ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

คำเทศนาเรื่อง ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

        มธ.11:28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข

        ในหนังสือ ปฐก. บทที่ 1 พี่น้องยังจำได้ไหมครับว่า ตอนที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมาภายใน 6 วัน พี่น้องคิดว่าพระเจ้าทรงเหนื่อยไหมครับ ? ในฝ่ายกายภาพนั้นพระเจ้าอาจจะเหนื่อยไม่มาก เพราะพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยพระวาทะ

        เพราะฉะนั้นถ้าพระเจ้าทรงเหนื่อย คำถามคือว่า อวัยวะส่วนไหนที่พี่น้องคิดว่าพระเจ้าทรงเหนื่อยมากที่สุด ? ไม่ใช่ปากแต่ คือสมอง ที่ต้องคอยคิด เพราะต้องคอยออกแบบนั่นนี่นู่นอยู่ตลอดเวลาว่า อะไรควรต้องอยู่ตรงไหน อยู่อย่างไรจึงเหมาะสมและสวยงาม ?

        เมื่อพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างสิ่งต่างๆเหล่านั้นขึ้นมาภายใน 6 วันแล้ว พระองค์ทรงตรัสว่า ดีนัก นั่นแปลว่า เหนื่อยแต่มีความสุข

        ในขณะเดียวกันในวันที่ 6 นั้นพระเจ้าไม่ได้ทรงเนรมิตสร้างเพียงอย่างเดียวนะครับ แต่ในวันที่ 6 พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากผงคลีดินด้วย

        ซึ่งนั่นหมายความว่า ในวันที่ 6 พระเจ้าไม่ได้ทรงเหนื่อยในการใช้ความคิดเพียงอย่างเดียวแล้วในตอนนี้ แต่ทรงเหนื่อยกายในการปั้นแต่งมนุษย์ขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็มีความสุขด้วยไหมครับ ? ทรงพอพระทัย

        เมื่อพระเจ้าทรงสร้างอาดำ-เอวาขึ้นมา พระเจ้าไม่ได้สร้างเขาขึ้นมาเฉยๆ และในโลกใบนี้ก็ไม่มีอะไรที่ถูกขึ้นมาโดยไม่มีวัตถุประสงค์ พระเจ้าทรงสร้างอาดำ-เอวาขึ้นมาเพื่อต้องการมีสามัคคีธรรมกับเขา อีกทั้งพระเจ้าได้ทรงมอบหมายงานให้อาดำ-เอวา ได้ทำด้วย งานของอาดำ-เอวา คือ ดูแลสวนของพระเจ้าที่ชื่อว่าเอเดน เป็นงานที่อยู่กับธรรมชาติ อยู่พืชผลร่านาของพระเจ้า ชื่อก็บอกแล้วนะครับว่า พระเจ้าได้มอบหมายงานให้เขาทำ

        เพราะฉะนั้นเมื่ออาดำกับเอวาทำงานมันก็ต้องมีเหนื่อยบ้างแต่ไม่ถึงขนาดเหงื่อโทรมกาย แต่ถึงแม้ว่าทั้งอาดำกับเอวาจะเหนื่อย ก็เป็นการเหนื่อยแบบมีความสุข ทั้งพระเจ้าและทั้งอาดำในตอนนี้ คือ เหนื่อยแต่มีความสุข

        ถ้าพี่น้องอ่านใน ปฐก. 2 และถ้าพี่น้องยังจำกันได้ พี่น้องก็จะพบว่าพระเจ้าไม่เพียงแค่เหนื่อยคิด ไม่เพียงแค่เหนื่อยกายเท่านั้น แต่ตอนนี้พระเจ้าเริ่มที่จะเหนื่อยใจด้วย กับการที่อาดำ-เอวานั้นไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยแท้จริงแล้ว การไม่เชื่อฟังพระเจ้านั้นเป็นขั้นตอนท้ายสุด

        ขั้นตอนแรก คือ ความโลภที่อยากจะกินผลของต้นไม้นั้นเพื่อที่เขาจะได้เป็นเหมือนพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เขาไม่เชื่อฟังพระเจ้าแต่กับไปเชื่อฟังมาร ซาตาน วิญญาณชั่วแทนพระเจ้า

