ข่าวดีวันคริสตมาส

คำเทศนาเรื่อง ข่าวดีวันคริสตมาส

พี่น้องที่รักครับ เดือนธันวาคมของทุกปีได้ชื่อว่าเป็นเดือนแห่ง  1.การให้ Ex.เช่น บริษัทให้เงินพิเศษหรือ Bonus กับพนักงานของตน ซึ่ง Bonus มันจะกี่เท่าก็ตาม แต่โดยส่วนมากพนักงานที่ได้รับจะเป็นอย่างไรครับ ? จะยิ้มแย้มแจ่มใส Happy ดูมีความสุข

ดังนั้นในเดือนธันวาคมของทุกปี นอกจากจะเป็นเดือนแห่งการให้แล้ว เดือนนี้ยังเป็นเดือนแห่งความสุขอีกด้วย แต่ในฐานะที่พี่น้องและผมต่างเป็นผู้ที่เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เราจะต้องรู้อีกทั้งเราจะต้องเข้าใจด้วยว่า เดือนธันวาคมนั้นนอกจากจะเป็นเดือนแห่งการให้และเป็นเดือนแห่งการมีความสุขแล้ว เดือนนี้ยังเป็นเดือนที่เราในฐานะคริสตชนนั้นยังมีความชื่นชมยินดีเป็นอย่างมากอีกด้วย

คำถามคือว่า เพราะอะไรครับ ที่เรามีความชื่นชมยินดี ? เพราะเป็นเดือนที่องค์พระเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิดในโลกนี้เพื่อเราทั้งหลาย แต่การบังเกิดของพระองค์นั้น เกิดอย่างไรครับ ?

ต่ำต้อยที่สุดนั่นก็คือ ในรางหญ้า

พี่น้องเคยตั้งคำถามไหมครับว่า ? ทำไมพระเจ้าผู้ทรงใหญ่ยิ่งสูงสุด ต้องเกิดมาอย่างต่ำต้อยที่สุด ? และพี่น้องเคยคิดบ้างไหมครับว่า ในรางหญ้านั้นมันมีข่าวดีอะไร ที่พระเจ้านั้นต้องการที่จะสื่อสารกับมนุษย์ ?

ดังนั้นในเช้าวันนี้จะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าใน ลก. 2:8-12 ซึ่งพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ก็เป็นอีกตอนหนึ่งที่บันทึกเรื่องราวการกำเนิดขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเอาไว้ เป็นตอนที่เหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้านั้นได้ไปปรากฏต่อบรรดาผู้เลี้ยงแกะ

“ในแถบนั้น มีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนา เฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน ดูเถิดมีทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา และรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา และเขากลัวนักฝ่ายทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า "อย่ากลัวเลย เพราะดูเถิด เรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวงเพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสต์เจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิดนี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า"

และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ข่าวดีวัน

คริสตมาส”

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร

ข่าวดีประการที่ 1 อยู่ใน ลก.2:8-9 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ในแถบนั้น มีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนา เฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืนดูเถิด มีทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาเหล่าทูตสวรรค์ปรากฎต่อบรรดาคนเลี้ยงแกะ”

ข่าวดีประการที่ 1 คือ ฑูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ปรากฎต่อบรรดาคนเลี้ยงแกะ

พี่น้องคงทราบใช่ไหมครับว่า ประเทศต่างๆทั่วโลกนั้นเขามีการส่งฑูตไปประจำการอยู่ที่ประเทศนั้น ประเทศนี้กันทั่วไปหมด ซึ่งประเทศไทยของเราก็มี

ถ้าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบว่าคนไหนมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการที่จะไปเป็นผู้ไปทำหน้าที่กระทำการแทนรัฐบาลเขาก็จะเสนอชื่อคนนั้น

คนที่ได้รับการเสนอชื่อไปเป็นฑูตประเทศนั้นก็ต้องเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อรับสาสน์ตราตั้งและกราบบังคมทูลลาเพื่อไปเป็นฑูตตามที่ได้รับมอบหมาย

พอทูตคนนั้นไปถึงประเทศนั้น เขาก็ต้องไปเข้าเฝ้าคนที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศนั้นๆเพื่อแสดงสาสน์ตราตั้งว่าเขามาเป็นผู้กระทำการแทนในนามของรัฐบาลไทยซึ่งประเทศนี้ทรงมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ดังนั้น “ทูต” จึงเป็นตัวแทนของ 1.รัฐบาลประเทศนั้นๆ 2.พระมหากษัตริย์ของประเทศนั้นๆ 3. ผู้มีอำนาจประเทศนั้นๆ

คำถามคือว่าแล้ว ทูตสวรรค์ล่ะ เป็นตัวแทนของใคร ?

