จงอยู่ในพระเจ้า

คำเทศนาเรื่อง จงอยู่ในพระเจ้า

    

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะคำของพระเจ้าทั้งหมด 3 - 4 ตอนด้วยกัน และโดยส่วนตัวผมมีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า พระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้จะเป็นพระพรต่อพี่ - น้องอย่างมากมาย โดยผมจะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ลนต. 10 : 1 - 3 และจะอัญเชิญจาก ยชว.7 : 1 - 26 และ 1 พศด. 13 : 1 - 14 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ และผมจะให้ชื่อคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “จงอยู่ในพระเจ้า” ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

พี่ - น้องที่รักครับ ในเช้าวันนี้ผมมีคำถามที่จะถามพี่ - น้องสัก 3 - 4 คำถามด้วยกัน

คำถามแรกก็คือว่า   การมีพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญไหมครับ ?

คำถามที่ 2 ถามว่า การเดินกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญไหมครับ

คำถามที่ 3 ถามว่า การอยู่ในพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญไหมครับ

ดูเหมือนว่าจะสำคัญทั้งสิ้น

แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือว่า คำถามไหนเล่าที่สำคัญสุด โดยเฉพาะเป็นพระพรกับเราในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ในขณะนี้

พี่ - น้องที่รักครับ การมีพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่จะเป็นพระพรกับพี่ - น้องและผมอย่างสูงสุดในวันคืนที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นได้เสด็จกลับมา เหตุเพราะการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น ทำให้เรานั้นไม่ต้องถูกพิพากษาในบึงไฟนรก อันนี้เป็นพระพรแห่งกาลอนาคต

ซึ่งเรายังต้องรอ นั่นหมายความว่ายังไม่ได้เป็นพระพรแก่เราทั้งหลายในเวลานี้แต่เราได้รับแน่นอนไหมครับ ?

การเดินกับพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่สำคัญ แต่นั่นหมายถึงกี่คนเดินร่วมกัน ?

2 คนเดินร่วมกัน คนหนึ่งคือพระเจ้า อีกคนหนึ่งนั่นก็คือเรา ซึ่งนั่นอาจจะหมายความว่า พี่ - น้องอาจจะมีโอกาสที่จะเดินอยู่ใกล้ๆกับพระองค์ หรือพี่ - น้องอาจจะมีโอกาสที่จะเดินห่างไกลจากพระองค์ก็เป็นได้ไหมครับ

อาจจะกล่าวได้ว่า เมื่อใดก็ตามที่พี่ - น้องและผม ยังเดินใกล้ๆกับพระเจ้า พี่ - น้องและผมก็จะได้รับพระพรจากพระเจ้า แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเดินห่างไกลจากพระเจ้า เมื่อนั้นเราก็มีโอกาสที่จะขาดพระพรของพระเจ้าได้ด้วยเช่นกัน

แต่การอยู่ในพระเจ้านั้นหมายถึงพระเจ้าอยู่ในผมและผมอยู่ในพระเจ้า เป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่เดินทางร่วมกัน ซึ่งการที่เราอยู่ในพระเจ้านี้แหละ จะเป็นพระพรอย่างมากมายในขณะที่พี่ - น้องและผมยังมีชีวิตและลมหายใจอยู่ในขณะนี้

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันใน ลนต. 10 : 1 - 3 เราพบอะไร ?

เราพบว่า นาดับกับอาบีฮู ซึ่งทั้ง 2 คนเป็นบุตรชายของอาโรนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเตรียมเขาทั้งสองคนเอาไว้ ให้ขึ้นมาทำหน้าที่ในการเป็นปุโรหิตย์แทนผู้เป็นบิดาของตนในอนาคต ซึ่งในการเตรียมนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสอนเขาทั้ง 2 คนอย่างละเอียด เพื่อที่จะให้เขานั้นได้ถวายการนมัสการพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง

แต่บุตรชายของอาโรนทั้ง 2 คน กับไม่สนใจในการที่จะกระทำตามกฏเกณฑ์ในการถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า เขาทั้ง 2 คนได้ก่อไฟขึ้นในกระถางเครื่องหอม และเติมเครื่องหอมลงไป แล้วเขาถวายด้วยไฟที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากพระเจ้า

พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อทั้ง 2 คนได้ถวายไฟที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากพระเจ้า ผลที่ตามมาเป็นอย่างไรครับ ? ฟรึบ สิ่งนี้ทำให้เราทราบว่าไฟของพระเจ้านี้เป็นไฟที่บริสุทธิ์เราจะเอาไฟจากที่อื่นมาใส่นั้นไม่ได้เลย

