ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว

คำเทศนาเรื่อง ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว

          เมื่อเราได้อ่านพระวจนะคำของพระเจ้า คำถามคือ พี่น้องเคยมีโอกาสได้นั่งคิดใคร่ครวญพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านบ้างไหมครับ ?

          อย่างเช่นเหตุการณ์ในตอนนี้ พี่น้องเคยคิดใคร่ครวญบ้างไหมครับว่า ทำไมองค์พระเยซูคริสต์เจ้าถึงรักและให้เกียรติกับนางมารีย์มักดารา มารีย์มารดายากอบและนางสะโลเมมาก

          ให้เกียรติอย่างไร ? ชื่อเสียงของพวกนางและสิ่งที่พวกนางได้กระทำเพื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ถูกบันทึกเคียงคู่กับข่าวประเสริฐมานานตลอดกว่า 2023 ปีและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไปจนกว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะเสด็จกลับมา

          การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรักและทรงให้เกียรติกับคณะบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นอย่างมากจนต้องบันทึกชื่อและเรื่องราวของพวกเขาเอาไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์

          เพราะในวันคืนที่พวกทหารโรมันเข้ามาจับกุมองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ในสวนเกทเสมนี สาวกขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่เมื่อกลุ่มสตรีเหล่านี้รู้ข่าวเขาจึงได้ออกติดตามดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่าง

          1 ) กล้าหาญ 2 ) อย่างใกล้ชิด 3 ) อย่างไม่เกรงกลัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เราพอที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมองค์พระเยซูคริสต์เจ้าถึงทรงรักและให้เกียรติกับสตรีเหล่านี้มาก

          คำถามคือ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับแผ่นดินของพระเจ้าหรือถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับอาณาจักรของพระองค์ เราจะเป็นแบบกลุ่มสตรีหรือคณะสตรีกลุ่มนี้นี้ไหม ?

          ภายหลังวันสะบาโต คือ วันอาทิตย์ กลุ่มบุคคลเหล่านี้ต่างพากันออกไปตั้งแต่เช้ามืดเพื่อ ? จะไปซื้อเครื่องหอมเพื่อ ? มาชโลมพระศพให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

          ในมิติของฝ่ายวิญญาณ นี่คือภาพ 1 ) แห่งความหิวกระหายในการอยากที่จะมานมัสการสรรเสริญพระเจ้า 2 ) แห่งการเสาะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง และสิ้นสุดความคิด 3 ) ถวายพระเกียรติพระสิริแด่พระเจ้า

          พี่น้องจำได้ไหมครับว่า เมื่อตอนที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ นางมารีย์ชาวมักดารา ได้นำน้ำมันหอมราคาแพงถวายให้แก่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ตอนนี้องค์พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว นางได้ถวายสิ่งดีให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเครื่องหอมที่จะนำมาชโลมพระศพให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

          สิ่งนี้บอกอะไรแก่เราครับ ? ไม่ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม หน้าที่ของผู้เชื่อ คือ ถวายพระเกียรติพระสิริทั้งสิ้นแด่พระเจ้า

          พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า ในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางมาที่อุโมงค์ฝังพระศพ เขาพูดคุยกันว่า “ใครจะช่วยกลิ้งหินออกจากปากอุโมงค์” แต่ในฝ่ายวิญญาณนี่คือ คำอธิษฐาน

          พี่น้องคิดว่าคำพูดนี้ใครได้ยินด้วยไหมครับ ? พระองค์เป็นองค์สัพพัญญูญาณ พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของพวกเขา

          องค์สัพพัญญูญาณ 1 ) ทรงได้ยินถึงสิ่งที่พวกเขาได้พูดคุยกัน 2 ) ทรงรู้ถึงปัญหาของพวกเขาว่าเขานั้นมีความจำกัด 3 ) ทรงรู้ว่าพวกเขานั้นมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเหตุผลใด ด้วยเหตุผลดังกล่าวมีหรือที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องนี้

          พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าพวกเขาทั้ง 3 คน รวมถึงยามที่เฝ้าอุโมงค์ฝังพระศพด้วย เขาได้เห็นถึงการที่ฑูตสวรรค์ของพระเจ้านั้นกลิ้งหินออกจากปากอุโมงค์ฝังพระศพ พวกเขากลัวจนตกตะลึงกลัวจนเนื้อตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย

          พระคำของพระเจ้าต้องการบอกกับเราว่า คนที่ได้พบกับหมายสำคัญหรือคนที่ได้พบกับการอัศจรรย์ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำแล้วนั้นเขาต้องยำเกรงพระเจ้า เราผู้ซึ่งเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เราได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำมาก็มาก เราได้เห็นถึงการช่วยเหลือและการช่วยกู้ของพระเจ้าผ่านชีวิตของเรามาก็เยอะ

          คำถามคือ เรายำเกรงพระเจ้าจนเนื้อตัวสั่นแบบนี้บ้างไหม ?

          พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ฑูตสวรรค์นั้นกล่าวแก่หญิงว่าอย่ากลัวเลย ครั้นเขาเข้าไปในอุโมงค์ ได้เห็นหนุ่มคนหนึ่งนุ่งห่มผ้ายาวสีชาวนั่งอยู่ข้างขวา ผู้หญิงนั้นก็ตกตะลึง เป็นการตกใจกลัวหรือเป็นการตกตะลึงกลัวเป็นครั้งที่ 2 ในเพียงเสี้ยวของเวลาไม่กี่วินาที

          ทูตสวรรค์ได้บอกกับกลุ่มสตรีเหล่านี้ว่า พระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้วหาได้ประทับที่นี่ไม่ จงดูที่ที่เขาได้วางพระศพของพระองค์เถิด แต่จงไปบอกพวกสาวกของพระองค์ทั้งเปโตรเถิดว่า พระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนเจ้าทั้งหลายและเจ้าทั้งหลายจะเห็นพระองค์ที่นั่น

          ไม่ใช่เฉพาะเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้จักเปโตรแต่ฑูตสวรรค์ของพระเจ้าก็ทรงรู้จักเปโตรและฑูตสวรรค์ของพระเจ้าก็ทรงรู้จักเราด้วยเช่นเดียวกัน

          คำว่า พระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนเจ้าทั้งหลายและเจ้าทั้งหลายจะเห็นพระองค์ที่นั่น คำนี้องค์พระเยซูคริสต์ได้ทรงตรัสก่อนหน้านี้มาแล้วครั้งหนึ่ง คือ ตอนไหนพี่น้องจำได้ไหมครับ ? อาหารมื้อสุดท้าย

          ทูตสวรรค์ ของพระเจ้าได้มาพูดคำนี้อีกครั้งหนึ่ง ผ่านนางมารีย์เพื่อเป็นการยืนยืนนัดหมาย คำถามคือ แล้วพวกสาวกได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าตามที่นัดหมายเอาไว้ไหมครับ ?

          วันอีสเตอร์จึงเป็นวันแห่งความหวัง

          พระเจ้าทรงให้ทูตสวรรค์ของพระเจ้านำอัครทูตยอห์นซึ่งเป็นสาวกที่พระเยซูทรงรัก ไปยังแผ่นดินโลกใหม่และพระเจ้าทรงใช้ให้อัครฑูตยอห์น กับมาเขียนถึงแผ่นดินโลกใหม่ ลงในหนังสือวิวรณ์

          ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่ๆพระเจ้าได้ทรงนัดหมายกับผู้เชื่อทุกๆคนเอาไว้ว่า เมื่อวันคืนที่พระคริสต์เสด็จกลับมาเราจะได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ณ.ที่นั่น เพราะฉะนั้นการเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ขององค์พระเยซูพระคริสต์เจ้าจึงเป็นความหวังของเรา

          ฑุตสวรรค์ได้บอกกับมารีย์ว่า  จงไปบอกพวกสาวกของพระองค์ทั้งเปโตรเถิดว่า พระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนเจ้าทั้งหลายและเจ้าทั้งหลายจะเห็นพระองค์ที่นั่น

          หญิงเหล่านั้นก็ออกจากอุโมงค์แล้วรีบหนีไปพร้อมกับความตกใจกลัวหรือยังตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ อีกทั้งกลัวว่าจะไปพูดเรื่องนี้กับใครแล้วใครจะเชื่อ เพราะที่โคนไม้กางเขนทุกคนต่างก็เห็นอย่างชัดเจนว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นตายแล้ว

          แต่พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเราว่าอย่าจำกัดพระเจ้า เด็กจะเกิดต้องอาศัยมนุษย์ร่วมหลับนอนกัน แต่พระเจ้าจะมาเกิดต้องอาศัยมนุษย์ให้ร่วมหลับนอนกันไหมครับ ?