        ความโลภที่อยาก 1.กินผลไม้นั้น  2.จะเป็นเหมือนพระเจ้านั่น คือ ความบาป การไม่เชื่อฟังพระเจ้านั้นคือ ความบาป และการที่อาดำ-เอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้าทำให้ทั้ง 2 คนถูกขับให้ออกไปจากสวนเอเดน

        คำถาม คือ มาถึงตรงนี้เราพบอะไร ? เราพบการเหน็ดเหนื่อยในสวนเอเดนโดยที่เขาทั้ง 2 คนนั้นยังไม่มีบาปนั้นเป็นการเหนื่อยแต่มีความสุข และเราพบการเหน็ดเหนื่อยนอกสวนเอเดนซึ่งเขามีบาปติดตัวไปด้วย ทำให้เขาทั้ง 2 คนนั้นไม่ได้มีความสุขอีกต่อไป ซึ่งสิ่งที่อาดำ-เอวาได้กระทำนั้นมันได้ส่งผลกระทบจากสวนเอเดนมาถึงปัจจุบันนี้ด้วย เพราะอาดำกับเอวานั้นเปรียบเสมือนกับพ่อแม่ของมวลมนุษย์ชาติของโลก

        ซึ่งนั่นหมายความว่า ความเหน็ดเหนื่อย การไม่มีความสุข นั้นมันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนไปแล้ว อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า  มนุษย์ทุกคนล้วนมีสายเลือดบาปของอาดำ – เอวา ติดตัวมาด้วย ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่เชื่อในพระเจ้าก็ตาม

        สิ่งที่พี่น้องจะต้องรู้และจะต้องเข้าใจนั้นก็คือว่า รากของคำว่า เหน็ดเหนื่อย  หรือ การไม่มีความสุข และทำให้เรานั้นจะต้องแบกภาระหนักนั้น มันไม่ใช่เป็น เวรกรรม เหมือนความเชื่อของคนในศาสนิกอื่นที่เข้าใจกันหรือพูดกันนะครับ

        ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน ขอให้เราได้รู้และได้เข้าใจว่ามันมีรากหรือมีต้นสายปลายเหตุมาจาก ความบาป อาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า ความเหน็ดเหนื่อย ไม่ใช่ ความบาป แต่ความบาปต่างหากที่ทำให้เรานั้นต้อง เหน็ดเหนื่อย

        เพราะฉะนั้น คำว่า เหน็ดเหนื่อย คำว่า ไม่มีความสุข ไม่ใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่พูดกัน แต่คนทั้งโลกต่างพูดทั้ง 2 คำนี้ด้วยไหมครับ ? เพราะฉะนั้น 2 คำนี้จึงเป็นคำสากล

        และสาเหตุที่ทำให้เราเหนื่อยไม่หยุด ทุกข์ไม่เลิกและไม่มีความสุขเป็นเพราะเรานั้นมีความโลภเหมือนกับบรรพชนของเรา เหมือนกับอาดำ-เอวา คือ เราอยากมีสิ่งนั้น อยากมีสิ่งนี้เหมือนคนอื่นเขา แล้วทำให้เราต้องเหน็ดเหนื่อยในการที่จะต้องทำงานหนักให้ซึ่งได้มา พระคำของพระเจ้าใน ปญจ.4:4-6 จึงได้กล่าวเตือนเราใน

        ปญจ.4:6-8 ความสงบสุขกำมือหนึ่งยังดีกว่าการงานตรากตรำสองกำมือและการกินลมกินแล้ง 7 แล้วข้าพเจ้าเห็นอนิจจังภายใต้ดวงอาทิตย์อีก

        8 คือ คนหนึ่งอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีบุตรหรือพี่น้อง แต่เขาทำการงานไม่หยุดหย่อน ตาของเขาไม่เคยอิ่มความมั่งคั่ง เขาไม่เคยคิดว่า "ข้าตรากตรำทำงานและตัวข้าอดๆอยากๆเพื่อผู้ใด" นี่ก็อนิจจังด้วยและเป็นเรื่องสามานย์