คำถามก็คือว่า นาดับกับอาบีฮู เขามีพระเจ้าไหมครับ ? เขาเดินกับพระเจ้าไหมครับ ? แต่เมื่อเขาไม่ได้อยู่ในพระเจ้า ฉากจบของชีวิตของเขาจึงไม่สวยงาม

สิ่งที่ผมอยากจะสื่อกับพี่ - น้อง ผ่านเรื่องราวของนาดับกับอาบีฮู นั่นก็คือว่า การรับใช้พระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ดีและดีมากๆ อีกทั้งเป็นสิ่งที่พวกเราควรจะทำ แต่พี่ - น้องควรที่จะเข้าใจการรับใช้ให้ถูกต้อง ถ้าพี่ - น้องอยากรับใช้พระเจ้า แต่ถ้าพี่ - น้องไม่ยอมรับการฝึกฝน ในการที่จะเข้าใจการรับใช้พระเจ้าได้อย่างถูกต้อง การรับใช้ของพี่ - น้องแทนที่จะเป็นพระพร กับกลายที่จะเป็นพระเพลิงที่จะทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้

ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รักครับ คริสตจักรฯ จึงไม่สามารถที่จะให้ใครขึ้นมารับใช้อะไรก็ได้ โดยเฉพาะในด้านมิติของฝ่ายจิตวิญญาณด้วยแล้วยิ่งต้องมีชีวิตที่จะต้องพิสูจน์ได้

ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีพี่ - น้องคริสเตียนครอบครัวหนึ่งซึ่งเคยมานมัสการพระเจ้าร่วมกับพี่ - น้องในคริสตจักรฯ ของเราอยู่นานพอสมควร และเขาก็เป็นนักดนตรีที่เล่นอยู่ที่ร้านอาหาร “ ครัวส้มตำ ” เขาได้มาเลียบๆเคียงบอกกับผมว่า เขานั้นสามารถที่จะเล่นดนตรีได้นะ แต่ผมก็ได้ตอบปฏิเสธเขาไป เพราะสิ่งแรกที่เขาจะต้องเรียนรู้ก่อนการรับใช้นั่นก็คือ ความถ่อมใจในการที่จะเชื่อฟัง ถ้าไม่มีสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่ยาก ที่จะให้พี่ - น้องที่จะได้มีโอกาสที่จะมาร่วมรับใช้

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ผมเองก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้าเสมอ ที่พี่ใหม่ของเรานั้น มีหัวใจในการที่อยากจะปรนนิบัติและรับใช้พระเจ้า ในด้านการนมัสการรวมทั้งการเทศน์การสอน ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอให้พี่ใหม่ได้มีโอกาสที่จะถ่อมใจเรียนรู้กับโตนและเสียสละเวลาในการทำงาน เพื่อไปเรียนหลักการเทศน์การสอนที่ BBS

และผมขอบคุณพระเจ้าที่มาลัยก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีหัวใจที่อยากจะช่วยสอนรวีเด็ก ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องขอให้มาลัยหยุดขายไก่ในวันเสาร์ เพื่อไปเข้ารับการอบรมที่ ซ. 6 ทั้งนี้เพื่อที่ใครจะดูหมิ่นไม่ได้  

กลับมาที่พระวจนะของพระเจ้า แต่เมื่อบุตรชายของอาโรนทั้ง 2 คน กับไม่สนใจ ในการที่จะกระทำตามกฏเกณฑ์ในการถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า พระคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเขาทั้ง 2 คนได้ก่อไฟขึ้นในกระถางเครื่องหอม และเติมเครื่องหอมลงไปแล้วเขาถวายด้วยไฟที่ไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า

พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อทั้ง 2 คนได้ถวายไฟที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากพระเจ้า ผลที่ตามมาเป็นอย่างไรครับ ? ฟึบ สิ่งนี้ทำให้เราทราบว่าไฟนี้เป็นไฟที่บริสุทธิ์ ดังนั้นเขาจะเอาไฟจากที่อื่นมาถวายแด่พระเจ้าไม่ได้

สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่ - น้อง ผ่านเรื่องราวของนาดับกับอาบีฮูนั่นก็คือว่า เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเราให้เข้ามาเป็นประชากรของพระองค์ขอให้เราได้ตระหนักภายในจิตใจของเราอยู่เสมอว่า พระองค์นั้นทรงบริสุทธิ์

ดังนั้นเราผู้ที่ถูกเรียกทุกๆคน เมื่อได้มีโอกาสที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับพระเจ้าแล้วเราเองก็ควรที่จะ

