ความเชื่อทรงพลังยิ่งกว่าที่เราคิด

คำเทศนาเรื่อง ความเชื่อทรงพลังยิ่งกว่าที่เราคิด

        ฮบ.11:1-3 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง 2 โดยความเชื่อนี้เองคนในสมัยก่อนก็ได้รับการรับรองจากพระเจ้า 3 โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น

        จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

        เราพบนิยามของความเชื่อ เราพบลักษณะของความเชื่อและ เราพบผลของความเชื่อ

        ในข้อที่ 1 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง นี่คือ นิยามของความเชื่อ

        ข้อที่ 3 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น

                พระเจ้าทรงสร้างโลกและจักรวาลนี้ขึ้นมา จากสิ่งที่ไม่มีให้มันมีขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นลักษณะของความเชื่อ คือ เชื่อในสิ่งที่แม้ว่าเราจะมองไม่เห็น แต่เราเข้าใจ แต่เรามั่น แต่เรารู้สึกมั่นใจได้ไหมครับว่า สิ่งนั้นมีจริง ?  ยิ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ด้วยยิ่งทำให้เรายิ่งมั่นใจ

        มีใครเคยเห็นตัวเป็นๆของความรักบ้างไหมครับ ? มีใครเคยเห็นตัวเป็นๆของความคิดถึงบ้างไหมครับ ? แต่เราเชื่อใช่ไหมครับว่าเจ้าความรักและความคิดถึงนั้นมีอยู่จริงไหมครับ ?

        มีใครเคยเห็นพระเจ้าไหมครับ แต่เราเห็นถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างไหมครับ ? ถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยมองเห็นพระเจ้าก็จริงอยู่  แต่เราพอที่จะเข้าใจ , เราพอที่จะรู้สึกและมั่นใจได้ไหมครับว่า พระเจ้านั้นมีจริง ?

        ยิ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้มีการบันทึกเอาไว้ด้วยยิ่งทำให้เรานั้นยิ่งมั่นใจว่าพระเจ้านั้นมีอยู่จริง เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เราเห็นแล้วเราเชื่อ สำหรับคริสเตียนแล้วนั่นไม่ได้เรียกว่า ความเชื่อ

        และด้วยความเชื่อของคนในสมัยโบราณกาลก่อน แบบนี้พระคำของพระเจ้าใน ฮบ.11:2 จึงบอกกับเราว่า พระเจ้าจึงรับรอง สวรรค์จึงรับรอง บุคคลในสมัยของพระคัมภีร์ทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่เขาจึงมีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้ามาก เพราะในสมัยโบราณกาลก่อนมันไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือใช้กันแบบในสมัยนี้จริงไหมครับพี่น้อง ?

        เพราะฉะนั้นบุคคลในสมัยพระคัมภีร์จึงมีโอกาสที่จะฝึกฝนการมีความเชื่อในทางของพระเจ้ามากหรือน้อย ไม่ใช่ฝึกเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่ต้องฝึกฝนจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งด้วย คนรุ่นใหม่ที่ได้รับการฝึกฝนจากคนรุ่นเก่าไม่เพียงแต่จะรักษาความเชื่อเดิมไว้เท่านั้น แต่พวกเขาต้องพัฒนาความเชื่อในทางของพระเจ้าให้มีมากขึ้นด้วย

        ซึ่งถ้าเราจะเปรียบความเชื่อให้เหมือนกับอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็เปรียบได้เหมือนเด็กเล็กๆ เด็กเล็กๆจะต้องมีการพัฒนาทางฝ่ายร่างกายจริงไหมครับ ? แต่เนื่องจากความเชื่อที่เรามีในทางของพระเจ้ามันเป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้นความเชื่อในฝ่ายวิญญาณที่เรามีในทางของพระเจ้าก็ต้องมีการพัฒนาด้วยเช่นเดียวกัน

        น่าเสียดายตรงที่ว่าเวลานี้คริสเตียนทั่วโลกอยู่ในยุคหรืออยู่ในสมัยที่เราเรียกว่าโลกาภิวัฒน์ คริสเตียนทั่วโลกก็เลยมุ่งเน้นไปกับกระแสของโลกกันเสียส่วนมากโอกาสที่จะฝึกฝนชีวิตแห่งความเชื่อในทางของพระเจ้าจึงมีน้อยมาก

ผู้เชื่อหลายคนจึงมีคริสต์เป็นเพียงแค่ศาสนา ความเชื่อที่เรามีจึงไม่ค่อยทรงพลังเท่าไหร่ แตกต่างจากกับบุคคลในสมัยของพระคัมภีร์เป็นอย่างมากที่พวกเขามีความเชื่อที่ทรงพลังมาก

          พี่น้องคงยังจำเรื่องราวที่พระเจ้าทรงใช้ให้อับราฮัมนำอิสอัคไปถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าได้ดีอยู่ใช่ไหมครับ ?

