จุดประสงค์ของการรักษาโรค

คำเทศนาเรื่อง จุดประสงค์ของการรักษาโรค

      

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม มก.16 :15 - 18 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอด แต่ผู้ใดไม่เชื่อเชื่อจะต้องปรับโทษ มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั่นคือเขาจะขับผีออกโดยนามของเราเขาจะพูดภาษาแปลกๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”และข้อพระคัมภีร์ที่จะใช้เป็นกุญแจในการการแบ่งปันกับพี่น้องในเช้าวันนี้จะอยู่ในข้อที่ 18 ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

เมื่อวันอาทิตย์ตอนเย็นที่ผ่านมา ผมและพี่น้องในคริสตจักรฯบางส่วน ได้มีโอกาสนั่งรถและต่อเรือไปเยี่ยมผู้เชื่อใหม่ที่คลองน้อย ซึ่งมีหลายคนตื่นเต้นมากโดยเฉพาะตอนขากลับ ซึ่งเป็นเวลากลางคืนและน้ำทะเลกำลังขึ้น ขอบคุณพระเจ้าที่พวกเราทุกคนเดินทางกลับด้วยความปลอดภัย ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับแม่เข็ม ที่ท่านมีอาการหน้าสั่นและเดินไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ท่านบอกว่าอยากได้รับการรักษาจากพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าภายหลังจากการที่พวกเราได้อธิษฐานเผื่อแม่เข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว แม่เข็มสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่วขึ้นและใบหน้ามีการสั่นน้อยลง

จากพระวจนะของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

เราพบว่าพระเยซูคริสต์ทรงเรียกให้เราประกาศ เราพบว่าพระเยซูคริสต์ทรงเรียกให้เราเทศนาสั่งสอน เราพบว่าพระเยซูคริสต์ทรงเรียกให้เราอธิษฐานแก่ผู้ที่เจ็บป่วยทุกคน เมื่อเราได้วางมือและอธิษฐานเผื่อคนเจ็บป่วย ฤทธิ์อำนาจแห่งการการรักษาโรคของพระเจ้านั้นได้เข้าไปในชีวิตของผู้ป่วยแล้วหรือยัง ? ฤทธิ์อำนาจแห่งการรักษาโรคของพระเจ้าได้เข้าไปในชีวิตของผู้ป่วยแล้ว ซึ่งองค์ประกอบในการหายโรคนั้นในพระคำของพระเจ้าได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือ

ลก.17:6 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ผู้ที่เจ็บป่วยทุกคนต้องมีความเชื่อและในหนังสือ ปญจ.3:3 กล่าวว่าและการรักษานั้นต้องอยู่ในเวลาของพระเจ้าด้วย

ตัวอย่าง เช่น นางฮันนาห์ ซึ่งไม่สามารถที่จะมีบุตรได้ แต่เมื่อถึงเวลาของพระเจ้านางก็ได้คลอดบุตรที่มีชื่อว่าซามูเอลออกมา

เศคาริยาห์ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่สามารถพูดได้จนกว่าจะถึงเวลาของพระเจ้าและเมื่อยอห์นบัพติสเกิดนั่นเองจึงเป็นเวลาที่เศคาริยาห์พูดได้

ดังนั้นองค์ประกอบในการหายโรคนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อและต้องอยู่ในเวลาของพระเจ้าด้วย นอกเหนือจากนี้พระคริสตธรรมคัมภีร์ยังได้มีการบันทึก เกี่ยวกับลักษณะของการหายโรคไว้ 2 ลักษณะ

ลักษณะที่ 1 คือ การหายโรคอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

ให้ที่ประชุมเปิดไปที่ มก.8 :22 - 26แล้วอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

พี่น้องที่รักครับ การรักษาของแพทย์ปัจจุบันนั้น มีขั้น มีตอน มีการใช้ยา ลองยา เปลี่ยนยาให้กับผู้ป่วยสุดท้ายผู้ป่วยก็หายเป็นปกติ