1. รักษาชีวิตของตนให้สะอาดและบริสุทธิ์

2. มีฉากหน้าฉากหลังของชีวิตที่เหมือนกัน

3. เรียนรู้ที่จะแยกสิ่งที่เป็นมลทินกับสิ่งที่ไม่เป็นมลทินให้ออก

พี่ - น้องที่รักครับ ในเมืองเพนซิลวาเนียนั้น มีอนุสาวรีย์แห่งหนึ่งชื่อ วิลเลียมเพนน์ เป็นอนุสาวรีย์ที่สูงตระหง่าน เขาก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ก่อตั้งรัฐเพนซิลวาเนีย เทศบาลของรัฐแห่งนี้พบว่า ตอนเช้าๆมันชอบมีนกกระจอกบินมาตายอยู่ที่โคนอนุสาวรีย์ให้เห็นในทุกเช้าวันใหม่

เขาจึงได้ว่าจ้างให้มีการทำวิจัยขึ้นมา เพื่อศึกษาถึงสาเหตุว่ามันเป็นเพราะเหตุใด จากการวิจัยก็พบว่านกที่ตายส่วนมากนั้นเป็นนกวัยหนุ่มวัยสาวทั้งสิ้น สาเหตุที่ทำให้นกเหล่านี้ตายจากการวิจัยก็พบว่า

นกพวกนี้จะออกหากินตั้งแต่ตอนเช้ามืดโดยไม่ทันได้ระวังตัวก็บินชนอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ในความมืด และสาเหตุที่ลึกลงไปกว่านั้นที่ทำให้นกหนุ่มสาวเหล่านี้ต้องตายนั่นก็เพราะว่า นกหนุ่มสาวพวกนี้ไม่ยอมที่จะบินตามนกแก่ๆซึ่งเป็นนกที่ชำนาญเส้นทางการบินเป็นอย่างดี

สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับพี่ - น้องผ่านเรื่องเล่าเรื่องนี้ นั่นก็คือว่า ผู้รับใช้รุ่นใหม่ต้องเรียนรู้จากผู้รับใช้รุ่นเก่า และคริสเตียนใหม่ต้องเรียนรู้จากคริสเตียนเก่า โดยเฉพาะเรียนรู้จากผู้ที่มีความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ ทั้งนี้เพื่อพระพรของพระเจ้าจะไม่ห่างและหายไปจากชีวิตของเขา

จากพระวจนะคำของพระเจ้า ที่เราได้อ่านร่วมกันใน ยชว. 7 : 1 - 26 เราพบอะไร? เราพบว่าพระเจ้าทรงตรัสกับโยชูวาในบทที่ 6 ถ้าพี่ - น้องมีเวลาให้กับไปอ่าน ยชว. บทที่ 6 ด้วยนะครับ

พระเจ้าทรงตรัสกับโยชูวาว่า“เราได้มอบเมืองเยริโคกับบรรดากษัตริย์ และนักรบของเมืองนี้เอาไว้ในมือของเจ้า” และพระเจ้าได้ตรัสกับโยชูวาต่อไปอีกว่า “อย่าแตะต้องของที่ต้องอุทิศถวายให้กับพระองค์”ซึ่งการรบในครั้งนี้ ก็เป็นเหตุทำให้ชื่อเสียงของโยชูวากับชนชาติอิสราเอลนั้น เป็นที่น่าเกรงขามยิ่งนัก

            พระคำของพระเจ้าใน ยชว. 7 : 7 ทำให้เราทราบว่าโยชูวาได้พากองกำลังทหารของตนจำนวนหนึ่งออกไปรบที่เมืองอัย ซึ่งเป็นเมืองที่เล็กมากๆโดยไม่ได้ปรึกษากับพระเจ้า ผลปรากฏว่าเขาแพ้หรือชนะครับ ? แพ้

โยชูวาและบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอล เกิดความสับสนขึ้นมาว่าทำไมเมืองเยรีโค ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ มีป้อมกำแพงบางแห่งสูงถึง 8 เมตร และมีความหนาถึง 6 เมตร พวกเขาถึงชนะมาได้ แต่ทำไมเมืองอัย ซึ่งเป็นเมืองที่เล็กพวกเขาถึงกับพ่ายแพ้ อันนี้เป็นสิ่งที่โยชูวากับบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลเกิดความสงสัย ด้วยเหตุนี้เองพี่ - น้องที่รัก เราจึงได้เห็นท่าทีของโยชูวากับบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลในข้อที่ 6 - 9

            เขาอธิษฐานกับพระเจ้าว่าอย่างไร ให้เราได้อ่านร่วมกันอีกสักครั้งหนึ่งดีไหมครับ ? โยชูวาจากคนที่พระเจ้าทรงใช้ กับกลายเป็นโยชูวาที่ริใช้พระเจ้า            

คำถามคือว่า แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าโยชูวาเขาริใช้พระเจ้า ?

