คำถามและคำสั่ง

คำเทศนาเรื่อง คำถามและคำสั่ง

  • ยน.21:15-19 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเรามากกว่าเหล่านี้หรือ" เขาทูลพระองค์ว่า "เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า "จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด" 16 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ" เขาทูลตอบพระองค์ว่า "เป็นความจริงพระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์" พระองค์ตรัสกับเขาว่า "จงดูแลแกะของเราเถิด" 17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ" เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า "เจ้ารักเราหรือ" เขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงเลี้ยงแกะของเราเถิด
  •  18 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า เมื่อเจ้ายังหนุ่มเจ้าคาดเอวของเจ้าเอง และเดินไปไหนๆตามที่เจ้าปรารถนา แต่เมื่อเจ้าแก่แล้ว เจ้าจะเหยียดมือของเจ้าออก และคนอื่นจะคาดเอวเจ้า และพาเจ้าไปที่ที่เจ้าไม่ปรารถนาจะไป"  19 (ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้น เพื่อแสดงว่าเปโตรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายอย่างไร) ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงสั่งเปโตรว่า "จงตามเรามาเถิด"

    พระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันในตอนนี้เป็นเหตุการณ์ที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตาย และพระองค์ทรงใช้ชีวิตระหว่างการฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตายโดยได้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปเป็นระยะเวลาอีก 6 เดือน รวมแล้วองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีชีวิตและมีลมหายใจอยู่ในโลกใบนี้ทั้งสิ้นนานเท่าไหร่ครับ ? เป็นระยะเวลา 33 ปี 6 เดือน โดยที่ใน 40 วันสุดท้ายก่อนที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จขึ้นไปอยู่กับพระบิดาบนสวรรค์นั้น

    องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงมีความตั้งใจในการที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับบรรดาสาวกของพระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และเหตุการณ์ใน ยน.21:15-19 ที่เราได้อ่านร่วมกันนั้นมันก็เป็นเหตุการณ์ที่มันใกล้ที่จะถึงเวลานั้นแล้ว

        ดังนั้นการสนทนาหรือการพูดคุยระหว่างองค์พระเยซูคริสต์เจ้ากับเปโตรในช่วงนี้นั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญไหมครับ ? เพราะ1.เป็นคำสั่งเสียของคนใกล้ตาย 2.เป็นการมอบฉันทะภาระของคนใกล้ตายให้กับคนเป็นที่ยังมีชีวิตอยู่

ดังนั้นการสนทนาหรือการพูดคุยระหว่างองค์พระเยซูคริสต์เจ้ากับเปโตรในช่วงนี้นั้นจึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะเป็นคำสั่งเสียครั้งสุดท้าย

        ซึ่งการสนทนาหรือการพูดคุยระหว่างองค์พระเยซูคริสต์เจ้ากับเปโตรในตอนนี้มี 3 เรื่องเท่านั้น เรื่องแรกคือ คำถาม เรื่องที่ 2 คือ การมอบหมายฉันทะภาระหรือการมอบหมายงาน และเรื่องที่ 3 คือ การพยากรณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเปโตรในอนาคต แต่คำเทศนาในเช้าวันนี้จะมุ่งเน้นไปที่ เรื่องที่ 1 กับ 2 เป็นหลักนะครับ

    คำถามแรก ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงถามเปโตร คือ ?  เปโตรเจ้ารักเรามากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือ ?

    คำถามคือว่า คำว่า “สิ่งเหล่านี้หรือ” คืออะไร ?

    เปโตร เจ้ารัก 1.อาชีพประมงมากกว่าเราหรือ 2. ปลาที่อยู่ในทะเลมากกว่าเราหรือ 3.เรือหาปลามากกว่าเราหรือ 4. เพื่อนฝูง เหล่านี้มากกว่าเราหรือ

และโดยคำถามเดี๋ยวกันนี้ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก็อยากถามพี่น้องที่นี่ด้วยเช่นเดียวกันว่า เจ้ารักสิ่งเหล่านี้มากกว่าเราหรือ ?