ปฐก.22:7-8 อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาว่า "คุณพ่อ" และท่านตอบว่า "ลูกเอ๋ย มีอะไรรึ" ลูกจึงว่า "นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน" 8 อับราฮัมตอบว่า "ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา" พ่อลูกทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน

          อิสอัค คือ ลูก คุยกับพ่อและถามพ่อว่า ไฟกับฟืนมีแล้วครับพ่อ แต่เครื่องบูชาล่ะอยู่ที่ไหน ? อิสอัคพูดโดยที่เขาไม่รู้ว่าตัวของเขาเองนั่นแหละ คือ เครื่องบูชาที่อับราฮัมจะต้องถวายแด่พระเจ้า

        แต่อับราฮัม ตอบกับลูกชายของเขาว่า พระเจ้าจะทรงจัดหาให้  ซึ่งโดยแท้จริงแล้วอับราฮัมตอบคำถามนี้ถูกต้องไหมครับ ? แต่นี่คือความเชื่อที่ทรงพลังของอับราฮัมว่า ถึงที่สุดพระเจ้าก็คงไม่ให้เขาทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน ดั่งพระคำของพระเจ้าที่ทรงตรัสไว้ใน มธ.7:9-11 ในพวกท่านมีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้บุตร เมื่อเขาขอขนมปัง 10 หรือให้งูเมื่อบุตรขอปลา 11 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะประทานของดีแก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์

        ท้ายที่สุดเรื่องนี้จบอย่างไรครับ ? ท้ายที่สุดพระเจ้าก็ทรงจัดเตรียมแพะหรือแกะเอาไว้ให้กับอับราฮัมจริงๆ และนี่คือที่มาของพระนามของพระเจ้า ซึ่งนามหนึ่งนั้นคือ “เยโฮวาห์ยีเรห์” แปลว่า พระเจ้าแห่งการจัดเตรียม

        แต่ก่อนที่พระเจ้าจะทรงจัดเตรียม เราจะต้องทำในส่วนของเราก่อน คือ เตรียมฟืน เตรียมไฟ เตรียมคน เตรียมอะไรอีกครับ ? อับราฮัมต้องเตรียมอารมณ์ เตรียมความรู้สึก เมื่อเราเริ่มพระเจ้าจะร่วม

        มก.5:34 พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า "ลูกหญิงเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด"

        เรื่องราวนี้เป็นเรื่องของหญิงโลหิตตกคนหนึ่ง ซึ่งเขาป่วยด้วยโรคนี้มานานถึง 12 ปีแล้ว อีกทั้งผู้หญิงคนนี้เขาได้ใช้เงินทั้งหมดที่มีไปกับการรักษาตัวแต่ก็ยังไม่หาย

        ณ.นาทีนี้ ณ.ชั่วโมงนี้ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงเป็นความหวังเดียวของหญิงโลหิตตกคนนี้ ที่เขาเชื่อว่างานนี้มีเพียงองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นจริงๆที่จะทำให้เขานั้นหายโรคได้

        คำถามคือว่า เรื่องของหญิงโลหิตตกนั้นสอนอะไรกับเรา หลักการแรก อะไรที่มนุษย์ทำได้เราต้องทำ เช่น หญิงโลหิตตกคนนี้ป่วย คนป่วยต้องไปหาหมอ ต้องไปเข้ารับการตรวจรักษาหรือกินยาตามที่หมอสั่งโดยใช้เงินที่นางมีไปกับการรักษา

        แต่เมื่อเงินของนางหมดและนางยังไม่หายหรือถ้าเงินของนางอาจจะยังมีอยู่แต่เกินความสามารถของหมอ ในกรณีนี้คือเงินของนางทั้งที่มีนั้นหมดเกลี้ยง นางจึงอยากให้พระเจ้าได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเจ็บไข้ได้ป่วยของนางในเวลานี้

        ผมบอกกับพี่น้องไปแล้วนะครับว่า ความเชื่อมันเป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ แต่ความเชื่อที่ทรงพลังคือการที่หญิงโลหิตตกคนนี้เชื่อว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยของเธอในเวลานี้ต้ององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยนางได้