“เหล่าทูตสวรรค์” ที่พระคัมภีร์พูดถึงในทุกๆตอนนี้นั่นก็คือ ตัวแทนของพระเจ้า และ “บรรดาคนเลี้ยงแกะ” ที่พระคัมภีร์พูดถึงในตอนนี้นั่นก็คือ ตัวแทนของ 1.มนุษย์ที่ธรรมดาที่สุด 2.คนที่เล็กน้อยที่สุด

คำถามก็คือว่า การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้ฑูตสวรรค์ของพระองค์มาหาบรรดาคนเลี้ยงแกะ ซึ่งเป็นคนที่ธรรมดาที่สุดและเป็นคนที่เล็กน้อยที่สุดให้ภาพอะไรบางอย่างกับเราไหมครับ ?

พี่น้องที่รักครับ พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่มีเหตุและมีผล การที่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าให้ฑูตสวรรค์ของพระองค์มาหาบรรดาคนเลี้ยงแกะซึ่งเป็นคนที่ธรรมดาที่สุดและเล็กน้อยที่สุดก็เพื่อที่จะบอกกับเราว่า

พระองค์ไม่ได้มาเพื่อชนชาติใดชนชาติหนึ่งหรือเพื่อคนชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งเท่านั้น แต่พระองค์ต้องการที่จะบอกกับคนทั่วโลกว่า แม้กระทั่งคนที่ 1.เล็กน้อยที่สุด 2.ต่ำต้อยที่สุด ก็มาถึงพระองค์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ดังนั้น การบังเกิดขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า คือ สิ่งที่สูงสุดพบกับส่งที่เล็กน้อยด้อยค่าที่สุด

ดังนั้นความหมายของคำว่า คริสตมาส คือ พระเจ้าผู้สูงสุดลงมาพบกับมนุษย์ที่เล็กน้อยและด้อยค่าที่สุด

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ข่าวดีประการที่ 2 อยู่ใน ลก.2:9 “ดูเถิด มีทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาและรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขาและเขากลัวนัก”

ข่าวดีประการที่ 2 คือ พระสิริของพระเจ้าล้อมรอบพวกเขา

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ไม่ใช่เพียงแค่ทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาปรากฏแก่บรรดาผู้เลี้ยงแกะเท่านั้นนะครับ แต่พระเจ้ายังให้ฑูตสวรรค์ของพระองค์ได้ทรงสำแดงสง่า ราศีและพระสิริของพระเจ้าปรากฏแก่บรรดาผู้เลี้ยงแกะเหล่านั้นด้วย นี่ก็เป็นข่าวดีด้วยเช่นเดียวกัน

คำถามก็คือว่า การที่พระเจ้าได้ให้ฑูตสวรรค์ของพระองค์มาหาบรรดาคนเลี้ยงแกะ อีกทั้งให้ฑูตสวรรค์เหล่านั้นได้สำแดงสง่า ราศีและพระสิริของพระเจ้ากับคนเลี้ยงแกะเหล่านั้นอีก มันได้ให้ภาพอะไรบางอย่างกับเราไหมครับ ?

ลก.2:15 ต่อมาเมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่า "บัดนี้ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮม ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงแจ้งแก่เรา"

สง่า ราศีและพระสิริของพระเจ้าอยู่ที่ไหน 1.ความหวังอันเรืองรองมีอยู่ที่นั่น 2.อนาคตอันสดใสมีอยู่ที่นั่น 3.ความเจริญรุ่งเรืองมีอยู่ที่นั่น

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ข่าวดีประการที่ 3 อยู่ใน ลก.2:10-11ฝ่ายทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า "อย่ากลัวเลย เพราะดูเถิด เรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสต์เจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิด

ข่าวดีประการที่ 3 คือ พระผู้ช่วยเสด็จมาหามนุษย์ทุกคน

สิ่งที่พี่น้องจะต้องรู้และพี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือ นิยามของคำว่า “ศาสนา”

