ขึ้นบ้านใหม่

คำเทศนาเรื่อง ขึ้นบ้านใหม่

ขอบคุณพระเจ้า สำหรับเมื่อวันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่พี่ - น้องสมาชิกของเราได้ทำพิธีมอบถวายบ้านใหม่ให้กับพระเจ้า ซึ่งมีพระวจนะของพระเจ้าหลายข้อที่ตรัสว่าพระเจ้าของเรานั้น เป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข

ดังนั้นเมื่อพระเจ้าสถิตยอยู่ในบ้านหรือในครัวเรือนของผู้ใดก็ตาม บ้านของผู้นั้นก็จะมีสันติสุข ( อาเมน ) ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ได้มีพระเจ้า ที่เขาจะทำพิธีมอบถวายบ้านใหม่หรือเรือนหลังใหม่ ให้กับใครครับ ? ให้กับพวกผีศาลนางเจ้า

พี่ - น้องเคยดูหนังใช่มั้ยครับ ? พอผีมันสิงอยู่ในคนแล้ว คนนั้นจะเป็นอย่างไรครับ ?เขาจะกรีด เขาจะร้องโหยหวนหรืออยู่ในลักษณะคุ้มดีคุ้มร้าย เป็นต้น พอผีมันออกไปจากคนๆ นั้นแล้ว เป็นอย่างไรครับ ? เขาก็จะรู้สึกมีชีวิตที่เป็นปกติ

เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รักครับ   ถ้าผีศาล นางเจ้า มันอยู่ในบ้านของผู้ใดก็ตาม    บ้านนั้นก็จะวุ่นวาย คนที่อยู่ในบ้าน   ก็จะมีลักษณะคุ้มดีบ้าง คุ้มร้ายบ้าง

ดังนั้นเราจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม บางครอบครัวจึงมีเสียงกรีดร้องบ้าง บางครอบครัวจึงมีการร้องโหยหวนบ้าง แต่พอผีมันออกจากบ้านของคนๆ นั้นไปแล้ว บ้านนั้นเป็นอย่างไรครับ ? บ้านนั้นก็จะเป็นปกติ มันจึงมีคำพูด ที่มนุษย์นั้นใช้ว่ากันคำหนึ่งและ คำนั้นก็คือคำว่า คนผีเข้าผีออก ซึ่งเปรียบกับคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้

ในเช้าวันนี้ จะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้า จากพระธรรม สดด. 127 : 1 และ มัทธิว 7 : 24 - 27 เมื่อพบแล้วให้ที่ประชุมอ่านด้วยเสียงดังพร้อมๆกัน

สดด. 127 : 1 “ ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า ”

มธ. 7 : 24 - 27 “ เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้นแต่เรือนมิได้พังลง เพราะรากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และไม่ประพฤติตามเล่าเขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทรายฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยวลมก็พัดปะทะเรือนนั้นเรือนนั้นก็พังทลายลงและการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง”

พี่ - น้องที่รักครับ ในชั่วชีวิตหนึ่งของคนเรานั้น มีความฝันและมีความปรารถนาที่อยากจะมีบ้านเป็นของตนเองสักหลังหนึ่ง ถ้าไม่มีบ้านจริงๆ อย่างน้อยก็ขอให้มีบ้านในความฝันก็ยังดี

ถ้าให้โอกาสกับผู้ชาย ในการเลือกซื้อของสองสิ่ง ระหว่างบ้านกับรถยนต์พี่ - น้องคิดว่าผู้ชายจะเลือกซื้อรถยนต์หรือซื้อบ้านครับ

และถ้าให้โอกาสกับผู้หญิง ในการเลือกซื้อของสองสิ่งระหว่างบ้านกับรถยนต์พี่ - น้องคิดว่าผู้หญิงจะเลือกซื้อรถยนต์หรือซื้อบ้านครับ