          ด้วยฤทธิ์เดชแห่งองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์จึง 1 ) บังเกิดเป็นมนุษย์ 2 ) ฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตาย เพราะฉะนั้นอย่าจำกัดพระเจ้าด้วยความคิดของเรา ด้วยความของมนุษย์

          เพราะด้วยนางมารีย์นั้นยังกลัวอยู่ เพราะด้วยนางมารีย์ยังวิตกกังวลอยู่ เพราะด้วยนางมารีย์คิดว่า พูดแล้วใครจะเชื่อ

          ด้วยเหตุนี้เอง องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงต้อง ปรากฎตัวแก่นาง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับนางว่า จงจำเริญเถิด หญิงเหล่านั้นมากอดที่พระบาทนมัสการพระองค์

          ความดีใจของนางมารีย์และคณะในตอนนี้มีเต็มร้อย นางจึงได้วิ่งไปหาเปโตรกับยอห์นด้วยความดีใจ แต่นางมารีย์กับไม่ได้พูด ในถ้อยคำที่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าหรือกับไม่ได้พูดในถ้อยคำที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นได้ทรงกำชับให้นางพูดกับเปโตรกับยอห์น

          แต่นางมารีย์กับพูดว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้วและพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน”

          เหมือนกับพวกเราในเวลานี้ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำชับกับผู้เชื่อทุกๆคน ใน มธ.28:18-20 ว่าให้เรานั้นได้พูดข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ผู้เชื่อหลายคนกับมีเรื่องอื่นเยอะแยะมากมายที่จะพูดคุยกับผู้คนยกเว้นเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า

          พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า ทั้งเปโตรกับยอห์น ยังไม่ได้ฟังมารีย์พูดอะไรสักเท่าไหร่ พวกเขาก็รีบวิ่งไปที่อุโมงค์มารีย์ก็วิ่งตามไปด้วย พระคัมภีร์บอกกับเราว่า ยอห์นไปถึงก่อนแต่เขาไม่ได้เข้าไปที่อุโมงค์ ส่วนเปโตรไปถึงทีหลังแต่ก็ได้เข้าไปที่อุโมงค์ในทันที

          คำถามคือ เมื่อเปโตรได้เข้าไปที่อุโมงค์ เปโตรเห็นอะไร ? เมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา พระองค์สร้างโลกใบนี้ขึ้นมาอย่างเละเทอะไหมครับ ? มีความเป็นระบบระเบียบ

          ฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตายยังเก็บที่หลับที่นอน ชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าองค์นี้ยังคงเป็นพระเจ้าที่มีระบบระเบียบมีแบบแผน ไม่ใช่นึกจะทำอะไรก็ทำ

          คริสตจักรของพระเจ้าก็เช่นเดียวกันพี่น้องที่รัก ที่จะต้องมีระบบระเบียบแบบแผน ไม่ใช่จะทำอะไรก็ได้หรือไม่ใช่พี่น้องสมาชิกในคริสตจักรจะทำอะไรก็ได้

          เมื่อเปโตรกับยอห์นมาที่อุโมงค์แล้วไม่พบพระศพขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว เขาจึงกลับบ้านเรือนของตน แต่นางมารีย์ไม่ได้กลับตามไปด้วย ฝ่ายมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์

          ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มมองดูที่อุโมงค์และได้เห็นทูตสวรรค์  2 องค์ สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ ณ.ที่วางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท

          พระคัมภีร์ คือ พระวาทะ พระวาทะ คือ พระเจ้า พระเจ้า คือพระเยซู คำว่า องค์หนึ่งนั่งอยู่เบื้องพระเศียร องค์หนึ่งนั่งอยู่เบื้องพระบาท พระคำของพระเจ้าระบุชัดเจนไหมครับ

          เป็นภาพสะท้อนมาถึงชีวิตในความเชื่อพระเจ้าพระเยซูคริสต์ของเราด้วยว่า เรานั้นต้องชัดเจน ไม่ใช่เป็นคริสตพุทธ ไม่ใช่มีคนถามว่าเธอเป็นคริสเตียนเหรอ ตอบ...เออ.... อ้า...อ้างนี่นู่น ไม่ใช่เดี๋ยวเอาทางพระเจ้า เดี๋ยวเอาทางชาวโลก

          ทูตทั้ง 2 ถามนางมารีย์ว่า หญิงเอ๋ยร้องไห้ทำไม นางมารีย์ก็ตอบกับฑูตสวรรค์ไป ระหว่างนั้นมีคนพูดแทรกเข้ามานางจึงหันหลังกลับไป แต่นางจำไม่ได้ว่านั่นเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า

          พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกอะไรกับเรา ? ในอุปสรรคปัญหา ในความทุกข์ยากลำบากที่เรามีนั้น อย่าฟูมฟายอย่างเดียว เปิดโอกาสให้พระเจ้าได้เข้ามาแทรกแซงในท่ามกลางอุปสรรคปัญหาที่เรามีบ้าง

          จากเหตุการณ์ในตอนนี้ ถ้าพี่น้องสังเกตให้ดีพี่น้องจะพบว่าพระเจ้าพยายามที่จะเข้ามาหานางมารีย์อยู่หลายๆครั้งไม่ว่าจะผ่านทางฑูตสวรรค์หรือด้วยตัวของพระองค์เองก็ตาม

          การที่นางมารีย์ร้องไห้ฟูมฟายแล้วพูดว่า เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ไปซ่อนไว้ที่ไหน ภาพนี้ทำให้เราทราบว่านางมารีย์ ขาดพระพร นางมารีย์ขาดพระพรตรงไหน ?

