จงเข้าสนิทอยู่ในเรา

คำเทศนาเรื่อง จงเข้าสนิทอยู่ในเรา

วันที่ 15 มีนาคม 2015

    

ในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระคำของพระเจ้าจากพระธรรม ยน.15:4 , ยน.15:7 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆกันอย่างช้าๆด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

พระคำของพระเจ้าใน ยน.15:4 “จง เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน กิ่งจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด ท่านทั้งหลายจะเกิดผลไม่ได้นอกจากท่านจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น”

พระคำของพระเจ้าใน ยน.15:7 “ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนา ท่านก็จะได้สิ่งนั้น” และผมจะให้ชื่อเรื่อง ของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่าคำเทศนาเรื่อง “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา” ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบความสัมพันธ์ที่ไม่สนิท

มี ผู้เชื่อใหม่หลายคนนะครับที่คิดว่า เมื่อเขานั้นได้เปิดใจของเขาออกและต้องรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระ ผู้ช่วยให้รอดในชีวิตแล้ว

หลาย คนเข้าใจว่าเขานั้นได้มีความสัมพันธ์สนิทกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเรียบร้อย แล้ว พี่น้องคิดว่านี่เป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องไหมครับ ?

ถ้าเราคิดว่า เรานั้นมีความสัมพันธ์ที่สนิทกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง ผมคิดว่าองค์พระเยซูคริสต์คงไม่ตรัสคำว่า

1.จงเข้าสนิทอยู่ในเรา 2.ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา

พี่น้องเห็นด้วยไหมครับ ? แล้วพี่น้องเคยคิดไหมครับว่า แล้วการที่เรานั้นไม่สนิทกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นเพราะอะไรครับ ?

พระคำของพระเจ้าใน ปฐก.2:7 “พระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตเข้าทางจมูกของเขา และมนุษย์จึงเกิดเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตอยู่”

จาก พระคำของพระเจ้าในข้อนี้จึงทำให้เราทราบว่า “จิตวิญญาณนั้นไม่ต้องการกาย แต่กายนั้นต่างหากที่ต้องการจิตวิญญาณ” ด้วยเหตุนี้เองกายนั้นจึงเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้

พระ คำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เมื่อพระเจ้าทรงระบายจิตวิญญาณของพระองค์ลงไปในมนุษย์ จิตวิญญาณของพระเจ้ากับจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นจึงเป็น 1) หนึ่งเดียวกัน 2) เข้าสนิทอยู่ด้วยกัน 3) ฝังอยู่ภายในร่วมกัน

แต่การเป็นหนึ่งเดียวกัน การเข้าสนิทอยู่ด้วยกัน และการฝังอยู่ภายในร่วมกันในฝ่ายจิตวิญญาณระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ในสมัยของ

อดัมกับเอวานั้นมันเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น

เพราะพระคำของพระเจ้าใน ปฐก.3:6-7 ก็ทำให้เราทราบว่า มนุษย์นั้นไม่ได้สนใจที่จะฟังคำเตือนสติของพระเจ้า

พระเจ้าทรงเตือนมนุษย์เอาไว้ใน ปฐก.2:17 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “แต่ต้นไม้แห่งความรู้ดีและรู้ชั่วเจ้าอย่ากินผลจากต้นนั้นเป็นอันขาด เพราะว่าเจ้ากินในวันใด เจ้าจะตายแน่ในวันนั้น"

และพระคำของพระเจ้าใน ปฐก.3:6-7 ตรัสว่า “เมื่อ หญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นเหมาะสำหรับเป็นอาหารและมันงามน่าดู และต้นไม้ต้นนั้นเป็นที่น่าปรารถนาเพื่อให้เกิดปัญญา หญิงจึงเก็บผลไม้นั้นแล้วกินเข้าไป แล้วส่งให้สามีของนางด้วย และเขาได้กิน ตาของเขาทั้งสองก็สว่างขึ้น เขาจึงรู้ว่าเขาเปลือยกายอยู่ และเขาทั้งสองก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดอวัยวะส่วนล่างของเขา ไว้”

จาก พระคำของพระเจ้าทั้ง 2 ข้อนี้ทำให้เราทราบว่า มนุษย์นั้นไม่สนใจฟังการเตือนจากพระเจ้า และด้วยเหตุนี้เองทำจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นไม่ได้ 1) เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าอีกต่อไป 2) เข้าสนิทอยู่ด้วยกันกับพระเจ้าอีกต่อไป 3) ฝังอยู่ภายในร่วมกันกับพระเจ้าอีกต่อไป

ด้วยเหตุนี้นี่เองพี่น้องที่รักครับ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงตรัสกับเราอย่างชัดเจนว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา”

คำถามก็คือว่า แล้วเราจะเข้าสนิทกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทางไหน ?