คำตอบก็คือก็จากคำอธิษฐานของเขาไงละครับพี่ - น้อง

สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า คริสเตียนหลายต่อหลายคนก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากโยชูวาในตอนนี้ที่1.ชอบนำหน้าพระเจ้า2.เชื่อมั่นในความรอบรู้และความสามารถของตนเอง 3.หวังใจในมนุษย์มากกว่าในพระเจ้า พอไม่ได้อย่างที่หวังเอาไว้ก็ริที่จะใช้พระเจ้าผ่านการอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยอย่างนั้น ขอพระเจ้าช่วยอย่างนี้ ให้เราบอกกับคนข้างซ้ายข้างขวาว่า อาจารย์เขากำลังพูดถึงคุณอยู่

นักธุรกิจคริสเตียนหลายคน พระเจ้าใช้ให้เขานั้นเป็นผู้ถวายทรัพย์เพื่อสนับสนุนงานของพระเจ้า ผ่านทางคริสตจักรหรือผ่านทางผู้รับใช้ นักธุรกิจคริสเตียนหลายคนกับมีความรู้สึกว่า ผู้รับใช้ของพระเจ้าเอาเงินถวายไปใช้แล้วใช้กันไม่ค่อยเป็นกันสักเท่าไหร่

นักธุรกิจคริสเตียนหลายคน ก็เลยลุกขึ้นมาทำพันธกิจนั้นพันธกิจนี้เสียเอง หลายๆพันธกิจที่นักธุรกิจคริสเตียนได้ลุกขึ้นมาทำก็ล้มหายตายจากไปก็มีให้เห็นเยอะแยะมากมาย

นักธุรกิจคริสเตียนหลายคน จึงอธิษฐานกับพระเจ้าว่า ทำไมข้าพระองค์รับใช้พระองค์ แต่ทำไมพันธกิจที่ข้าพระองค์รับใช้พระองค์ ถึงไม่เกิดผลเลยล่ะพระองค์เจ้าข้า

คำตอบอย่างง่ายๆ นั่นก็คือว่า พระองค์ไม่ได้ใช้ให้คุณทำอย่างนั้นไง

พันธกิจของคุณจึงไม่เกิดผลไงล่ะ

อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รัก พระเจ้าก็ทรงตรัสตอบกับโยชูวาในข้อที่ 10 ว่า มีหนึ่งคนในพวกเขา ที่ได้ยักยอกของที่ต้องอุทิศถวายของพระเจ้าไป ให้โยชูวาได้ไปจัดการกับคนๆนั้นเสียมิเช่นนั้นเราจะไม่อยู่กับเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่ได้อยู่ด้วยนี้วิบัติไหมครับพี่ - น้อง

และแล้วโยชูวาก็ได้มาจัดการในเรื่องนี้ซึ่งในข้อที่ 20 ทำให้เราทราบว่าคนที่เอาไปคือ อาคาน ซึ่งโทษของอาคานกับครอบครัวรุนแรงไหมครับ ? รุนแรงมาก เพราะเขาถือว่าได้ว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว โดยเฉพาะในสมัยโบราณนั้นครอบครัวถูกนับเป็นหน่วยเดียวกัน บาปที่อาคานได้กระทำนั้นได้นำมาซึ่ง 1.การเสียขวัญกำลังใจ 2. ความสงสัยในพระเจ้า 3. อาคานและครอบครัวต้องถูกทำลาย 4. การเสียชีวิตของทหารจำนวนมากมายหลายคน 5. พระเจ้าต้องตรัสว่าจะไม่อยู่ด้วยกับพวกเขาอีกต่อไป

คำถามก็คือว่า อาคานเขารู้จักพระเจ้าไหมครับ ? เขาเดินกับพระเจ้าไหมครับ ? แต่เขาอยู่ในพระเจ้าไหมครับ ? วิบัติจึงเกิดขึ้นกับเขา

สิ่งที่พระคำของพระเจ้า ต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า มีคริสเตียนจำนวนไม่น้อยในประเทศไทย และส่วนหนึ่งก็นั่งอยู่ในที่นี้ด้วย ที่ชีวิตของเขานั้นไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากอาคาน คนที่ชอบขโมยของถวายแด่พระเจ้า

ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่ออีกครั้งหนึ่งว่า สิบลดนั้นเป็นของพระเจ้าตั้งแต่ก่อนสร้างโลก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เป็นของเราแต่มันเป็นของพระเจ้า ดังนั้นพี่ - น้องคนไหนก็ตามที่รู้จักพระเจ้า เดินกับพระเจ้าแต่ไม่ยอมที่จะอยู่ในพระจ้าโดยชอบเอาของที่เป็นของพระเจ้าไปใช้ระวังที่ท่านจะเป็นเหมือนกับอาคานในตอนนี้

บางคนบอกผมว่าอาจารย์สิบลดของผมมันนิดเดียวเองไม่ได้มากมายอะไรหรอก ผมก็อยากที่จะบอกกับพี่ - น้องว่า บาปของอาคานมันก็นิดเดียว ถ้าเราจะเทียบกับสิ่งที่อิสราเอล ได้อุทิศถวายแด่พระเจ้าด้วยการเผาทำลาย แต่พระเจ้าพระเจ้าไม่ได้มองว่ามันน้อยหรือมันมาก แต่พระเจ้าทรงมองว่าคุณเชื่อฟังบทบัญญัติทั้งหมดของพระองค์นั้นหรือไม่

พี่ - น้องยังจำได้ไหมครับ ที่ครั้งหนึ่งเคยมีข่าวว่า มีเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง ได้เข้าไปขโมยซาลาเปาเพียงไม่กี่ลูกที่เซเว่น แต่ทางเซเว่นไม่ยอม และต้องการให้ดำเนินคดีกับเด็กคนนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งคนที่ฟังข่าวก็รู้สึกว่าเซเว่นนี้มันโหดนะ

ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องว่า ในประเด็นนี้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับของจำนวนมากหรือน้อย และหรือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าสินค้านั้นมันจะเป็นผลิตภัณฑ์อะไร แต่ในประเด็นนี้มันขึ้นอยู่กับ ถ้าคุณไม่เข้มกับกฎระเบียบนี้ การปล้นทรัพย์สินในรูปแบบนี้ก็จะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

กลับมาที่พระวจนะของพระเจ้าเมื่อโยชูวาได้จัดการในเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วผลที่ตามมานั่นก็คือว่า 1.เขาได้รับกำลังใจจากพระเจ้า 2.พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยในการรบ 3.พระเจ้าทรงนำและทรงสัญญาว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะ 4.พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเขาเก็บทรัพย์สมบัติ และฝูงสัตว์ที่ยึดได้ไว้สำหรับตนเอง 5.ตลอดประวัติศาสตร์อิสราเอลพวกเขาต่างได้รับพระพรเมื่อพวกเขาขจัดความบาปนั้นออกไป

สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า สิ่งที่ชนชาติอิสราเอลได้ในตอนนี้นั้น ก็จะเป็นสิ่งที่พี่ - น้องจะได้รับด้วยเช่นเดียวกันถ้าพี่ - น้องหันจิตใจของพี่ - น้องกลับมาหาพระเจ้าอย่างแท้จริง

จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันใน 1 พศด. 1 - 14 เราพบอะไร ? พี่ - น้องจะต้องเข้าใจก่อนว่า หีบพันธสัญญานั้นเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในความเชื่อของชาวฮีบรูหรือชนชาติอิสราเอลหีบพันธสัญญานั้นเป็นกล่องขนาดใหญ่ที่บรรจุแผ่นศิลาซึ่งพระเจ้าทรงเขียนพระบัญญัติ 10 ประการเอาไว้

พี่ - น้องที่รักครับ เมื่อกษัตริย์ดาวิดได้ตั้งเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงได้สำเร็จ กษัตริย์ดาวิดมีใจปรารถนาที่จะนำหีบพันธสัญญาของพระเป็นเจ้าไปประดิษฐสถานเอาไว้ที่เมืองเยรูซาเล็ม ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะให้เมืองนี้ได้เป็นศูนย์กลางแห่งการนมัสการพระเจ้า

และด้วยความตั้งใจนี้เอง กษัตริย์ดาวิดจึงได้มีการปรึกษาหารือกับข้าราชการทุกคนเกี่ยวข้องกับราชพิธีต่างๆ ที่จะอัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้าออกจากบ้านของอาบีนาดับ

พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“ เขาจะอัญเชิญหีบพันธสัญญาออกจากบ้านของอาบีนาดับและจะยกขึ้นบนเกวียนเล่มใหม่โดยมีอุสซาห์และอาหิโยเป็นผู้นำทาง

โดยระหว่างทางนั้นดาวิดกับประชาชนชาวอิสราเอลจะเฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ต่อหน้าพระเจ้ามีการขับร้องและบรรเลงดนตรีกันอย่างสนุกสนาน

ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็น่าจะเป็นการวางแผนที่ดีมากๆ และเขาก็เดินตามแผนการนี้ พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวของคิโดนวัวสะดุดเสียหลัก อุสซาห์ยื่นมืออกรับหีบพันธสัญญา พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงพุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ พระองค์ทรงประหารเขาที่ยื่นมือออกมาแตะต้องหีบพันธสัญญาเขาจึงสิ้นชีวิตลงต่อหน้าพระเจ้า ”

พี่ - น้องที่รักครับ กษัตริย์ดาวิดเขาตั้งใจดีไหมครับ ที่เขาอยากรับใช้พระเจ้า ? ดีมาก การที่เขาปรึกษากับข้าราชการของเขานั้นดีไหม ? ดีมาก แต่เขาไม่ได้ปรึกษาใครครับ ? พระเจ้า และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้อุสซาห์นั้นต้องเสียชีวิต

คำถามก็คือว่า ดาวิดรู้จักพระเจ้าไหมครับ เขาเดินกับพระเจ้าไหมครับ แต่เขาอยู่ในพระเจ้าไหมครับ ? เหตุการณ์ในตอนนี้ทำให้เราทราบว่าดาวิดนั้นเขาอยากที่จะทำในสิ่งที่เขาอยากทำโดยที่เขานั้นไม่ได้ทูลขอคำปรึกษาใดๆในเรื่องนี้จากพระเจ้าเลย

ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว พระเจ้าได้ออกคำสั่งในเรื่องนี้เอาไว้อย่างชัดเจนอยู่ในหนังสือ กดว. 4 : 5 - 15 ว่าถ้าจะมีการเคลื่อนย้ายให้มีการเคลื่อนย้ายโดยการใส่คานและชาวเลวีเท่านั้นที่เป็นผู้หามไป

ซึ่งนั่นหมายความว่า 1.การที่ดาวิดเอาหีบพันธสัญญาขึ้นบนเกวียนนั้นก็ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระเจ้า 2. การที่เขาเอาอุสซาห์นำหน้าหีบพันธสัญญาของพระเจ้าก็ไม่ได้เป็นไปตามบทบัญญัติของพระเจ้าด้วยเช่นกันและสิ่งนี้เป็นเหตุทำให้พระเจ้าทรงพระพิโรธ

สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะสื่อกับพี่ - น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า

1.ความกระตือรือร้นในการรับใช้พระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การเชื่อฟังธรรมบัญญัติหรือทำตามคำสอนของพระเจ้า ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆด้วยเช่นกัน

2.ถ้าเรารู้จักพระเจ้า เดินกับพระเจ้าแต่การที่ดาวิดไปปรึกษาหารือกับคนที่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้าโดยเฉพาะในเรื่องที่สำคัญ อย่างเช่นเรื่องการย้ายหีบพันธสัญญานี้เป็นต้น ก็ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่าการลงโทษจะมาถึงพี่ - น้องอย่างแน่นอน จะหนัก จะเบานั่นก็เรื่องหนึ่ง จะมาเร็วหรือมาช้า นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

3.การที่พี่ - น้องรู้จักพระเจ้า เดินกับพระเจ้า แต่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้าเพราะต้องการที่จะอย่างนั้น อย่างนี้ก็ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่าการลงโทษจะมาถึงพี่ - น้องอย่างแน่นอน จะหนัก จะเบานั่นก็เรื่องหนึ่ง จะมาเร็วหรือมาช้า นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

ทำไมผมถึงพูดอย่างนี้ให้เรากลับไปที่เรื่องนาดับกับอาบีฮูอีกครั้งหนึ่ง

พี่ - น้องที่รักครับ ในระหว่างที่ทั้ง 2 คนจะถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ผมคิดว่าในฐานะที่อาโรนเขาเป็นพ่อ และอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งนี้มาก่อน เขาก็คงจะเตือนลูกเขาทั้ง 2 คนอยู่บ้างนะครับว่า นาดับกับอาบีฮู เจ้าอย่าทำอย่างนั้นนะลูก แต่ทั้ง 2 คนเขาอาจจะตอบกับพ่อของเขาอย่างนี้ก็ได้ว่า ก็ผมอยากจะถวายการนมัสการแบบนี้แล้วพ่อจะทำไม และในทันทีที่เขาถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ฟรึบ ก็ได้เกิดขึ้นในชีวิตของเขา

ดังนั้นการที่พี่ - น้องอยู่ในพระเจ้า เดินกับพระเจ้า แต่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า โดยที่เขาเองต้องการที่จะเดินตามเนื้อหนังของตนเองหรือกระแสของโลกซึ่งเป็นหนทางแห่งความบาปทั้งสิ้น ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่าพี่ - น้องจะต้องเก็บเกี่ยวในสิ่งที่พี่น้องได้หว่าน