นิยามของ “ศาสนา” คือ ความพยามยามของมนุษย์ที่จะกลับไปหาพระเจ้า

ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงพยายามทำทุกวิถีทาง แสวงหาทางออกทุกทางออกในการที่จะไปหาพระเจ้า ส่งผลให้มนุษย์คิดออกมาในรูปแบบของ 1.ศาสนา 2.ลัทธิ+กับคำสอนแนวปรัชญาต่างๆเยอะแยะมากมาย  Ex. การทำบุญ การตักบาตร การเผากระดาษ สิ่งต่างๆเหล่านี้คือหนึ่งในความพยามยามของมนุษย์ที่จะกลับไปหาพระเจ้า ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแต่ไม่สามารถที่จะนำมนุษย์ให้พบกับพระเจ้าได้

ส่วนนิยามของคำว่า “ข่าวประเสริฐ” เป็นอย่างไร ?

นิยามของ “ข่าวประเสริฐ” คือ ความพยายามที่พระเจ้ามาหามนุษย์และพระเจ้าหามนุษย์เจอไหมครับ ? ต้นกำเนิดของศาสนาคือ พระเจ้ามาหามนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์พยายามที่จะกลับไปหาพระเจ้า

ยน.3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมาเพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร

พระคำของพระเจ้าใน ยน.3:16 ได้ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระเจ้าไม่ได้เสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่อที่จะมาหาหรือสำแดงความรักแก่มนุษย์คนใดคนหนึ่ง แต่พระองค์ทรงเสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่อมาหาหรือทรงสำแดงความรักแก่มนุษย์ทุกคนในโลกนี้

ดังนั้นการเสด็จมาบังเกิดขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า จึงไม่ใช่เป็นข่าวดีของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นข่าวดีของใครครับ ?

1.มวลมนุษย์ชาติ

2.มนุษย์ทั้งโลกใบนี้

3.ของมนุษย์ทุกคนและทุกผู้ทุกนามไม่ว่าใครจะมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรก็ตาม

ดังนั้นคริสตมาสคืออะไรครับ ? คริสตมาสคือวันที่สวรรค์มาโปรด(เมตตา)มนุษย์

คำถามก็คือว่า คริสตมาส คือ สวรรค์มาโปรดมนุษย์นั้น โปรดอย่างไร ?

พี่น้องที่รักครับ คำสอนในโลกนี้สอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แปลความว่า มนุษย์ทุกคนต้องรับผลจากการกระทำของตน นั่นหมายความว่า ใครถือศาสนาใด ใครทำผิดข้อไหนก็ต้องรับโทษจากการกระทำในศาสนาของตน ไม่มีใครสักคนจะหลบลี้หนีเลี่ยงจากการถูกลงโทษไปได้

พระคำของพระเจ้าใน ลก.2:11 ตรัสกับเราว่าอย่างไรครับ เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือ พระคริสต์เจ้ามาบังเกิดที่เมืองดาวิด

พระคำของพระเจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จเข้ามาในโลกนี้ไม่ใช่เพื่อการซ้ำเติมมนุษย์ แต่พระองค์เสด็จมาเพื่อที่จะช่วยมนุษย์ทั้งหลายนั้นให้รอด

คำถามคือว่า รอดจากอะไร ?

ยน.5:24 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและเชื่อในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดรและไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว

รม.8:1 “เหตุฉะนั้นบัดนี้การปรับโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ”

คส. 2:14-15 พระองค์ทรงลบกรมธรรม์ในข้อบัญญัติต่างๆที่ต่อต้านเราอยู่ ซึ่งขัดขวางเราและได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้น โดยทรงตรึงไว้ที่กางเขนของพระองค์พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครอบครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขาและชนะเขาโดยกางเขนนั้น

องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสด็จเข้ามาในโลกนี้ไม่ใช่เพื่อการซ้ำเติมมนุษย์ แต่พระองค์เสด็จมาเพื่อที่จะช่วยเราทั้งหลายนั้นรอดพ้นจาก 1.บาป 2.การเวียนว่ายตายเกิด 3.คำโกหกหลอกลวงของมาร 4.ความทุกข์ใจของชีวิต 5.การเล่นงานของมาร ซาตาน วิญญาณชั่ว 6.รอดพ้นจากการถูกพิพากษาในบึงไฟนรก 7.ได้รับชีวิตนิรันดร

พี่น้องที่รักครับ ในเมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำอย่างนี้กับมวลมนุษย์ชาติหรือทรงกระทำอย่างนี้กับคนทั้งโลก ดังนั้นถ้าเราจะเรียกวันคริสตมาสนี้ว่าวันที่สวรรค์มาโปรดมนุษย์จะได้ไหมครับ