พระคำของพระเจ้าใน ยน.1:1 “ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า”

ดังนั้นเราจะต้องเข้าสนิทกับพระเจ้าผ่านทางไหนครับพี่น้อง ? ผ่านทางพระคำของพระองค์

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนใน ยน.15:7 ว่า ให้เรานั้น “ฝัง” พระคำของพระเจ้าเอาไว้ในชีวิตของเรา

คำถามต่อมาก็คือว่า แล้วเราจะ“ฝัง”พระคำของพระเจ้าเอาไว้ที่ไหน ?

ถ้าเราฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ที่สมอง มันก็จะเป็นเพียงแค่ Knowledge (ความรู้) เหมือนกับพวกฟาริสี ธรรมจารย์ ที่พวกเขานั้นต่างรู้ถึงขนบธรรมเนียม ต่างรู้ถึงกฎเกณฑ์และกฎหมายของพระเจ้าเป็นอย่างดี อีกทั้งพวกเขาสามารถที่จะท่องธรรมบัญญัติของพระเจ้าได้ไม่รู้กี่ข้อต่อกี่ ข้อ

คำถามก็คือว่า แล้วคนยิวเขาเชื่อไหมครับว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ? ที่เขาไม่เชื่อเพราะ Knowledge หรือความรู้นั้นมันเป็นการงานของเนื้อหนัง พวกเขาจึงมาถึงพระเจ้าที่เที่ยงแท้ไม่ได้

และ นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องของคนยิวเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของพวกเราด้วยเช่นกัน ผู้เชื่อหลายคนรู้เรื่องของพระเจ้ามาก พอพูดถึงเรื่องการทรงสร้างของพระเจ้าหลายคนเข้าใจ พอพูดถึงเรื่องธรรมบัญญัติของพระเจ้าผู้เชื่อหลายคนตอบได้ พอถามเรื่องบทบาทหน้าที่ของพระเจ้าแห่งตรีเอกานุภาพ ผู้เชื่อหลายคนตอบไม่ผิด

ถาม เรื่องหมายสำคัญและการอัศจรรย์ของพระเจ้าตอบได้ไม่เพี้ยน ถามเรื่องการช่วยเหลือของพระเจ้าพี่น้องหลายคนสามารถที่จะเล่าให้ฟังได้เป็น ฉากๆ แต่พอปัญหามาถึงตัวเอง ผู้เชื่อหลายคนกับทำตัวเหมือนกับไม่รู้จักกับพระเจ้า

เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้ ? เพราะเขาฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ที่ Knowledge หรือ สมอง ซึ่งมันเป็นการงานของเนื้อหนังพวกเขาจึงมาถึงพระเจ้าไม่ได้

แต่ถ้าเราฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ที่ใจ มันก็จะเป็นเพียงแค่ Emotion (อารมณ์ ความรู้สึก) พี่น้องจำเหตุการณ์ใน ยน.11:1-46 ได้ไหมครับ ?

เป็นเหตุการณ์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นทรงเรียกให้ลาซารัสนั้นได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ให้ที่ประชุมเปิด ยน.11:1-46 และอ่านพร้อมๆกันด้วยเสียงที่ดังเชิญครับ

21 “มารธา เขามีความเชื่ออย่างมั่นใจว่า ในวันคืนที่น้องชายของเขาป่วยจนกำลังจะเฉียดเป็นเฉียดตายอยู่นั้น หากในเวลานั้นองค์พระเยซูคริสต์ทรงอยู่ที่นั่นด้วย น้องชายของเขานั้นจะมาตายอย่างแน่นอน”

23 พระเยซูตรัสกับนางว่า “น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก”

24 มารธาทูลพระองค์ว่า "ข้าพระองค์ทราบแล้วว่า เขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา"

39 พระเยซูตรัสว่า "จงเอาศิลาออกเสีย" มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า ป่านนี้ศพมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าเขาตายมาสี่วันแล้ว"

บทสนทนาระหว่างมารธากับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในตอนนี้ทำให้เราทราบว่า มารธานั้นมีความเชื่อในพระเจ้าแบบ Emotion (อารมณ์ ความรู้สึก)

40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะได้เห็นสง่าราศีของพระเจ้า"

มาร ธาเจ้าเลิกเชื่อเราแบบ 1)ใช้อารมณ์ ความรู้สึกได้แล้ว 2)เราจะต้องอยู่กับเจ้าแบบตัวเป็นๆเท่านั้นแล้วการอัศจรรย์ถึงจะเกิดขึ้น แต่เจ้าจะต้องเชื่อเราแบบการที่เจ้านั้นแม้จะไม่ได้เห็นเราแต่การอัศจรรย์ก็ สามารถที่จะเกิดขึ้นได้