        ปญจ.4:6-8 บอกกับเราว่าให้เหนื่อยเพียงแค่พอกิน พอเก็บ พอใช้ อย่าได้เหน็ดเหนื่อย เพราะความโลภอยากได้นู่นอยากได้นี่ พระคัมภีร์พูดถึงการกินลม กินแล้ง เปรียบเสมือนคนที่ทำงานหนัก ชนิดตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน๊อต

                1.แต่ต้องล้มป่วยนอนเป็นผัก เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ ปญจ.เตือนเราว่าอย่าทำ

                2.สูญเสียการมองเห็นอย่างเพชรา เชาวราษฎร์ หนังสือปญจ. เตือนเราว่าอย่าทำ

                3.อ๋อม อรรคพันธ์ พระเอกช่อง 7 สี ที่มีอาการไม่ค่อยสบายไปหาหมอตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง หนังสือปญจ.เตือนเราว่าอย่าทำ

        พี่น้องทราบแล้วนะครับว่า มนุษย์ทุกคนต้องรับผลของการเหน็ดเหนื่อยมาจากอาดำ-เอวา เพราะฉะนั้นความเหน็ดเหนื่อยจึงเป็นเรื่องที่ปกติหรือเป็นเรื่องที่ธรรมดาของทุกชีวิต

        เมื่อพี่น้องและผมมาเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา เราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยและเป็นสุข”

        พระคำของพระเจ้าได้ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า จงมาหาเราหรือจงมาหาพระเจ้า คนที่มีความเชื่อในศาสนิกอื่นโยส่วนมากไปหาพระของเขาเพื่อ ขอพร ขอเลข ขอหวย ขอเบอร์ ขอโชค ขอลาภ ขอของดีและอื่นๆ

        คำว่า จงมาหาเรา ในที่นี้คือ 1 ) ให้เรามีพระเจ้าที่เที่ยงแท้เพียงพระองค์เดียว 2 ) ให้เรามีพระเจ้าเป็นเจ้านายในชีวิตของเรา 3 ) ให้เรารับเอาคำสอนของพระเจ้าที่เที่ยงแท้และเป็นจอมเจ้านายเอาไว้เพียงคำสอนเดียว

        ส่วนคำสอนอื่นๆนั้นคริสเตียนเรารับฟังได้ เราไม่ปิดกันและเราก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเราต้องเอามานำเข้ามาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนโดยเฉพาะในเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณด้วยแล้วเราต้องให้พระคำนำชีวิตเท่านั้นเพราะ

        ฮบ4:12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย

        ประการที่สำคัญคือ อย่าให้เรานั่งฟังอย่างเดียวหรือฟังแล้วเฉยๆ แต่ให้เรานำคำสอนนั้น ไม่ว่าพี่น้องจะได้รับฟังจากการเทศนาในวันอาทิตย์หรือพี่น้องจะได้จากการอ่านพระคัมภีร์โดยส่วนตัวก็ตาม

        ให้พี่น้องได้นำไปประยุกต์ใช้หรือนำไปปฏิบัติในชีวิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละจะทำให้พี่น้องนั้นได้รับพระพรหรือทำให้พี่น้องนั้นหายเหนื่อยและเป็นสุขได้

        Ex. การนำไปประยุกต์ใช้ เช่น สดด.1:1-3 ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย 2 แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้าเขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน 3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น

        ประยุกต์ใช้ คือ รอบตัวเราต้องเป็นคนชอบธรรม แม้คนนั้นจะไม่เป็นผู้เชื่อก็ตาม ไม่ใช่รอบตัวเราเต็มไปด้วยความอธรรมและคนอธรรม ถ้ารอบตัวเราเป็นอย่างหลังพี่น้องจะหายเหนื่อยและเป็นสุขไหมครับ ? มันจะมีแต่เรื่องเข้ามา

        ภาวนาหรือตึกตรองพระคำ คือ ใช้พระคำของพระเจ้าชำระความคิดของเรา ข้อนั้นข้อนี้ลูกยังทำไม่ได้ ขอพระเจ้าให้ลูกที่จะทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้

        เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ คือ คำสอนของพระเจ้าเป็นเสมือนน้ำในริมธารน้ำที่มีสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี สนับสนุนความคิดจิตใจของเราซึ่งเปรียบเหมือนต้นไม้ให้เติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า ทำให้เรามีความเชื่อในพระเจ้าดีขึ้น เชื่อมากขึ้น รักพระเจ้ามากขึ้น

        การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น หมายถึง ผู้เชื่อที่เชื่อฟังกระทำตามจะมีพระเจ้าคอยสนับสนุนหรือคอยอวยพรอยู่ตลอดเวลา

        เพราะฉะนั้นใครที่รับเอาคำสอนของพระเจ้านำไปประยุกต์ใช้หรือนำไปปฏิบัติล้วนแต่ได้รับพระพรทั้งสิ้น มากไปกว่านั้นคือยังส่งผลให้เรานั้นมีประสบการณ์กับพระเจ้าด้วย

        ตอนที่พี่น้องมีเรื่องทุกข์ใจ มีเรื่องที่หนักใจหรือมีเรื่องที่ไม่สบายใจพี่น้องทำอย่างไรครับ ? อยากหาใครสักคนที่เราอยากเล่าหรืออยากระบายอะไรให้เขาฟังบ้างไหมครับ ?

        คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ บางคนก็ไประบายความทุกข์ ความโศกเศร้า ความเสียใจกับเพื่อนบางคนที่มีความสนิทชิดใกล้ ถ้าเป็นพวกสายมูเตลูหน่อย ก็จะใช้ธรรมะเข้าช่วยบางคนอาจจะไปเข้าวัดเข้าวาหรือตัดขาดจากโลกภายนอกโดยไปนั่งทำสมาธิ

        แต่ถ้าเราดูคำว่า จงมาหาเรา ผ่านหนังสือบทเพลง พคค.3:28 ให้เขานั่งเงียบๆอยู่แต่ลำพังเพราะพระองค์ทรงวางแอกนั้นเอง

        ดังนั้นคำว่า จงมาหาเรา ในที่นี้ คือ การมีเวลาอย่างเฉพาะเจาะจงกับพระเจ้าหรือการที่เรานั้นได้ใช้เวลาส่วนตัวสามัคคีธรรมกับพระเจ้า

        ดังนั้นไม่ว่าพี่น้องจะมีความทุกข์ มีความโศกเศร้า มีความเสียใจในเรื่องอะไรก็ตาม พี่น้องสามารถที่จะระบายทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเรื่อง ทุกราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับพระเจ้าได้อย่างพรั่งพรู

        ภายหลังจากที่พี่น้องได้ใช้เวลากับพระเจ้าอย่างเต็มที่แล้วไม่เพียงแค่ภาระที่หนักจะหายไปเท่านั้น แต่พี่น้องจะได้รับสติปัญญาจากพระเจ้าในการที่พี่น้องนั้นจะมีทางออกในเรื่องนั้น เรื่องนี้อย่างอัศจรรย์ด้วย

        คำถามคือ สันติสุขเกิดขึ้นกับพี่น้องหรือยัง ? ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่า พระเจ้าจะไม่เอาความลัพธ์ของพี่น้องไปบอกกับมนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้น

        การทำเช่นนี้บางคนบอกว่า มันก็เหมือนกับการตัดขาดจากโลกภายนอกนั่นแหละ หรือมันก็เหมือนกับการนั่งสมาธินั่นแหละ แต่ผมตอบเลยว่าไม่ใช่ อย่าเอาพระเจ้าพระเยซูคริสต์ไปเปรียบเทียบกับพระอื่น และอย่าเอาวิธีการของพระอื่นมาเปรียบเทียบกับวิธีการของพระเยซูคริสต์

        ถ้าเราจะเปรียบคำว่า จงมาหาเรา เป็นเหมือนรถสามล้อ พระเจ้าควรมาก่อน ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าคือล้อหน้าไหนครับ ? ส่วน 2 ล้อหลังคือใครครับ ตัวเราและครอบครัว

        ล้อหน้า คือ พระเจ้า พระองค์นำเราด้วยอะไรครับ ? นำเราด้วยศีลธรรม จริยธรรม ความชอบธรรมของพระองค์ 2 ล้อหลังอย่างเราวิ่งสบายไหมครับ ? หายเหนื่อยเป็นสุข มากไปกว่านั้นคือพระเจ้าจะนำชีวิตของเราไปสู่ความสำเร็จที่งดงาม นี่คือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

Green City