องพระคัมภีร์ และฯลฯ

                ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่พระเจ้าให้กับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ นั่นก็คือว่าเมื่อพ่อแม่ได้ยินเสียงลูกร้องเรียกออกมา พ่อแม่ก็จะต้องรีบเข้าไปหาลูกแล้วใช่ไหมครับ ? ขนาดมนุษย์ยังรักลูกถึงขนาดนี้ เราซึ่งเป็นลูกของพระเจ้า เมื่อเราร้องทูลกับพระองค์ พี่น้องลองพิจารณาดูทีเถอะว่า พระองค์จะไม่ทรงห่วงใยและช่วยเหลือเราหรือ

แต่ที่สำคัญคืออะไรครับพี่น้อง ? ตัวของผู้ที่ “ร้องทูล”นั้นต้องรักษาความชอบธรรมนั้นด้วย พระเจ้าจึงจะเปลี่ยนวิกฤตของสถานการณ์ของชีวิตให้เป็นการช่วยเหลือช่วยกู้ผ่านคำ“ร้องทูล”ของเขา

ดังนั้นการอธิษฐานเป็นสิ่งที่สำคัญไหมครับพี่น้อง ? แต่ผมอยากที่จะบอกกับพี่น้องเพิ่มเติมด้วยว่า การรักษาชีวิตให้ชอบธรรมนั้นก็สำคัญด้วยเช่นกัน และบุรุษนามหนึ่งที่เขาได้ร้องทูลกับพระเจ้าอย่างสุดๆนั่นก็คือ ยาโคบ

ปฐก.32:24-29 “ยาโคบอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว มีบุรุษผู้หนึ่งมาปล้ำกับเขาจนเวลารุ่งสางเมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นว่าจะเอาชนะยาโคบไม่ได้ ก็ถูกต้องที่ข้อต่อตะโพกของยาโคบขณะที่ปล้ำสู้กัน ข้อต่อตะโพกของยาโคบก็เคล็ดบุรุษนั้นจึงว่า "ปล่อยให้เราไปเถิดเพราะใกล้สว่างแล้ว" แต่ยาโคบตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า"บุรุษผู้นั้นจึงถามยาโคบว่า "เจ้าชื่ออะไร" ยาโคบตอบว่า "ข้าพเจ้าชื่อยาโคบ"บุรุษนั้นจึงว่า "เขาจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคบต่อไป แต่จะเรียกว่า อิสราเอล {แปลว่า เขาผู้ปล้ำสู้กับพระเจ้า หรือพระเจ้าทรงปล้ำสู้} เพราะเจ้าสู้กับพระเจ้าและมนุษย์ และได้ชัยชนะ"ยาโคบจึงถามบุรุษผู้นั้นว่า "ขอท่านบอกข้าพเจ้าว่าท่านชื่ออะไร" แต่บุรุษนั้นกล่าวว่า "เหตุไฉนเจ้าจึงถามชื่อเรา" แล้วก็อวยพรยาโคบที่นั่น

พี่น้องที่รักครับ การอธิษฐานแบบ 1)คร่ำครวญ วิงวอนกับพระเจ้า 2)ปล้ำสู้กับพระเจ้า นั้นหมายความว่า เราจะอธิษฐานจนกว่าที่เรานั้นจะได้รับคำตอบจากพระเจ้า ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าไม่ได้ไม่เลิก จนในที่สุดแล้วเป็นอย่างไรครับ จากพระคำของพระเจ้าใน ปฐก.32:24-29? พระเจ้าต้องตอบคำอธิษฐานของยาโคบ

พี่น้องทราบไหมครับว่า พระกิตติคุณของพระเจ้าเข้ามาในประเทศไทยผ่านทางคณะนิกายโปรแตสแตนท์มาเกือบ 190 ปีแล้ว ส่วนพระกิตติคุณของพระเจ้าเข้าไปที่ประเทศเกาหลีใต้ประมาณ 150 ปี

ซึ่งช้ากว่าประเทศไทยมากพอสมควร

                แต่ Percentage หรือจำนวนของผู้เชื่อพระเจ้าในประเทศเกาหลีนั้นมีประมาณกว่า 60% คำถามคือว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ?

                เพราะว่าคริสเตียนเกาหลีนั้นเขาเอาจริงเอาจังกับพระเจ้ามาก พวกเขาเข้มแข็งมาก ในหลายๆคริสตจักรพี่น้องทราบไหมครับว่ามีการอธิษฐานตลอดเวลา 24 Hrs. และพวกเขาก็เป็นกันมาอย่างนี้ไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงอวยพรพี่น้องปะเทศเกาหลีใต้เป็นอย่างมาก

มีบางคนบอกว่า เขามาจากประเทศที่แทบไม่มีอะไรจะกิน พวกเขาเลยไม่อยากที่จะกลับไปเหมือนเดิม อันนั้นก็ถูกอยู่ แต่มันแปลว่าอะไรล่ะครับ

มันแปลว่า ความยากจนไม่เคยทำร้ายใคร แต่ความสบายต่างหากที่มันทำร้ายเรา ดังนั้นพระกิตติคุณของพระเจ้าเมื่อเข้ามาในเมืองไทยจึงดูเหมือนว่าพวกเราสบายๆ

ผมไปที่อิสราเอลมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ผมเดินลงมาจากโรงแรม เจอพวก Taxi ที่จอดหน้าโรงแรม

ถามว่า Where are u fromผมตอบว่า I am from Thailand

Taxi มันพูดกับผมว่า Thailand Sabai Sabai

ด้วยเหตุที่ Sabai Sabai นี้เองกระมังครับพี่น้องที่รัก ประเทศไทยเราจึงมีคริสเตียนอยู่เพียง 0.5% คิดเป็นประชากรได้ประมาณ 300,000 คน ไม่นับคาทอลิคนะครับ และใน จำนวน 300,000 คนนี้ ประมาณ 180,000 คนก็เป็นคนชนเผ่าต่างๆอีกด้วย

ขอพระเจ้าทรงเมตตา ที่คริสตจักรของพระเจ้าในประเทศไทย รวมทั้งธรรมิกชนทั้งหลาย จะเป็นผู้ที่เชื่ออีกทั้งเป็นผู้ที่จะเอาจริงเอาจังกับพระเจ้าอย่างแท้จริง

สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ ในความทุกข์ยากลำบากนั้นเราสามารถที่จะมีความชื่นชมยินดีในพระเจ้าได้ เพราะในความทุกข์นั้นเรายังสามารถที่จะอธิษฐานกับพระเจ้าได้

Green City