    คำว่า “สิ่งเหล่านี้หรือ” ? ในยุคของเรา ในรุ่นของเรานั่นคือ อาชีพ ตำแหน่ง หน้าที่ การงาน เกียรติ ลาภยศ คำสรรเสริญ โทรศัพท์ ครอบครัวและฯลฯ ท่านรักสิ่งเหล่านั้นมากกว่าเราหรือ ?เป็นคำถามที่พี่น้องไม่ต้องตอบผม แต่ให้พี่น้องตอบภายในจิตใจของพี่น้องเอง

    กลับมาที่พระคำของพระเจ้า เปโตรทูลพระองค์ว่า “เป็นความจริงพระเจ้าข้า ที่ข้าพระองค์รักพระองค์” เมื่อเปโตรตอบองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว มันก็น่าจะจบ แต่มันไม่จบ

    เพราะ 1.องค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่เชื่อในคำพูดของเปโตร เพราะโดยนิสัยของเปโตรแล้ว ซีโมนเปโตรเป็นคนพูดไม่ค่อยคิด เปโตรเป็นคนที่โพล่งคำวาจานั้นออกมาอย่างง่ายๆ

    ด้วยเหตุนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าถึงต้องถาม ในคำถามเดี๋ยวกันนี้กับเปโตรซ้ำอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 2 ว่า เปโตรท่านรักเราหรือ ? เปโตรทูลพระองค์ว่า “เป็นความจริงพระเจ้าข้า ที่ข้าพระองค์รักพระองค์”

    คำตอบของเปโตรในครั้งที่ 2 นี้ ดูเหมือน 1. เปโตรจะตอบอย่างไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำสักเท่าไหร่นัก 2. ดูเหมือนปากกับใจไม่ตรงกัน

  • รม.16:27 โดยพระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงสัพพัญญูแต่องค์เดียวสืบๆไปเป็นนิตย์ อาเมน

    พี่น้องเคยได้ยินคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า พูดอย่างนี้ไหมครับว่าพระของเขานั้นมีหูทิพย์มีตาทิพย์ แต่คำว่า องค์สัพพัญญูญาณ คำนี้มันมีความหมายว่า ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หลับ ไม่นอน ทรงดำรงอยู่ได้ด้วยพระองค์เอง ผู้ทรงทอดพระเนตรมนุษย์ทั้งในที่มืดและในที่แจ้ง ทรงหยั่งรู้ความคิดและจิตใจของมนุษย์

    เพราะฉะนั้น องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าพระบาอัลหรือยิ่งใหญ่กว่าพระของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าไหมครับ ?

    ส่วนคำว่า “แต่องค์เดียว” แปลว่า ทรงเอกะ คือ มีหนึ่งเดี่ยวเท่านั้นที่จะทำในเรื่องนี้ได้ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หลับ ไม่นอน ทรงดำรงอยู่ได้ด้วยพระองค์เอง ทรงทอดพระเนตรมนุษย์ทั้งในที่มืดและในที่แจ้ง ทรงหยั่งรู้ความคิดและจิตใจของมนุษย์

    เพราะฉะนั้นคำตอบของเปโตรในครั้งที่ 2 นี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิจารณาดูแล้วเหมือนเปโตร 1.จะตอบอย่างไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำสักเท่าไหร่นัก 2.จะเป็นการตอบที่ปากกับใจจะไม่ค่อยตรงกัน 3.ปากบอกรักพระเยซูแต่ใจไม่รัก

    เหมือนกับผู้ที่เชื่อในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ในเวลานี้ด้วยเช่นเดียวกันที่ส่วนมากบอกรักพระเยซูแต่ปากหรือด้วยคำพูดแต่ไม่ใช่ด้วยการกระทำ

  • 17 พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า "ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย เจ้ารักเราหรือ" เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า "เจ้ารักเราหรือ" เขาจึงทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่า ข้าพระองค์รักพระองค์" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "จงเลี้ยงแกะของเราเถิด

    พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าถามคำเดิมกับเปโตรซ้ำอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 ว่า เปโตรท่านรักเราหรือ พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า “เปโตรทุกข์ใจ”

    คำถามคือว่า เปโตรทุกข์ใจเรื่องอะไร ? เปโตรทุกข์ใจเพราะองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงทราบทุกสิ่ง องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงล่วงรู้ถึงท่าทีและการกระทำของเขาทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมาว่า