พระคำของพระเจ้าใน มก.8 :22 - 26บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า การรักษาของพระเยซูคริสต์ก็เช่นกัน พระองค์ทรงมีขั้น มีตอน มีวิธีการในการรักษาเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงรักษาคนตาบอดที่ เมืองเบธไซดา สุดท้ายผู้ป่วยก็หายเป็นปกติ

ลักษณะประการที่ 2 คือ การหายโรคโดยฉับพลัน

พระคำของพระเจ้าใน มธ.11:5 ตรัสดังนี้ว่า“ คือว่าคนตาบอดก็หายบอด คนง่อยก็เดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกยินได้ คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐก็ประกาศแก่คนอนาถา”การรักษาและหายโรคโดยฉับพลัน เป็นจุดที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดในการรักษาโรคของพระเยซูคริสต์ และพระองค์ทรงทำการรักษาเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

พี่น้องคิดว่า การรักษาให้หายระหว่างเป็นขั้นเป็นตอนกับการรักษาให้หายโดยฉับพลัน พี่น้องคิดว่าการรักษาลักษณะอย่างไหนที่พระเยซูทรงกระทำมากกว่ากัน

การรักษาโรคให้หายโดยฉับพลันเป็นการรักษาที่พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกไว้ว่าพระเยซูทรงกระทำมากที่สุด

ปัจจุบันแม้ว่าวงการแพทย์จะมีเครื่องไม้ เครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่พัฒนาไปมากแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีแพทย์สักคนที่สามารถจะรักษาคนเจ็บป่วยให้หายได้อย่างฉับพลันเหมือนกับ พระเยซูคริสต์พระเจ้าของเรา

คำถามคือว่า ที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้ได้เพราะอะไรครับพี่น้อง ? เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก

ปฐก.1 เราพบว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้จัดระเบียบในธรรมชาติที่พระองค์ทรงเห็นว่าดี และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการเปิดเผยรูปแบบของสวรรค์สถาน ที่ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือวิวรณ์ ดังนั้นการรักษาของพระเยซูคริสต์จึงเป็นการรักษาที่มาจากไหนครับพี่น้อง ?

พระคำของพระเจ้าใน ยก.1:17 ตรัสดังนี้ว่า“ของประทานอันดีทุกอย่างและของประทานอันเลิศทุกอย่างมาจากเบื้องบนและส่งลงมาจากพระบิดาแห่งดวงสว่างในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยแปลง”

ดังนั้นการรักษาของพระเยซูคริสตจึงเป็นการรักษาที่มาจากเบื้องบน และทุกครั้งนำมาซึ่งการอัศจรรย์แก่คนทั้งหลาย

หมอสูติที่เป็นเจ้าของครรภ์ในกรณีของคุณกล้า หมอสูติบอกกับคุณกล้าว่าอย่างไรครับ ?

หมอสูติบอกคุณกล้าว่า เด็กมีน้ำหนักตัวน้อย สุขภาพของทารกในครรภ์ไม่ค่อยปกติ

สิ่งที่เราทำร่วมกันคืออะไรครับพี่น้อง ? อธิษฐานต่อพระเจ้า

การรักษาจากเบื้องบนได้ลงมาเหนือชีวิตของแม่และเด็กในครรภ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คืนที่เราไปเยี่ยมคุณกล้าที่โรงพยาบาล

เธอเป็นอย่างไรบ้างครับพี่น้อง ? คุณกล้าแข็งแรง น้องมุกสมบูรณ์ดี สามีของคุณกล้ามีความชื่นชมยินดี  

หลักการทางวิทยาศาสตร์หรือผลวิเคราะห์ทางการแพทย์นั้นสามารถที่จะใช้ได้ในหลายๆกรณี แต่หลักการทางวิทยาศาสตร์หรือผลวิเคราะห์ทางการแพทย์ ไม่สามารถที่จะอธิบายถึงเหตุผลและไม่สามารถที่จะอธิบายถึงที่มาที่ไปของการรักษาจากเบื้องบนได้