        นี่คือความเชื่อที่ทรงพลังมากทำให้หญิงโลหิตตกคนนี้มีอาการที่ดีขึ้นหรือหายจากการป่วยเป็นโรคโลหิตตกนั้นในทันที ความเชื่อที่ทรงพลังใหญ่กว่าที่เราคิดมาก

        มก.4:35-41 เย็นวันนั้น พระองค์ได้ตรัสแก่เหล่าสาวกทั้งหลายว่า "ให้พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด" 36เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้น และมีเรืออื่นหลายลำไปด้วย 37 และพายุใหญ่ได้บังเกิดขึ้น และคลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนเรือจวนจะเต็มอยู่แล้ว 38 ฝ่ายพระองค์บรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ เหล่าสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า "อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะจมอยู่แล้ว ท่านไม่เป็นห่วงบ้างหรือ" 39 พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลม และตรัสแก่ทะเลว่า "จงสงบเงียบซิ" แล้วลมก็หยุด คลื่นก็สงบเงียบทั่วไป 40 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "ทำไมเจ้ากลัว เจ้าไม่มีความเชื่อหรือ" 41 ฝ่ายเขาก็เกรงกลัวนักหนา และพูดกันและกันว่า "ท่านนี้เป็นผู้ใดหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน"

        พระคำของพระเจ้าในตอนนี้บอกกับเราว่า มนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีอุบัติเหตุหรือพายุชีวิตที่มันพร้อมจะพัดพาเข้ามาในชีวิตของเราเสมอ

        นอกจากนี้แล้วพระคำของพระเจ้าในตอนนี้บอกอะไรกับเราอีกครับ ? พระคำของพระเจ้าในตอนนี้สะท้อนให้เราเห็นถึงความอ่อนแอของมนุษย์ว่าทุกคนมีความจำกัด

        พระคำของพระเจ้าในตอนนี้บอกอะไรกับเราอีกครับ ?  ก่อนที่พวกเขาจะเรียกร้องหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาได้ช่วยกันประคองเรือเอาไว้ ซึ่งนั่นหมายความว่า เราต้องทำในส่วนของเรา คือ เราต้องต่อสู้กับพายุนั้นด้วย

        แต่เมื่อมันเหนือหรือเกินกำลังของมนุษย์ ในข้อที่ 38 เหล่าสาวกจึงพูดกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าว่า "อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะจมอยู่แล้ว ท่านไม่เป็นห่วงบ้างหรือ” คำนี้มีความหมายว่า ณ.นาทีนี้ ณ.ชั่วโมงนี้หรืองานนี้ต้องพระเจ้าเท่านั้น  ซึ่งผมบอกกับพี่น้องไปแล้วนะครับว่า ความเชื่อมันเป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ

        แต่ความเชื่อที่ทรงพลัง คือ การที่พวกเขาบอกว่า ณ.นาทีนี้ ณ.ชั่วโมงนี้หรืองานนี้ ต้ององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเท่านั้นจริงๆที่จะช่วยพวกเราให้รอดได้ ส่งผลให้ชั้นลมและทะเลก็เงียบสงบลงได้

        สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับพี่น้องในเช้าวันนี้ นั่นก็คือว่า ไม่ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับลำนาวาแห่งชีวิตของพี่น้องก็ตาม สุดปลายมือของพี่น้อง และเมื่อพี่น้องเรียกร้องหาพระเจ้าด้วยความเชื่อที่ทรงพลังว่า ณ.นาทีนี้  ณ.เวลานี้  ณ.ชั่วโมงนี้  ต้องพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นจริงๆที่จะช่วยข้าพระองค์ได้

        พระหัตถ์ของพระเจ้าจะเหยียดออกและจะทรงหยุดและดับพายุที่มันจะพัดเข้ามาในลำนาวาชีวิตของพี่น้องในทันที อาเมน ความเชื่อที่ทรงพลังนั้นใหญ่กว่าที่เราคิดมาก

        ยน.21:5-6 พระเยซูตรัสถามเขาว่า "ลูกเอ๋ย มีปลาบ้างหรือเปล่า" เขาตอบว่า "ไม่มี" 6 พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิดแล้วจะได้ปลาบ้าง" เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็นอันมาก จนลากอวนขึ้นไม่ได้

