“ข่าวดีในรางหญ้า”

คำเทศนาเรื่อง “ข่าวดีในรางหญ้า”

ลก.2:8-12 “ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนา เฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืนมีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขา และพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา และเขากลัวนักฝ่ายทูตองค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า "อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังท่านทั้งหลาย คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวงเพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสตเจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิดนี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า" และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในเช้าวันนี้ว่า “ข่าวดีในรางหญ้า”

พี่น้องที่รักครับ เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมาเป็นวันที่เจ้าหญิงตัวน้อยแห่งราชวงศ์อังกฤษพระองค์หนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในโลกใบนี้ ผู้สื่อข่าวหลายสำนัก ต่างพากันไปเฝ้าทำข่าวที่พระราชวังวินด์เซอร์ ตั้งแต่เดือน เม.ย. คือ ก่อนที่จะประสูติล่วงหน้าเป็นเวลา 1 เดือน นับว่าเป็นการเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดจริงๆ

ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แต่พระองค์ไม่ได้เสด็จลงมาเกิดในโลกใบนี้แบบลูกของกษัตริย์หรือเสด็จลงมาเกิดในโลกใบนี้ท่ามกลางผู้คนที่มีเกียรติหรือท่ามกลางผู้คนที่มีฐานะแต่อย่างใด

พระคำของพระเจ้าบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์เสด็จมาบังเกิดที่ไหนครับ ? และที่ในรางหญ้านี่เอง เป็นสิ่งที่พระเจ้าต้องการที่จะบอกกับมนุษย์ทุกคนทั้งโลกว่า

(1)แม้คุณจะดูต่ำต้อยเล็กน้อยที่สุด คุณก็เข้ามาหาพระเจ้าได้”

(2)ตราบใดที่เกิดเป็นคน ถึงแม้คุณจะจนที่สุด คุณก็มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า” และนี่คือ 2 สิ่งที่พระเจ้าต้องการที่จะบอกกับมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ (Ex.)

และในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ เราเองก็จะต้องเข้าใจถึงในสิ่งที่พระเจ้านั้นต้องการที่จะบอกกับเราด้วย สิ่งเราจะต้องเข้าใจก็คือว่า

(1)ที่รางหญ้านี่เองทำให้เรานั้นได้พบกับพระคุณและความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่สูงส่ง เป็นความรักที่ทรงคุณค่า

(2)ที่รางหญ้านี่เองทำให้เราได้เห็นถึงความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์ชาติและมีต่อเราทั้งหลาย

            อีกทั้งถ้าเราเข้าใจถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเรามากขึ้นและมากขึ้น จากพระคำใน ลก.2:8-12 ที่เราได้อ่านร่วมกันนั้น เราก็จะเข้าสู่การเฉลิมฉลองคริสตสมภพได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น

            จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 1 เราพบข่าวดี

ลก.2:8-9 “ในแถบนั้นมีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนา เฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืนมีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาและพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา และเขากลัวนัก”

ข่าวดี คือ เหล่าทูตสวรรค์ปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะ เรื่องราวการกำเนิดพระเยซูคริสต์ในตอนนี้ คือ เหล่าฑูตสวรรค์ปรากฎแก่คนเลี้ยงแกะ

            คำถามคือว่า เหล่าทูตสวรรค์คือใคร ? ตัวแทนของพระเจ้า

คำถามคือว่า คนเลี้ยงแกะคือใคร ? ตัวแทนของมนุษย์ธรรมดาสามัญ

ดังนั้นการเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์จึงเปรียบเสมือน

“สูงสุดพบสามัญ”

“พระเจ้าสูงสุดลงมาพบกับมนุษย์สามัญ” และนี่คือ ความหมายอย่างหนึ่งของวันคริสตมาส

ผมขออนุญาตที่จะขีดเส้นใต้เอาไว้ตรงนี้สักครู่หนึ่งและเดี๋ยวผมจะพาพี่น้องกลับมาตรงนี้อีกครั้งหนึ่งนะครับ

พี่น้องเคยตั้งคำถาม ถามตัวเองแบบนี้ไหมครับว่า นิยามของคำว่า “ศาสนา” นั้นคืออะไร ?