ให้เรามาดูผลที่ตามมาจากการรักษาโรคหายโดยฉับพลันนั้นคืออะไร

           พระคำของพระเจ้าใน มธ.15 :30 -31 ตรัสดังนี้ว่า “และประชาชนเป็นอันมากมาเฝ้าพระองค์ พาคนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้และคนเจ็บอื่นๆหลายคนมาวางแทบพระบาทของพระเยซูแล้วพระองค์ทรงรักษาเขาให้หายคนเหล่านั้นจึงอัศจรรย์ใจนักเมื่อเห็นคนใบ้พูดได้ คนแขนพิการหายเป็นปกติ คนง่อยเดินได้ คนตาบอดกลับเห็น แล้วเขาก็สรรเสริญพระเจ้าของชนชาติอิสราเอล”

พระคำของพระเจ้าใน กจ. 4:21 ตรัสดังนี้ว่า “เหตุว่าคนทั้งหลายได้สรรเสริญพระเจ้า เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น”

ผลที่ตามมาจากการหายโรคโดยฉับพลันคือ ความชื่นชมยินดีอันยิ่งใหญ่ที่มาถึงแต่ละคนและในแต่ละชุมชนที่มีการรักษาโรคหายโดยฉับพลัน # การหนุนใจทำให้เขายอมรับข่าวประเสริฐภายหลังจากที่เขาได้รับการรักษาโรคและผลที่ตามมาจากการักษาโรคหายโดยฉับพลัน คือ การถวายเกียรติแด่พระเจ้า

ถึงแม้ว่าหลายคนจะได้รับการรักษาให้หายโรคจากพระเจ้าโดยฉับพลันแล้ว และถึงแม้ว่าเราไม่ได้กลับมาถวายเกียรติแด่พระเจ้า พระเจ้าว่าอะไรไหมครับพี่ - น้อง ?

พระคำของพระเจ้าใน สดด.145 :8 -9 ตรัสดังนี้ว่า “พระเจ้าทรงพระเมตตากรุณา ทรงกริ้วช้าและมีความรักมั่นคงอย่างอุดม พระเจ้าทรงดีต่อทุกคนและความรักความเอ็นดูของพระองค์มีอยู่เหนือพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์” พระองค์ก็ไม่ได้ว่าอะไรและนี่คือพระลักษณะของพระองค์

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้เขียนถึงพระเจ้าผู้ที่จะเสด็จมาไว้ในหนังสือ

อสย.53 :4 “ แน่ทีเดียวท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย ”

มธ.8:14-17 “ครั้นพระเยซูเสด็จเข้าไปในเรือนของเปโตร ก็ทรงเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับไข้อยู่ พอพระองค์ทรงจับมือนาง ความไข้ก็หาย นางจึงลุกขึ้นปรนนิบัติพระองค์ พอค่ำลง เขาพาคนผีเข้าเป็นอันมากมาหาพระองค์ พระองค์ทรงขับผีออกด้วยพระดำรัส และบรรดาคนเจ็บป่วยทั้งหลายนั้นพระองค์ก็ได้ทรงรักษาให้หาย ทั้งนี้เพื่อให้สำเร็จตามพระวจนะโดยอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่าท่านได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลายและหอบโรคของเราไป”

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงใครครับ ? กล่าวถึงพระเยซูคริสต์

ผลที่ตามมาจากการรักษาโรคหายโดยฉับพลันนั่น คือ การยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้เป็นนักปราชญ์ ไม่ได้เป็นผู้เผยพระวจนะ ไม่ได้เป็นนักสอนศาสนา ไม่ได้เป็นผู้นำทางการเมืองเหมือนที่พระองค์ทรงถูกกล่าวหาแต่ยืนยันพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยหรือเป็นพระเมสซิยาห์ นั่นเอง

ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าการรักษาโรคเป็นส่วนหนึ่งของข่าวประเสริฐหรือเป็นส่วนหนึ่งของการประกาศพระกิตติคุณได้ไหมครับ ?

ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าการรักษาโรคเป็นประตูของข่าวประเสริฐที่จะแบ่งปันให้คนทั้งหลายได้รับความรอดได้ไหมครับ ?

อย่างไรก็ตามการอธิษฐานเผื่อการรักษาโรคไม่ได้เป็นหน้าที่ของผู้ที่มีของประทานแต่เพียงฝ่ายเดียวและก็ไม่ได้เป็นหน้าที่ของศิษยาภิบาลหรือผู้นำฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของใครครับพี่น้อง ?

พระคำของพระเจ้าใน ยก.5-16 ตรัสดังนี้ว่า “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล”

การอธิษฐานเผื่อการรักษาโรคไม่ได้เป็นหน้าที่ของผู้ที่มีของประทานแต่เพียงฝ่ายเดียวและ

ก็ไม่ได้เป็นหน้าที่ของศิษยาภิบาลหรือผู้นำฝ่ายวิญญาณเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของใครครับพี่น้อง ?

เป็นหน้าที่ของใครครับพี่ - น้อง ? เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน

ดังนั้นอย่าเปิดโอกาสให้กับมารที่จะมากระซิบข้างๆหูของคุณว่า คุณไม่มีของประทานที่จะอธิษฐานเผื่อพี่น้องหรือผู้ที่เจ็บป่วยได้หรอก

ดังนั้นอย่าเปิดโอกาสให้กับมารที่จะมากระซิบข้างๆหูของเรา และบอกกับเราว่านี่เป็นหน้าที่ศิษยาภิบาลหรือผู้นำคริสตจักรเท่านั้น

ดังนั้นอย่าเปิดโอกาสให้กับมารที่จะบอกกับเรา ว่าเราเองเพิ่งเป็นคริสเตียนใหม่พระเจ้าคงยังไม่ใช้เราหรอก มีพระคำของพระเจ้า บทไหน ข้อไหน ที่พูดว่าเป็นคริสเตียนใหม่แล้วพระเจ้ายังไม่ใช้เราหรอก มีไหมครับ

ดังนั้นอย่าเปิดโอกาสให้กับมารที่จะบอกกับเรา ว่าการอัศจรรย์ไม่ใช่สำหรับยุคปัจจุบันหรืออย่าเปิดโอกาสให้กับมารที่จะบอกกับเราว่า การอัศจรรย์นั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว

พระคำของพระเจ้าใน ฮบ.13:8 ตรัสดังนี้ว่า “พระเยซูทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้ และต่อๆ ไปเป็นนิจกาล”

ดังนั้นให้เรามองไปที่พระคำของพระเจ้า ถ้าพระคำของพระเจ้ากล่าวว่าให้เราวางมือบนคนเจ็บป่วย ให้เราทำอย่างไรครับ ? ให้เราเชื่อและทำตามพระวจนะของพระเจ้าโดยการวางมือไปที่คนเจ็บป่วย

ถ้าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่าให้เราอธิษฐานเผื่อคนเจ็บคนป่วยให้เราทำอย่างไรครับ ? ก็จงทำตามนั้น โดยความเชื่อของผู้เจ็บป่วยและถ้าอยู่ในเวลาของพระเจ้าด้วย เขาจะหายอย่างไรครับพี่น้อง ? เขาจะหายโดยฉับพลัน

พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ในที่ๆมีการรับใช้พระเจ้าโดยการวางมือและอธิษฐานว่า จะมีคนอยู่ในเหตุการณ์สองสถานะด้วยกัน สถานะแรกคือ ยืนอยู่ข้างๆและคอยแต่จะสังเกตุดูว่าจะมีอะไรเกิดอะไรขึ้นและบอกคนให้คอยระมัดระวังเหมือนกามาลิเอลผู้นำในพันธสัญญาใหม่ สถานะที่สองคือ ขะมักขะเม้นในการร่วมอธิษฐานเผื่อในพันธกิจของพระเจ้าเหมือนกับสาวกขององค์พระเยซูคริสต์

            คำถามก็คือว่า พี่น้องจะเป็นคนสถานะไหน ? ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

Green City