ดูเหมือนว่า ในเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านกับช่องนั้น ผู้หญิงมักจะมีความฝันและมีควาปรารถนาที่แรงกล้ามากกว่าผู้ชาย

นิตยสารที่เกี่ยวข้องกับบ้านและสวนเล่มหนึ่ง ได้สำรวจพบว่า คนส่วนมากที่ซื้อหนังสือเกี่ยวกับบ้านและสวนนั้น เป็นคนที่ไม่มีบ้านเป็นของตนเอง นี่เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง เพราะคนที่ไม่มีบ้านนั้น มักจะจินตนาการว่า มีบ้านของตนเอง โดยดูรูปภาพจากในหนังสือ

Home ซึ่งแปลเป็นไทยว่าบ้าน ในความรู้สึกของมนุษย์เรานั้น คือ ทรัพย์สมบัติ คือ สถานที่ที่รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย คือ สถานที่พักอันสุขสบาย ดังบทเพลงบทหนึ่งที่ร้องว่า บ้านนั้นคือวิมานของเรา ถ้าเราให้ที่คนใกล้จะเสียชีวิตนั้น ได้มีโอกาสที่จะเลือก ระหว่างเสียชีวิตที่บ้านกับเสียชีวิตที่โรงพยาบาล

พี่ - น้องคิดว่า คนที่ใกล้จะตายนั้น เขาอยากเลือกที่จะเสียชีวิตที่ไหนครับ ? ส่วนมากมักจะเลือกตายหรือเสียชีวิตที่บ้าน ดังนั้นเมื่อคนไข้รายใด ที่หมดหวังในการรักษา แพทย์ผู้ทำการรักษา ก็จะทำการอนุญาต ให้ญาติพี่ - น้องของผู้ป่วย รีบนำผู้ป่วยคนนั้น กลับบ้านได้

คนทั่วไปเวลานี้ พอพูดถึงคำว่า บ้าน เขาก็จะพากันคิดถึงแต่บ้านในฝ่ายร่างกายก่อน บ้านในฝ่ายร่างกาย หมายถึง บ้านที่ใช้ พวกวัสดุ อุปกรณ์ต่างๆ เช่น พวกอิฐ หิน ดิน ทราย เป็นต้น นอกเหนือจากนี้ เขาก็จะคิดถึงคนที่จะพักหรืออาศัยอยู่ในบ้าน เช่น พ่อแม่ สามีภรรยา ลูกๆ หลานๆ เป็นต้น ถูกมั้ยถูก แม้กระทั่งตัวของผู้เชื่อหรือคริสเตียนบางคนเองก็ตาม ที่คิดอย่างนี้

พระคำของพระเจ้าในพระธรรม สดด. 127 : 1 ตรัสกับเราว่าอะไรครับพี่ - น้อง ?

ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า

พระคำของเจ้าในข้อนี้ ได้กล่าวถึงคำว่า บ้านซึ่งไม่ได้หมายถึง บ้านฝ่ายวัตถุที่ตามองเห็น ไม่ได้หมายถึง พวกวัสดุ - อุปกรณ์ หรือ อิฐ หิน ปูน ทราย ที่ใช้ในการก่อสร้างบ้าน และไม่ได้หมายถึง พ่อแม่ พี่ - น้องหรือวงศาคณาญาติคนใด ที่จะเข้ามาพัก หรือเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้  

ปฐก. 3 : 16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์

คำว่า โลก คำนี้ ไม่ได้หมายถึง ทรัพย์สินหรือสิ่งของ ที่พระเจ้า เป็นผู้สร้างมันขึ้นมา แต่หมายถึง มนุษย์ที่อยู่ในโลกนี้ ดังนั้นการเสด็จเข้ามาในโลกนี้ ขององค์พระเยซูคริสต์นั้น เพื่ออะไรครับ ? เพื่อมนุษย์

พระคำของพระเจ้าในปฐก. 3 : 16จึงหมายถึง ชีวิตของมนุษย์หรือหมายถึงชีวิตของคนนั่นเอง