นิยามของคำว่า “ศาสนา” คือ ความพยายามของมนุษย์ที่จะไปหาพระเจ้า ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่มีมนุษย์คนใดที่อยากตาย แต่ก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วก็ไม่มีมนุษย์ใครไหนที่อยากจะตกนรก

ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงทำทุกวิถีทาง แสวงหาทุกทางออก เพื่อที่จะทำให้ตนเองนั้นหลุดพ้นจากการ เวียน ว่าย ตาย เกิด

และด้วยเหตุนี้นี่เองจึงก่อให้เกิด 1)ลัทธิ 2)ปรัชญา ก่อให้เกิดศาสนาต่างๆขึ้นมามากมายในโลก ซึ่งโดยรวมแล้วก็เพื่อที่จะทำให้มนุษย์นั้นกลับไปถึงพระเจ้าได้

ดังนั้นนิยามของคำว่า “ศาสนา” จึงหมายถึง ความพยายามของมนุษย์ที่จะไปถึงพระเจ้า

แล้วพี่น้องเคยตั้งคำถาม ถามตัวเองแบบนี้ไหมครับว่า ? แล้วนิยามของคำว่า “ข่าวประเสริฐ” นั้นหมายถึงอะไร ?

นิยามของคำว่า “ข่าวประเสริฐ” นั้นหมายถึง ความพยายามของพระเจ้าที่เสด็จมาหามนุษย์ เพราะพระเจ้าทราบว่าไม่มีมนุษย์คนใดที่จะไปถึงพระเจ้าได้เลย

ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงต้องมาหามนุษย์และในความพยายามนั้น คือ การส่งพระเยซูคริสต์เสด็จลงมาบังเกิดในโลกนี้ และทรงเสด็จลงมาอย่างต่ำต้อยที่สุดเพื่อช่วยมนุษย์ทุกคน 1) ให้รอด 2) ให้ไปถึงพระองค์ได้ แต่คนๆนั้นจะต้องมีความเชื่อ มีความไว้วางใจในพระองค์ ดังนั้นคริสต์จึงไม่ใช่ศาสนา แต่คริสต์คือผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้า

กลับมาตรงที่ผมได้ขีดเส้นใต้เมื่อสักครู่นี้เอาไว้นะครับ ดังนั้นการเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์จึงเปรียบเสมือน

“สูงสุดพบสามัญ”

“พระเจ้าสูงสุดลงมาพบกับมนุษย์สามัญ” และนี่คือ ข่าวดีอย่างหนึ่งของวันคริสตมาส

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 2 ข่าวดี ลก.2:9 “มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาและพระสิริของพระเป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา และเขากลัวนัก”

การเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์นั้นไม่เพียงแต่“สิ่งสูงสุด” จะทรงสำแดงต่อสิ่ง “สามัญ” แล้ว มากไปกว่านั้น คือ เมื่อเหล่าฑูตสวรรค์ได้ปรากฎพระสิริของพระเจ้าก็ได้ปรากฎขึ้นด้วย และลักษณะของการปรากฎของพระสิริคือ ส่องล้อมรอบคนเลี้ยงแกะ

เมื่อคืนวันที่ 5 ธ.ค. ที่ผ่านมา มีการจุดพลุฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ศาลากลาง อ.ดา พาปลื้มออกไปดูที่หน้าคริสตจักร เสียงพลุแตกกระจายทีหนึ่ง ปลื้มก็จะตื่นเต้นไปกับความสวยงามกับสีสันของพลุ

ในทางตรงกันข้ามพี่น้องลองพิจารณาดูนิดนึงนะครับว่า เมื่อคนเลี้ยงแกะได้เห็นถึงพระสิริของพระเจ้าแล้วจะเป็นอย่างไรครับ ?