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 4 อยู่ใน ลก.2:12 นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า"

ข่าวดีประการที่ 4 เราพบความรัก ความห่วงใย

พระเจ้าทรงห่วงใยคนบรรดาคนเลี้ยงแกะเหล่านั้น เพราะคนเลี้ยงแกะไม่ได้เป็นคนที่มีความรู้อะไรมากมายนัก เหมือนกับคนไทยบางคนที่ไม่ชอบเลี้ยงหนังสือ เขามักจะให้ไปเลี้ยงอะไรครับ ?

ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงให้หมายสำคัญกับบรรดาคนเลี้ยงแกะผ่านทางฑูตสวรรค์ของพระองค์ว่า เมื่อพวกท่านเดินทางไปถึงที่เมืองเบธเลเฮ็มแล้วนั้นท่านจะได้พบพระกุมารเยซูซึ่งกำลังพันผ้าอ้อมและนอนอยู่ในรางหญ้า คนนั้นแหละคือพระเมสสิยาห์หรือพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษย์ชาติทั้งปวง

พี่น้องเห็นภาพอะไรบ้างไหมครับ ? ในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ถ้าพี่น้องจะทำอะไรโดยเฉพาะในเรื่องที่สำคัญๆในชีวิต ให้พี่น้องแสวงหาน้ำพระทัยหรือให้พี่น้องแสวงหาหมายสำคัญจากพระเจ้าก่อน ถ้าพระเจ้ายังไม่ได้ Dew กับพี่น้องอย่างชัดเจนให้พี่น้องเรียนรู้ที่จะอดทนและรอคอยและไว้วางใจในพระเจ้า

ข่าวดีประการที่ 4.1 คือ พวกเขาพบพระกุมารในรางหญ้า

พี่น้องเห็นภาพอะไรบ้างไหมครับ ? พระเจ้าผู้ทรงใหญ่ยิ่งสูงสุดแต่กับเสด็จมาเกิดในโลกใบนี้ในสถานที่ๆต่ำต้อยที่สุดและนอนอยู่ในรางหญ้า

คำถามคือว่า ภาพนี้ได้ให้แง่คิดอะไรกับเราบ้าง ? พี่น้องอย่าคาดหวังว่าพระเจ้าจะสำแดงพระองค์เองแก่เราในรูปแบบของความยิ่งใหญ่เสมอไป พระองค์สามารถที่จะสำแดงพระองค์เองแก่เราในมิติต่างๆได้ตามพระราชอำนาจของพระองค์ แม้กระทั่งในทุกวันที่ได้ชื่อวันนี้ พระองค์ก็สามารถที่จะเสด็จมาพบกับพี่น้องเป็นการส่วนตัวได้ด้วยเช่นเดียวกัน Ex. พี่ป้อม

ข่าวดีประการที่ 4.2 พระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมอยู่ในรางหญ้า

แม้องค์พระเยซูจะเสด็จมาบังเกิดในที่ต่ำต้อย แต่สิ่งที่พระองค์ทำเพื่อมวลมนุษย์ชาติ สิ่งนี้กำลังบอกกับเราว่า พระคุณของพระเจ้านั้นไม่ได้ต่ำต้อยตามไปด้วย

ดังนั้นวันคริสตมาสจึงเป็นวันที่พระคุณของพระเจ้านั้นได้ทรงพันผูกชีวิตของเราทั้งหลายเอาไว้ ประการที่สำคัญนั่นก็คือว่า พระคุณของพระเจ้านั้นมีมากพอและเหลือล้นที่จะพันผูกชีวิตของพวกเราทุกๆคนเอาไว้ได้ในทุกๆวัน

สรุป

ข่าวดีประการที่ 1 คือ ฑูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ปรากฎต่อบรรดาคนเลี้ยงแกะ

ข่าวดีประการที่ 2 คือ พระสิริของพระเจ้าล้อมรอบพวกเขา

ข่าวดีประการที่ 3 คือ พระผู้ช่วยเสด็จมาหามนุษย์ทุกคน

ข่าวดีประการที่ 4 เราพบความรัก ความห่วงใย

ข่าวดีประการที่ 4.1 คือ พวกเขาพบพระกุมารในรางหญ้า

ข่าวดีประการที่ 4.2 พระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมอยู่ในรางหญ้า

Green City