พระคำของพระเจ้าใน ปฐก. 3 : 16จึงหมายถึง บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณ มากกว่าบ้านในฝ่ายร่างกาย

ปฐก. 2 : 7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต

1คร. 3 : 16 ท่านไม่รู้หรือว่า ท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้า สถิยอยู่ในท่าน

ซึ่งนั่นหมายความว่า ชีวิตของผู้เชื่อหรือชีวิตของคริสเตียนนั้น เปรียบเสมือนกับบ้าน ที่ถูกสร้างขึ้น โดยพระเจ้า

พี่ - น้องที่รักครับ บ้านที่ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า แต่กลับไม่ให้พระเจ้า มีส่วนในการปรึกษาหารือ กลับไม่ให้พระเจ้ามีส่วนในความคิด ความเห็น กลับไม่ให้พระเจ้า มีส่วนในการวางแผน กลับไม่ให้พระเจ้า มีส่วนในการบริหาร จัดการ ในชีวิตของเราหรือในครอบครัวของเรา นั่นก็คงจะเป็นเรื่องที่ปกติหรือผิดปกติมั้ยครับพี่ - น้อง ? ผิดปกติมาก

ดังนั้น เราจึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมพระคำของพระเจ้า จึงได้กล่าวเอาไว้ อย่างชัดเจนและอย่างหนักแน่นมั่นคงว่าบรรดาผู้สร้างนั้น ก็เหนื่อยเปล่า

ถ้าเราอยู่บ้าน ที่มีมูลค่า มีราคาเป็นล้านๆ บาท แต่คนที่อยู่ในบ้าน กลับทำตัวแบบไม่มีพระเจ้า หรือไม่เอาพระวิญญาณบริสุทธิ์ พึงพาสติปัญญา และความรอบรู้ ของตนเองมากกว่าที่จะพึ่งพาพระเจ้า ที่ทรงสร้างเราขึ้นมา พอถึงคราวที่มีปัญหาขึ้นมา ภายในบ้านที่ถูกสร้างขึ้นมา ด้วยเงินเป็นจำนวนล้านๆ บาทนั้น ก็จะมีแต่เสียงบ่น เสียงด่า เสียงว่าหรือมีเรื่องที่จะต้องคอย ทะเลาะ เบาะแว้งกัน ในลักษณะ วันเว้นวัน อยู่ตลอดเวลา มีพี่ - น้องท่านใด ที่อยากจะพัก / อยากที่จะอาศัย อยู่บ้านในลักษณะอย่างนี้บ้าง มีมั้ยครับ

ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราอยู่บ้านในฝ่ายวัตถุ หมายถึง บ้านที่ตามองเห็น ที่หลังมันอาจจะดูเล็กๆ แต่ถ้าบ้านในฝ่ายจิตวิญญาณของเรา ซึ่งหมายถึงชีวิตของผู้เชื่อ หมายถึงชีวิตของคริสเตียน ที่ให้พระเจ้า หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีส่วนในการเป็นที่ปรึกษาหารือ ให้พระเจ้ามีส่วนในความคิด ความเห็นของเรา ให้พระเจ้ามีส่วนในการวางแผน และให้พระเจ้ามีส่วนในการบริหารจัดการในชีวิตของเขา หรือในครอบครัวของเขา พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า บ้านนั้นก็จะไม่เหนื่อยเปล่า

บ้านทั้งในฝ่ายวัตถุ ซึ่งตามองเห็น และบ้านในฝ่ายจิตวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็นนั้น ต่างก็จะได้รับพระพร ได้รับความชื่นชนยินดี ได้รับสันติสุขจากเบื้องบนควบคู่กันไป และนี่คือสวรรค์ในบ้าน