เพราะฉะนั้นถ้าพี่ - น้องอยากเดินกับพระเจ้าในอยากที่พี่ - น้องอยากเดินก็ขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่า การลงโทษจะมาถึงพี่ - น้องอย่างแน่นอน จะหนัก จะเบานั่นก็เรื่องหนึ่ง จะมาเร็วหรือมาใช้ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้กล่าวมานั้น พี่ - น้องหลายคนอาจจะท้วงติงว่า มันอยู่ในพระคัมภีร์เดิมทั้งสิ้น ซึ่งในพระคัมภีร์เดิมนั้นเป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงใช้พระเดชกับชนชาติของพระองค์ทั้งสิ้น

ซึ่งถ้าเราฟังแบบเผินๆ โดยที่เราไม่คิดอะไรมากนักก็ดูมีเหตุมีผลนะครับ แต่ถ้าพี่ - น้องกำลังคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมก็ขอบอกกับพี่ - น้องอย่างสัตย์ซื่อว่า พี่ - น้องกำลังเข้าใจผิด ซึ่งถ้าพี่ - น้องยังจำได้ครั้งเมื่อโยชูวาได้จัดการเกี่ยวกับความบาปในชุมชนของตนเรียบร้อยแล้ว ผลที่ตามมานั่นก็คือว่า 1. เขาได้รับกำลังใจจากพระเจ้า 2. พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยในการรบ 3.พระเจ้าทรงนำและทรงสัญญาว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะ 4. พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเขาเก็บทรัพย์สมบัติและฝูงสัตว์ที่ยึดได้ไว้สำหรับตนเอง 5.ตลอดประวัติศาสตร์อิสราเอล พวกเขาต่างได้รับพระพร เมื่อพวกเขาได้ขจัดความบาปนั้นออกไปซึ่งนี่ก็คือพระคุณของพระเจ้าทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นการที่ใครก็ตามกล่าวว่าพันธสัญญาเดิมนั้นพระเจ้าเน้นไปที่การใช้พระเดช ส่วนพันธสัญญาใหม่นั้นพระเจ้าเน้นไปที การใช้พระคุณนั้น อาจจะเป็นการกล่าวที่โดยส่วนตัวของผมนั้นไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่นัก

เหตุเพราะเมื่อสักครู่นี้ ผมก็ได้ใช้พระคำของพระเจ้า ได้พิสูจน์ให้เราได้แลเห็นแล้วว่า ในพระพันธสัญญาเดิมนั้น ก็มีพระคุณของพระเจ้าอยู่ด้วยเช่นกัน

พี่ - น้องช่วยเงยหน้ามองผมสักนิดนึงครับ นี่คือพระวจนะของพระเจ้าด้านซ้ายมือของผมนี่คือพันธสัญญาเดิม และด้านขวามือของผมนี่คือพันธสัญญาใหม่ พระคำของพระเจ้าใน รม. 16 : 27 ตรัสว่า “ ขอสง่าราศีมีแด่พระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูญาณ ”

พี่ - น้องที่รักครับ คำว่า “ สัพพัญญูญาณ ” คำนี้แปลว่า 1. พระองค์ทรงอยู่ในทุกหนและทุกแห่ง 2. พระองค์ทรงไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หลับ ไม่นอนหรือทรงตื่นอยู่เสมอ ซึ่งนั่นหมายความว่า พระองค์ทรงอยู่ตรงกลางหรืออยู่ระหว่างพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่

ซึ่งในพระคัมภีร์เดิมนั้นพี่ - น้องได้เห็นแล้วนะครับ ถึงพระเดชและพระคุณของพระเจ้า ผ่านเรื่องราวของโยชูวา ส่วนในพระคัมภีร์ใหม่ที่หลายๆคนชอบพูดว่า เราอยู่ในยุคของพระคุณ โดยที่พระเจ้าไม่ใช้พระเดชนั้นจริงหรือไม่ ให้เราได้มาพิสูจน์กันโดยให้ที่ประชุมเปิดไปที่ กจ.5 : 1 - 11 และอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

กจ.5 : 1 - 11 นั้นเป็นเรื่องของอานาเนียกับสัปฟีราซึ่งทั้ง 2 คนเป็นสามีภรรยากัน ซึ่งทั้ง 2 คนก็มีความคิดเห็นที่ตรงกันว่า อีกไม่นานองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จกลับมาแล้ว ประกอบกับพี่ - น้องของเราซึ่งก็คือผู้เชื่อในสมัยนั้นต่างก็มีภาระใจที่อยากจะสร้างคริสตจักร งั้นเราก็ขายที่ดินที่เรามีอยู่และนำเงินทั้งหมดที่ขายได้ไปวางไว้ที่เท้าของอัครทูตกันดีกว่า