    เขาได้ให้คำตอบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าแบบสตรอเบอร์รี่หรือไม่สตรอเบอร์รี่กับพระเจ้า ดังนั้นการตอบของเปโตรในครั้งที่ 3 นี้ เปโตรจึงตอบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความจริงใจ

  • ลก.12:2 แต่ไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย หรือการลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์

    เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงล่วงรู้ถึงท่าทีและการกระทำของผู้เชื่อทุกคนด้วยว่าใครสตรอเบอร์รี่กับพระเจ้าหรือไม่สตรอเบอร์รี่กับพระเจ้า

    กลับมาที่พระคำของพระเจ้าเมื่อเปโตรตอบองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในครั้งที่ 3 นี้ด้วยความจริงใจ องค์พระเยซูคริสต์เจ้าจึงตรัสกับเปโตรว่าจงเลี้ยงดูแกะของเรา

    “รัก” ด้วยการกระทำ ไม่ใช่ด้วยคำพูด จงเลี้ยงดูแกะของเรา

    ถ้ารักพระเจ้าต้องรักในสิ่งที่พระองค์รักด้วย และเรารักแกะของเรา แกะในที่นี้คือ ผู้เชื่อ

    “จง” คือ คำสั่ง “เลี้ยงดูแกะ” หรือเลี้ยงดูผู้เชื่อ

    คำถามคือว่า เลี้ยงดูอย่างไร ? ยน.10:11 เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดีผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ

    พระคำของพระเจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี และองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเลี้ยงแกะของพระองค์ด้วยพระคำหรือด้วยกิจกรรมและหรือด้วยการตามใจไหมครับ ? ต้องเลี้ยงด้วยพระคำไม่ใช่เลี้ยงด้วยกิจกรรมและหรือไม่ใช่ด้วยการตามใจ

  • อฟ.4:12 เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น

    อฟ.4:12 บอกกับเราว่า งานของผู้เลี้ยงคือ เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เขาเจริญและเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า อีกทั้งเราต้องเลี้ยงแกะของพระเจ้าเลี้ยงด้วยความรักและความเอาใจใส่ เลี้ยงด้วยการอธิษฐานเผื่อเขาเสมอ เพื่อที่จะให้เขาออกไปรับใช้พระเจ้าได้อย่างเกิดผล

    ปลายข้อที่ 16 จงดูแลแกะของเราเถิด  พระคำของพระเจ้าพูดชัดเจนนะครับว่า “ดูแล” หมายถึง การบริหารจัดการ เพื่อให้เขาจะเจริญเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ ดังนั้นเราจะเลี้ยงแกะอย่างไม่มีระบบระเบียบได้ไหมครับ ? แบบผ่านไปวันๆหรือสักแต่ว่าหลับหูหลับตาเลี้ยงได้ไหมครับ ?

  • 1 ปต.5:2-4 จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ในความดูแลของท่าน ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจแต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของที่ได้มาโดยทุจริต แต่ด้วยใจเลื่อมใส 3 และไม่ใช่เหมือนเป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น 4 และเมื่อพระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่จะเสด็จมาปรากฏ ท่านทั้งหลายจะรับศักดิ์ศรีเป็นมงกุฎที่ร่วงโรยไม่ได้เลย

        พระคำของพระเจ้าใน 1 ปต.5:2-4 พูดถึง 3 สิ่งที่สำคัญ คือ 1 “ใจที่เลื่อมใส” 2 “การเป็นแบบอย่าง” 3 “พระพร” ให้เราเลี้ยงดูแลแกะของพระเจ้าด้วยใจที่เลื่อมใส หมายถึง รักและผูกพันกับพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของแกะ เราก็จะดูแลแกะนั้นอย่างดี อย่างดีในที่นี้คือ ทั้งในด้านชีวิต จิตใจและจิตวิญญาณ

    เป็นแบบอย่างที่ดี โดยเฉพาะในด้านความเชื่อ การใช้พระคำให้กับแกะ ทั้ง 2 ข้อที่กล่าวมาจะนำมาถึง การที่ผู้เลี้ยงจะได้รับพระพร ท่านทั้งหลายจะรับศักดิ์ศรีเป็นมงกุฎที่ร่วงโรยไม่ได้เลย

Green City