ที่แย่ที่สุดหรือที่หนักที่สุดคืออะไรพี่ - น้องทราบมั้ยครับ ? คือ บ้านในฝ่ายวัตถุ ซึ่งตามองเห็นนั้นก็เล็ก บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณของผู้เชื่อหรือของผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นคริสเตียนนั้น ก็เล็กด้วย บ้านในลักษณะอย่างนี้ เป็นไงครับพี่ - น้อง ? ยิ่งแย่ไปกันใหญ่เลย พี่ - น้องเห็นด้วยมั้ยครับ

ถ้าผมจะเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน บ้านในลักษณะที่สามนี้ ไม่แตกต่างอะไรไปจากสลัม หรือถ้าเราจะเรียก ให้ฟังดูไพเราะหน่อยก็คือ ไม่แตกต่างอะไร ไปจากชุมชนแออัดนั่นเอง ซึ่งคนเหล่านี้เติบโตขึ้นมาอย่างไม่มีคุณภาพและสร้างปัญหาให้กับสังคม

ดังนั้น ถ้าแม่แจ๋วและครอบครัว หรือถ้าพี่ - น้อง ต้องการที่จะมีสวรรค์น้อยๆอยู่ภายในบ้านของพี่ - น้อง พี่ - น้อง ต้องทำไมครับ พี่ - น้องต้องให้พระเจ้า มีส่วนในบ้านของท่าน ซึ่งผมหมายถึง ให้พระเจ้ามีส่วน ในชีวิตของท่าน และในครอบครัวของท่าน สวรรค์น้อย ๆ จะอยู่ในบ้านของพี่ - น้องอย่างแน่นอน

มีพระราชาองค์หนึ่ง ไม่มีความสุขในชีวิต แม้จะอยู่ในพระราชวังก็ตาม โหรประจำสำนัก จึงได้ถวายคำแนะนำว่า ให้พระราชา ไปหาเสื้อของคนที่มีความสุข มาสวมใส่เอาไว้ พระราชาจึงได้ส่งทหารออกไป ทั่วราชอาณาจักร เพื่อเสาะหา เสื้อแห่งความสุขที่ว่านี้ วันหนึ่ง ทหารได้เดินผ่านมา แถวบริเวณกระต๊อบ ที่ค่อนข้างโกโรโกโส ของชาวนาคนหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเล็กลอดออกมา จากฝาไม้ไผ่ว่า “ โอ้โฮข้ามีความสุขเหลือเกิน ที่พวกเราได้อยู่พร้อมหน้ากัน ” ทหารจึงรีบเดินถลันเข้าไปเปิดประตูกระท่อมนั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเขาก็คือ ชาวนาไม่ได้ใส่เสื้อนุ่งแต่ผ้าขาวม้า กำลังนั่งกินข้าวกับน้ำพริกกะปิอยู่กับสมาชิกในครอบครัว ทหารจึงเดินทางกลับไป กราบทูลพระราชาว่า พระองค์เจ้าข้า บ้านมันก็คือบ้าน จะสุขหรือจะทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่บ้านหรือเสื้อผ้าบ้าน แต่มันอยู่ที่คน

พี่น้องที่รักครับ ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าหรือแม้กระทั่งตัวของผู้เชื่อหรือผู้ที่เป็นคริสเตียนเองก็ตาม ที่หลายๆคนพยายาม ที่จะสร้างความสุขขึ้นมา ภายในบ้าน ด้วยตัวของเขาเอง ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะครับพี่ - น้อง แต่ความสุขที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้น มันง่ายหรือมันยากครับ ?