เมื่อคนเลี้ยงแกะเขาได้เห็นถึง สง่า ราศี พระสิริของพระเจ้าในเวลานั้น พวกเขาทุกคนนั้นต่างดูมีความสุขมากสายตาของเขานั้น มีประกายแห่งความหวังขึ้นมาในทันที

พระคำของพระเจ้าใน มธ.11:28 “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข” แปลความว่า พระเจ้าอยู่ที่ไหนความสุขมีอยู่ที่นั่น

พระคำของพระเจ้าใน ฟป.4:13 “ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” แปลความว่า พระเจ้าอยู่ที่ไหนความสำเร็จมีอยู่ที่นั่น

พระคำของพระเจ้าใน สดด.1:3 เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น แปลความว่า มีพระเจ้าอยู่ที่ไหนความเจริญรุ่งเรืองมีอยู่ที่นั่นและนี่เป็นข่าวดีสำหรับคนเลี้ยงแกะเท่านั้นใช่หรือไม่

ยน.3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร”

พระคำของพระเจ้าใน ยน. 3:16 บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า การเสด็จมาบังเกิดขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น ไม่ใช่เพียงแค่คนใดคนหนึ่งเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเสด็จมาเพื่อคนทั้งโลก

ดังนั้นความสุขสมหวัง ความสำเร็จและความเจริญที่ว่านี้ จึงเป็นข่าวดีของคนทั้งโลกที่เชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ อาจจะกล่าวได้ว่า คริสตมาส คือ วันที่สวรรค์มาโปรดมวลมนุษย์ชาติก็ว่าได้

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 3ข่าวดี ลก.2:11 “เพราะว่าในวันนี้พระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย คือพระคริสต์เจ้า มาบังเกิดที่เมืองดาวิด

พระคำของพระเจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า พระเยซูเสด็จมาในโลกนี้ไม่ใช่เพื่อการพิพากษา ไม่ใช่มาเพื่อซ้ำเติม แต่มาเพื่อช่วยเรา ซึ่งการช่วยของพระเจ้านั้น ขอให้พี่น้องได้เข้าใจว่าเป็นการช่วย ทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณ อีกทั้งเป็นการช่วยทั้งเรื่องในอดีตที่ผ่านมา จนถึงที่เป็นอยู่ในขณะนี้รวมถึงเป็นการช่วยเหลือในกาลแห่งอนาคต

พระคำของพระเจ้าใน คส.2:14-15 “พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆซึ่งขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้นโดยทรงตรึงไว้ที่กางเขนพระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น”

การที่เด็กคนหนึ่งเกิดมาแล้วพ่อแม่เอาลูกของตนเองไปถวายเป็นลูกของ เจ้าพ่อ เจ้าแม่หรือเอาไปถวายเป็นลูกของหลวงปู่องค์นั้นองค์นี้ เพราะถ้าไม่ถวายแล้วโตขึ้นมาเดี๋ยวเด็กมันจะตายโหงตายห่า พี่น้องเคยได้ยินคำสอนแบบนี้ไหมครับ ?

เช่น บางศาสนาสอนว่า มือขวาบันทึกความดี มือซ้ายบันทึกความชั่ว เมื่อเราตายไปก็จะมีฑูตแห่งความตายนั้นมาพิจารณาความดีความชอบของเรา

ถ้าความดีมากกว่าความชั่วคำตอบคือคุณได้เข้าสวรรค์ แต่ถ้าความชั่วมากกว่าความดี คำตอบคือคุณต้องตกลงไปในบึงไฟนรก แล้วพี่น้องลองพิจารณาดูทีว่าจะมีสักกี่คนที่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์

เช่น บางศาสนาสอนเรื่อง การเวียนว่ายตายเกิดหรือตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และหรือสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งนั่นหมายความว่า เมื่อคุณทำผิดข้อใดข้อหนึ่งคุณก็จะต้องรับโทษทัณฑ์ในข้อนั้น แล้วพี่น้องลองคิดดูสิครับว่า ก่อนที่พี่น้องนั้นจะมาเชื่อในพระเจ้านั้นวันหนึ่งๆเราทำผิดกันกี่ข้อครับ

พระคำของพระเจ้าในข้อนี้บอกกับเราว่า พระองค์เสด็จมาฉีกกรมธรรม์เพื่อให้มนุษย์นั้นได้หลุดพ้นจากคำสอนที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้เสีย และใครก็ตามที่มาเชื่อในพระเจ้าแล้วคำสอนเหล่านี้ก็จะไม่มีส่วนในชีวิตของคนๆนั้นอีกต่อไป นี่เป็นข่าวดีไหมครับ ?