ผมรับใช้พระเจ้ามาปีนี้เป็นปีที่ 13 ผมพบว่าพันธกิจของพระเจ้าในหลายๆพันธกิจนั้น เริ่มจาก Emotion มีพี่น้องคริสเตียนที่ จ.บุรีรัมย์ ในหลายอำเภอเขาอยากถวายที่ดินให้กับพระเจ้าเพื่อสร้างคริสตจักร ซึ่ง Location หรือตำแหน่งของสถานที่นั้นก็ดีมากๆด้วย เช่น อยู่ตรงข้ามหน้าสถานีรถไฟ

กอปรกับมีพี่น้องคริสเตียนในต่างประเทศหลายคนที่เขานั้นรักพระเจ้ามาก Ex. พี่น้องคริสเตียนประเทศเกาหลี เป็นต้น พวกเขาก็อยากถวายทรัพย์เพื่อสร้างคริสตจักร ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีนะครับไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่คริสตจักรกับ 1)ไม่มีคน 2)ไม่มีผู้นำ 3)เป็นคริสตจักรที่ร้าง

คำถามคือว่าเพราะอะไร ? เพราะการก่อร่างสร้างคริสตจักรในลักษณะ Emotion นั้นเป็นการงานของเนื้อหนัง คริสตจักรจึงไม่สามารถที่จะเป็นเกลือหรือว่าเป็นแสงสว่างขององค์พระเยซู คริสต์เจ้าได้ และทุกวันนี้ก็ยังมีคริสตจักรในลักษณะอย่างนี้อยู่อีกมาก ที่ไม่มีคน ไม่มีผู้นำ เป็นคริสตจักรที่ร้าง ขอพระเจ้าเมตตา

ผม อยากให้พี่น้องได้ดูคลิปๆหนึ่ง เพื่อพี่น้องจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และได้เข้าใจว่าการเชื่อพระเจ้าแบบใช้อารมณ์ ความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร

กลับมาที่พระคำของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง แล้วเราจะให้พระคำของพระเจ้า “ฝัง” เอาไว้ที่ตรงไหน ? ในเมื่อฝังเอาไว้ในสมองก็ไม่ได้ ฝังเอาไว้ในจิตใจก็ไม่ได้ คำตอบอยู่ใน

ยน.4:24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ” ดังนั้นเราจะต้องฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ใน Spirit หรือฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ในจิตวิญญาณของเรา

พี่ น้องที่รักครับ คนที่ให้พระคำของพระเจ้าได้ฝังเอาไว้ในจิตวิญญาณของเขาอย่างแท้จริง ไม่ว่าเขาจะต้องเจอกับอุปสรรคปัญหา ไม่ว่าเขาจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายใดๆก็ตาม สายตาของเขาจะเพ่งมองไปที่พระเจ้าหรือที่พระคำของพระองค์

และบุคคลผู้หนึ่งที่ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่า เขานั้นได้ฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ในจิตวิญญาณของเขานั่นก็คือ ฮาบากุก

ฮาบากุกได้พูดเอาไว้ใน ฮบก.3:17-18 ซึ่งสถานการณ์ในเวลานั้นดูเหมือนว่าความชั่วและความอยุติธรรมจะครอบงำโลก พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ฮบก.3:17-18 “แม้ต้นมะเดื่อจะไม่มีดอกบาน หรือจะไม่มีผลในเถาองุ่น การตรากตรำกับต้นมะกอกเทศก็สูญเปล่า ทุ่งนาจะมิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์จะขาดไปจากคอก และจะไม่มีฝูงวัวที่ในโรงนาถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเยโฮวาห์ ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า”

ซึ่ง นั่นหมายความ สถานการณ์และความรู้สึกนั้นไม่ได้เป็นตัวนำในการที่เราจะชื่นชมยินดีในพระ เจ้า แต่การที่เรานั้นยึดพระเจ้าโดยการที่เราฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ในจิต วิญญาณของเรานั้นแหละที่จะเป็นตัวนำเราในการที่จะชื่นชมยินดีในพระเจ้า

ดัง นั้นไม่ว่าจะมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตามมันก็จะทำให้เรานั้นสามารถที่จะ ชื่นชมยินดีในพระเจ้าได้ในทุกเวลา ขอพระเจ้าเมตตาที่เราจะฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเรา อย่างนี้