ถ้าพี่ - น้องต้องการที่จะสร้างความสุขให้กับตนเองในการฟัง พี่ - น้องก็ไปหาที่ๆ มันมีเสียงเพลง ถ้ามีสตางค์หน่อย ก็ไปหาซื้อเครื่องเสียงดีๆ สักชุดหนึ่งที่บิ๊กซีหรือโลตัสมาเก็บเอาไว้ที่บ้าน แต่พอเราเบื่อ เราก็หันไปสร้างความสุขให้กับตนเองในด้านอื่นๆ ต่อไป

ดังนั้น ความสุขที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้น มันง่ายมากๆเลยเพราะอะไรครับ ? เพราะมันเป็นการสนองตอบต่อสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียงและกายสัมผัส ซึ่งเป็นการงานของเนื้อหนังทั้งสิ้น

แต่เราก็พบความจริงว่า ความสุขที่มนุษย์ ได้พยายามสร้างขึ้นมานั้น ไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง หรืออาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า มนุษย์ไม่สามารถที่จะสร้างความสุขที่แท้จริงขึ้นได้

ยน.14 : 27 เรามอบสันติสุขแก่ท่าน สันติสุขที่เราให้ ไม่เหมือนที่โลกให้ อย่าให้ใจท่าน ทุกข์ร้อนและอย่ากลัวเลย

ซึ่งนั่นหมายความว่า ความสุขที่แท้จริง และมนุษย์ไม่จำเป็น จะต้องสร้างมันขึ้นมานั้น มีอยู่ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เพียงองค์เดียวเท่านั้น และในพระธรรม สดด. 84 : 4 ได้ขยายความต่อไปอีกว่า ความสุข เป็นของบุคคล ที่อาศัยในพระนิเวศน์ของพระองค์ เขาร้องเพลงสรรเสริญ พระองค์เสมอ

พี่ - น้องที่รักครับ พระราชวังสวนจิตรลดา ซึ่งเป็นที่ประทับ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น มีอาณาบริเวณที่กว้างขวาง หรือคับแคบครับพี่ - น้อง ?

และพี่ - น้องคิดว่าพระนิเวศน์ของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกล่ะครับ พี่ - น้องคิดว่าจะมีอาณาบริเวณ มากน้อยแค่ไหน ? สายตาของมนุษย์เรานั้น ไม่สามารถที่จะมองเห็น รั้วหรือกำแพง พระนิเวศน์ของพระเจ้าได้ เพราะมันกว้างมากซึ่งนั่นหมายความว่า ในอาณาจักรของพระเจ้านั้น ต้องมีความสุขที่แท้จริงนี้ อยู่อย่างมากมาย ( อาเมน )

ดังนั้น ถ้าพี่ - น้อง ไม่ต้องการที่จะเหนื่อยเปล่า พี่ - น้องต้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ได้เข้ามามีส่วน ในบ้านฝ่ายจิตวิญญาณของท่าน นั่นก็คือ ชีวิตของพี่ - น้องหรือในครอบครัวของพี่ - น้อง

เมื่อชีวิตของเจ้าของบ้าน รวมทั้งผู้ที่อยู่อาศัย เรียบร้อยและสวยงาม บ้านในฝ่ายวัตถุที่ตามองเห็น มันก็จะพลอยเรียบร้อยและสวยงามตามไปด้วยนั่นเอง

คำถามก็คือว่า บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณของเรา หรือชีวิตคริสเตียนของเรานั้น จะเรียบร้อยและสวยงามได้อย่างไร ? พระธรรม มธ. 7 : 24 ได้บันทึกถึงคำอุปมา ขององค์พระเยซูคริสต เกี่ยวกับเรื่อง รากฐานของชีวิต องค์พระเยซูคริสต์ ทรงเปรียบรากฐานของชีวิต เทียบเคียงกับ รากฐานของบ้าน พระองค์ทรงตรัสว่า“ เหตุฉะนั้น ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตามเขาก็เปรียบเสมือน ผู้ที่มีสติปัญญา สร้างเรือนของตนไว้ บนศิลา ”