        ผมเชื่อว่าพวกเราต่างคุ้นเคยพระคำของพระเจ้าในตอนนี้กันเป็นอย่างดี พระคำของพระเจ้าตอนนี้เป็นเหตุการณ์ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว แต่พวกเขาหมด Passion ในการติดตามพระเจ้า

เปโตรซึ่งเป็นเสมือนพี่ใหญ่ของบรรดาเหล่าสาวกบอกว่า เขาจะไปจับปลา คนที่เหลือก็บอกว่าพวกเขาก็จะไปด้วย พวกเขาจึงออกไปลงเรือแต่คืนนั้นทั้งคืนหาปลาไม่ได้สักตัว

          พี่น้องที่รักครับ สาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าโดยส่วนมากนั้นมีอาชีพเป็นชาวประมง มากไปกว่านั้นคือสาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นมีประสบการณ์ในเรื่องการหาปลาตั้งแต่เด็ก พวกเขาเอาเหยื่อหย่อนลงไปในน้ำทะเล และเมื่อเขาเห็นน้ำทะเลมันเกิดการกระเพื่อมๆพวกเขารู้เลยว่าปลาอยู่ตรงนั้นจริงหรือไม่จริง

          พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า พอรุ่งเช้าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตะโกนถามพวกเขาว่า เพื่อนเอ๋ยปลาไม่มีเลยหรือ พวกเขาทูลว่า ไม่มีเลย

          พระองค์ตรัสว่า ทอดอวนลงที่ด้านขวาเถิด พวกท่านจะได้ปลาบ้าง พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เมื่อพวกเขาทอดอวนลงก็ได้ปลามากมายจนลากอวนไม่ขึ้น

        คำถามคือว่า สถานที่จับปลาที่เดิมหรือเปล่า ? แตกต่างกันตรงที่หย่อนอวนคนละข้างกันแต่พวกเขากับได้ปลาเต็มอวน

        คำถามคือว่า พระเจ้ากำลังให้เราเรียนรู้อะไร ? 1 ) วิถีหรือวิธีของพระเจ้านั้นแตกต่างจากวิถีหรือวิธีของมนุษย์ 2 ) สุดกำลังมนุษย์ มีกำลังของพระเจ้า แต่เงื่อนไขในการเข้าสู่กำลังใหม่ของพระเจ้าคือ เราต้องทำให้สุดกำลังก่อน

        เมื่อพระเยซูถามพวกเขาว่าเพื่อนได้ปลาบ้างหรือเปล่า พวกเขาตอบว่าไม่ได้เลย พระเยซูบอกกับเขาว่า  "จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิดแล้วจะได้ปลาบ้าง"

        การทำตามที่พระเจ้าบอกอย่างไม่มีคำถามกับพระเจ้า  อย่างไม่มีแม้  ไม่มีแต่  ไม่มีเงื่อนไข  นอกจากจะเป็นการให้เกียรติกับพระเจ้าแล้วยังนับว่าเป็นความเชื่อที่ทรงพลังอย่างหนึ่งด้วย

        เมื่อพระเยซูถามพวกเขาว่าเพื่อนได้ปลาบ้างหรือเปล่า พวกเขาตอบว่าไม่ได้เลย พระเยซูบอกกับเขาว่า  "จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิดแล้วจะได้ปลาบ้าง" แล้วเขาทำตามอย่างไม่มีแม้ ไม่มีแต่ ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำถามกับพระเจ้า จากที่ทั้งคืนหาปลาไม่ได้สักตัวแต่ตอนนี้ปลาเต็มอวน  ความเชื่อที่ทรงพลังนั้นใหญ่กว่าที่เราคิดมาก

        สิ่งที่พระคำของพระเจ้าอยากหนุนใจและให้ข้อแนะแนวคิดกับพี่น้องพี่น้องในเช้าวันนี้นั่นก็คือว่า คริสต์ไม่ใช่ศาสนา แต่คริสต์ คือ ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเรากับพระเจ้า

        การที่เรามีความเชื่อในพระเจ้า พระเยซูคริสต์นั้นดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ การรักษาความเชื่อและเพิ่มระดับความเชื่อในทางของพระเจ้าให้มากขึ้น เพราะความเชื่อมีพลังมากกว่าที่เราคิด และพลังแห่งความเชื่อนำมาซึ่งทุกสิ่ง อย่าให้สังคมของโลก โลกาภิวัตน์ ได้นำพาเราออกห่างจากการฝึกฝนชีวิตแห่งความเชื่อในทางของพระเจ้า

 

Green City