สาเหตุ หนึ่งที่ผู้เชื่อในประเทศไทยต่างล้มลุกคลุกคลานหรือต่างได้รับการอวยพรจาก พระเจ้าอย่างไม่เต็มที่หรืออย่างไม่เต็มขนาดนั้นบางคนบอกกับผมว่า ส่วนมากแล้วไม่อ่านพระคัมภีร์ คนไทยปีหนึ่งอ่านหนังสือเฉลี่ยปีละ 8 บรรทัด

พอ มาเป็นคริสเตียนก็เอานิสัยเก่ามาใช้ด้วย อันนี้ก็น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ผู้เชื่อในประเทศไทยต่างล้มลุกคลุกคลานหรือ ต่างได้รับการอวยพรจากพระเจ้าอย่างไม่เต็มที่ อย่างไม่เต็มขนาด

แต่ ในทัศนะของผมนั้น ผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งที่ผู้เชื่อในประเทศไทยต่างล้มลุกคลุกคลานหรือต่างได้ รับการอวยพรจากพระเจ้าอย่างไม่เต็มที่หรืออย่างไม่เต็มขนาด ก็เพราะโดยส่วนมากพี่น้องของเรานั้นไม่ได้ฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ภายในจิต วิญญาณของเราอย่างแท้จริง

หลาย คนบอกกับผมว่า อาจารย์ครับ ผมมีการนมัสการอธิษฐาน ผมมีการเข้าเฝ้าพระเจ้าทุกวันในตอนเช้า ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ และก็เป็นสิ่งที่พี่น้องควรที่จะทำต่อไป

แต่พี่น้องเชื่อผมไหมละครับว่า ? ผู้เชื่อหลายคนก็มีการเข้าเฝ้าพระเจ้าในลักษณะแบบ Fast Food พี่น้องเข้าใจคำว่าอาหารแบบ Fast Food ไหมครับ ?

คือ เป็นอาหารที่เร่งรีบทำ เร่งรีบกิน คุณค่าทางโภชนาการจึงมีน้อยมาก ด้วยเหตุบางคนจึงเปรียบเทียบอาหาร Fast Food ว่าเป็น Junk Food ซึ่งแปลว่าอาหารขยะนั่นเอง

เมื่อ เรากินอาหารแบบมีคุณค่าทางโภชนาการที่ต่ำอย่างนี้เข้าไป ในทุกๆวัน พี่น้องจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมเราถึง 1)ทูลขอสิ่งใดจึงได้สิ่งนั้นบ้างไม่ได้บ้าง 2) เกิดผลบ้างไม่เกิดผลบ้าง

แต่ถ้าเราฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ในจิตวิญญาณของเราอย่างแท้จริงและถ้าจิตวิญญาณของพระเจ้ากับจิตวิญญาณของพี่น้องนั้นTune Up ตรงกัน องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสเอาไว้เพื่อที่เราทั้งหลายจะได้พระพรจาก พระองค์มากขึ้นนั่นก็คือท่านจะ 1)เป็นผู้ที่เกิดผลมาก 2) ทูลขอสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น

ขอพระเจ้าเมตตาที่เราจะทำให้จิตวิญญาณของเรากับวิญญาณจิตของพระเจ้านั้น 1)เป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง 2)เข้าสนิทอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง 3) ฝังอยู่ภายในร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง

กษัตริย์ดาวิดซึ่งท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีประสบการณ์กับพระเจ้าเป็นอย่างมาก ท่านเขียนเอาไว้ใน สดด.19:7-8 “พระ ราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์รอบคอบและฟื้นฟูจิตวิญญาณ พระโอวาทของพระเยโฮวาห์นั้นแน่นอนกระทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา กฎเกณฑ์ของพระเยโฮวาห์นั้นถูกต้องกระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์ พระบัญญัติของพระเยโฮวาห์นั้นบริสุทธิ์กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง”

พระคำของพระเจ้าใน สดด.19:7-8 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ถ้าเราฝังพระคำของพระเจ้าเอาไว้ในจิตวิญญาณของเรา

1)พระเจ้าทำให้คนที่รู้น้อยนั้นมีปัญญา

2)พระเจ้าจะทำให้จิตใจของเรานั้นจะเปรมปรีดิ์

3)พระเจ้าจะทำให้จิตวิญญาณของเรานั้นจะได้รับการฟื้นฟูในทุกๆวัน

4)พระเจ้าจะทำให้ดวงตาของเรานั้นจะได้รับความกระจ่างแจ้งในทุกๆวัน

     และนี่คือความกระจ่างที่พระเจ้าปรารถนาที่จะให้กับเราทั้งหลายในเช้าวันนี้ ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน

Green City