รม.8:1 เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์

ยน.5:24 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และไม่ถูกพิพากษาแต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว

พี่น้องลองพิจารณาดูนะครับว่า ในขณะที่พี่น้องยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนต่างที่จะต้องได้รับผลแห่งการกระทำของตัวเองซึ่งนั่นก็มากพอแล้ว และเมื่อครั้นที่มนุษย์นั้นจะต้องตายไป แล้วเขาจะต้องไปรับโทษในบึงไฟนรกอีก พี่น้องคิดว่ามันมากไปไหม

พระคำของพระเจ้าใน รม.8:1,ยน.5:24บอกกับเราอย่างชัดเจนว่าเมื่อพี่น้องต้องจากโลกนี้ไป พี่น้องไม่ต้องรับโทษของความบาปในบึงไปนรกนั้นอีกต่อไป อันนี้เป็นข่าวดีไหมครับ ?

จากพระคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกันเราพบอะไร ?

ประการที่ 4 ข่าวดี ลก.2:12 “นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือ ท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า"

            พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่" คริสตมาส คือ วันที่พระเจ้าได้นำพระคุณความรักของพระองค์นั้นมาพันผูกกับชีวิตของเราเอาไว้

พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า พระกุมารนั้นนอนอยู่ที่ไหนครับ ? ในรางหญ้า

ในรางหญ้านั้นถือว่าเป็นสถานที่ๆต่ำต้อยและดูเล็กน้อยที่สุด แต่พระคุณของพระเจ้านั้นไม่ได้ต่ำต้อยหรือเล็กน้อยตามไปด้วย

พระคำของพระเจ้าใน 2คร.12:9 "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" ซึ่งนั่นหมายความว่า พระคุณของพระเจ้าผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้นมีมากพออย่างเหลือล้นในชีวิตของเราทุกคนเสมอนี่เป็นข่าวดีไหมครับ ?

ในรางหญ้าที่ต่ำต้อยแต่กับมีพระเยซูพระเจ้าสูงสุดประทับอยู่ไม่เพียงแต่แสดงออกถึงความถ่อมใจของพระองค์เท่านั้นแต่ทรงสอนเราว่า อย่าคาดหวังว่าพระเจ้าจะต้องเสด็จมาในรูปแบบของความอย่างยิ่งใหญ่เสมอไป แต่พระองค์ทรงพร้อมที่จะเสด็จมาในรูปแบบต่างๆเสมอ

ซึ่งเวลานี้พระคริสต์เสด็จมาแล้วแต่พระองค์นั้นยังมาไม่ถึง รู้ได้อย่างไร ? ผ่านสถานการณ์ ผ่านเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้

คำถามคือว่า เราพร้อมที่จะรับการเสด็จมาของพระองค์แล้วหรือยัง ?

ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นความหมายของข่าวดีในรางหญ้า ซึ่งถ้าเราเข้าใจและถ้าเราเข้าถึงความหมายที่พระเจ้านั้นต้องการสื่อกับมนุษย์อย่างลึกซึ้ง วันคริสตมาสก็จะเป็นวันที่มีความหมายและก็จะเป็นวันที่มีความสำคัญกับชีวิตของเราอย่างมากด้วย

สรุปพระคำของพระเจ้าในเช้าวันนี้

ประการที่ 1 เราพบข่าวดี

ประการที่ 2 เราพบข่าวดี

ประการที่ 3 เราพบข่าวดี

ประการที่ 4 เราพบข่าวดี

           

Green City