ผลปรากฏว่าเขาขายได้ไหมครับ ? เมื่อเงินที่ขายที่ดินได้นั้นอยู่ในมือ ความคิดของเขากับเปลี่ยน เขากับคิดว่าเออ...แล้วถ้าพระเยซูยังไม่มาในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่แล้วเราจะเอาอะไรกินกันดีละ งั้นเราแบ่งครึ่งก็แล้วกัน

พระคำของพระเจ้าได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าในข้อที่ 3 - 5 ว่าเมื่ออานาเนียไปหาอัครทูตเขาได้พูดอะไรไหมครับ ? เขาไม่ได้พูดอะไรเลย เมื่ออนาเนียฟังอัครทูตพูดเสร็จเกิดอะไรขึ้นกับเขาครับ ? ฟรึบ

พระคัมภีร์บันทึกว่า หลังจากนั้น 3 ชม.นางสัปฟีราก็ไปหาอัครทูตโดยที่นางยังไม่รู้เรื่องของสามี เปโตรถามว่า ท่านกับอานาเนียขายได้เท่านี้หรือนางตอบว่า “ ได้เท่านี้เจ้าข้า ” นางตอบเสร็จ เป็นอย่างไรครับ ? ฟรึบ

สิ่งที่เกิดขึ้นกับอานาเนียกับสัปฟีรา อันนี้เป็นพระเดชหรือเป็นพระคุณครับ ? เรื่องนี้อยู่ในพันธสัญญาเดิมหรือในพันธสัญญาใหม่ครับ ?

ในฮบ. 13 : 8 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “องค์พระเยซูคริสต์เจ้ายังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้และต่อๆไปเป็นนิจกาล ซึ่งทำให้เราทราบว่า ในพันธสัญญาเดิมนั้นมีทั้งพระเดชและพระคุณ และในพันธสัญญาใหม่นั้น มีทั้งพระคุณและพระเดช ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีมาเหนือชีวิตของเราแต่ละคน

กลับมาที่คำถามหลัก อานาเนียกับสัปฟีรารู้จักพระเจ้าไหมครับ ? เขาเดินกับพระเจ้า ? แต่เขาอยู่ในพระเจ้าไหมครับ ?

จากเหตุการณ์ในตอนนี้ทำให้เราทราบอย่างชัดเจนว่า เขาไม่ได้อยู่ในพระเจ้า ดังนั้นคนที่อยู่ใกล้พระเจ้าแต่ไม่ได้อยู่ในพระเจ้า ต้องระวังตัวก่อนให้ดีๆ เพราะบุคลิกภาพของพระองค์อย่างหนึ่งนั่นก็คือ พระองค์ทรงน่าเกรงขาม

ดังนั้นเราอย่าคุ้นเคยกับบุคลิกภาพของพระองค์ เฉพาะภาพของการที่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาเท่านั้นแต่ให้เราได้คุ้นเคยกับพระองค์ในลักษณะต่างๆด้วย

และสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด ในพระคำของพระเจ้า ที่เราได้อ่านร่วมกันนั่นก็คือว่า เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายหรือมีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดาวิด , ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอานาเนียกับสัปฟีราและหรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม

สิ่งที่ผมชอบมากที่สุด และพระคัมภีร์ก็ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนนั่นก็คือถ้อยคำที่ว่า เหตุการณ์นี้ทำให้คนนั้น คนนี้เกรงกลัวพระเจ้า หรือทำให้ประชาชนที่ได้ยินเหตุการณ์เหล่านี้ก็เกรงกลัวจนตัวสั่น

ซึ่งผมอยากที่จะให้พระคำของพระเจ้า ที่มาถึงพี่ - น้องในเช้าวันนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้พี่ - น้องและผมรู้จักกับพระเจ้ามากขึ้น หรือเดินไปกับพระเจ้าโดยที่เรามีความใกล้ชิดและหรืออยู่ในพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น

แต่ผมปรารถนาที่จะให้พระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้ เป็นเหตุทำให้พี่ - น้องและผม รวมทั้งพวกเราทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ ซึ่งสวย รูปหล่อ และหน้าตาดี ต่างที่จะปรนนิบัติและรับใช้พระเจ้า ด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่นด้วยเช่นกัน ( อาเมน ) ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

๑๑๑๑๑๑๑๑๑      ๑๑๑๑๑๑๑๑๑

Green City