          นางขาดพระพรที่นางมีความทุกข์ ความโศกเศร้า ความเสียใจมากเกินไป ทำให้นางมารีย์ขาดความเข้าใจในเรื่องของฝ่ายวิญญาณ อีกทั้งเข้าใจว่าคนที่พูดกับนางนั้นคือลุงแก่ๆคนหนึ่งที่เป็นคนเฝ้าและเก็บทำความสะอาดสุสาน

          เปรียบเสมือกับคริสเตียนไทยในเวลานี้ ที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงสัญญากับผู้เชื่อทุกคนเอาไว้แล้วใน ยน.14:16-17 ว่า ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นไปอยู่กับพระบิดาบนสวรรค์ พระองค์จะส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่กับเราเพื่อช่วยเราจนกว่าจะสิ้นยุค

          พอเวลาเรามีปัญหา เราร้องไห้ฟูมฟาย พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาแทรกแซงเพื่อที่จะช่วยเรา ผ่านฑูตสวรรค์ก็แล้ว ผ่านผู้รับใช้ก็แล้ว ผ่านทางพี่น้องในพระกายของพระคริสต์ก็แล้ว 1 ) เราไปถึงแต่บางพลัด แต่เราไปไม่ถึงบางงอ้อกันเสียที เราจึงขาดพระพร2 ) แต่เราจึงไม่ Get สักทีว่านี่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังช่วยเรา ซึ่งผมพยายามที่จะพาพี่น้องไปในจุดนี้

          พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ครั้งนี้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าไม่ได้เรียกนางว่า “หญิงเอ๋ย” แต่เรียกว่า “นางมารีย์”

          นางมารีย์ตกใจว่า นี่มันไม่ใช่ตาแก่ที่เฝ้าและคอยเก็บทำความสุสานอย่างที่เธอเข้าใจ แต่นี่เป็นพระอาจารย์ของเรานี่เอง นางจึงหันมาทูลพระองค์ว่า รับโบนี

          สิ่งที่พระคำของพระเจ้าต้องการบอกกับเราในเช้าวันนี้คือ ในยุคของเราพระเจ้าตรัสกับเราทุกว่าผ่านทางพระคริสตธรรมคัมภีร์ การเข้ามาแทรกแซงในเวลาที่ผู้เชื่อกำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากหรืออุปสรรคปัญหาและหรือวิกฤตการณ์ต่างๆของชีวิตนั้น การแทรกแซงของพระเจ้านอกจากมีอยู่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์และยังมีอยู่ในพระคำของพระเจ้าด้วย

          พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราว่า เมื่อนางมารีย์ได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว นางจึงได้ไปบอกกับพวกสาวกว่า ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว

          ท่าทีของนางมารีย์เปลี่ยนไป นอกจากจะไม่ร้องไห้ฟูมฟายแล้ว ยังปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าด้วยความมั่นใจ เป็นกำลังหลักกำลังสำคัญให้กับพระราชกิจของพระเจ้า

          ความรักของคริสเตียนนั้นมี 4 แบบ 1 ) ฟิเลียส (Philios) 2 )  สตอรเก้ (Storge) 3 ) อีรอส (Eros) 4 ) อกาเป้ (Agape)

          นางมารีย์จากหญิงโสเภณี หรือ Sinner ซึ่งคนยิวที่ว่าเป็นคนที่มีความบาปมาก เมื่อนางได้พบกับพระคุณของพระเจ้าแล้วนางมารีย์ก็รักพระเยซูมาก แต่เมื่อนางมารีย์ได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าในตอนนี้ คือ อ          จากที่เห็นพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและฟื้นและเป็นขึ้นมาจากความตาย

          จากเดิมที่นางรักพระเยซูมากอยู่แล้ว หัวใจรักของมารีย์ที่มีต่อพระเยซูตอนนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมากด้วย คือ รักมากขึ้น รักพระองค์ มากกว่าก่อน Super Love  เป็นรักแบบเดียวกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าคือ แบบที่ 4 ซึ่งเป็นรักที่ให้โดยไม่คิดถึงตัวเองและสละได้ทุกสิ่งเพื่อสิ่งที่รัก อีสเตอร์ในปีนี้ให้เป็นปีที่เราจะรักและปรนนิบัติพระองค์มากขึ้น

 

 

Green City