มีคนเล่าให้ผมฟังว่า บ้านหรือตึกในประเทศญี่ปุ่นนั้น วิศวกรจะมีการออกแบบโครงสร้างเอาไว้ให้มีความมั่นคง แข็งแรง มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เนื่องจากประเทศนี้ มีพายุและแผ่นดินไหว เกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก ดังนั้นการวางรากฐานของโครงสร้างนี้จะต้องลึก ใช้งบมาก ก่อสร้างนาน คนงานเยอะ   เพื่อที่จะให้บ้านหรือตึกนั้น สามารถที่จะแกว่งตัวไป มาได้ ดังนั้นเราอาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า ประเทศญี่ปุ่นนั้น มีการวางโครงสร้างรากฐาน ในการสร้างบ้านหรือตึก ที่แข็งแรงที่สุดในโลก และผลที่ออกมาจะต้องเป็นอย่างไรครับ ? จะต้องคุ้มค่ามากที่สุดด้วยเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน ถ้าบ้านในฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งหมายถึง ชีวิตของผู้เชื่อ ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทุกๆ คน ต่างลงทุนและให้เวลากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อที่ตนเอง จะได้ถูกวางรากลึกลง ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือได้ถูกวางรากลึกลงในพระธรรมคำสอน อย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตของผู้เชื่อนั้น แม้ว่าจะต้องพบประสบภัย ซึ่งผู้เขียนหนังสือมัทธิว ได้บันทึกถึงภัยธรรมชาติ อันร้ายแรงที่เกิดขึ้น จากภัยพิบัติต่างๆ เอาไว้ถึง 3 ภัยพิบัติด้วยกัน       

ภัยพิบัติแรก ได้แก่ ฝน ถ้าบ้านในฝ่ายจิตวิญญาณ หรือชีวิตของผู้เชื่อ ได้ถูกวางรากลึกลงในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือได้ถูกวางรากลึกลงในพระธรรมคำสอน อย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว แม้ว่าบ้านในฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตของผู้เชื่อนั้นจะต้องพบกับ ฝนแห่งการทดลองในฝ่ายเนื้อหนัง แม้ว่าจะต้องพบกับฝน แห่งการชั่วร้ายจากกิจการของมาร - ซาตาน วิญญาณชั่ว แม้ว่าจะต้องพบกับฝน แห่งการโจมตีในย่านฟ้าอากาศและหรืออื่นๆ อีกมากมายก็ตาม

พระคำของพระเจ้า บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตของผู้เชื่อคนนั้น จะปลอดภัยเพราะเขาตั้งมั่นอยู่บนศิลา

ภัยพิบัติอย่างที่สอง ได้แก่ น้ำ   ถ้าบ้านในฝ่ายจิตวิญญาณ หรือชีวิตของผู้เชื่อได้ถูกวางรากลึกลง ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า หรือได้ถูกวางรากลึกลงในพระธรรมคำสอนอย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว แม้ว่าบ้าน ในฝ่ายจิตวิญญาณ หรือชีวิตของผู้เชื่อนั้น จะต้องพบกับ น้ำที่กำลังไหลเชี่ยว ซึ่งอาจจะเปรียบได้กับความยากลำบาก หรืออาจจะเปรียบได้กับ อุปสรรค ปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตและหรือปัญหาอื่นๆ อีกมากมายก็ตาม

พระคำของพระเจ้า บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณ หรือ ชีวิตของผู้เชื่อคนนั้นจะปลอดภัยเพราะเขาตั้งมั่นอยู่บนศิลา

ภัยพิบัติอย่างที่สาม ได้แก่ ลม ถ้าบ้านในฝ่ายจิตวิญญาณ หรือชีวิตของผู้เชื่อ ได้ถูกวางรากลึกลง ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าหรือได้ถูกวางรากลึกลงในพระธรรมคำสอน อย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว แม้ว่าบ้านในฝ่ายจิตวิญญาณ หรือชีวิตของผู้เชื่อนั้น จะต้องพบกับ ลมพายุที่พัดแรง ซึ่งอาจจะเปรียบได้กับการเจ็บไข้ได้ป่วย หรืออาจจะเปรียบได้กับ ภาะวะทางการเงินที่ฝืดเคือง หรืออาจจะเปรียบได้กับ การสูญเสียคนที่รัก หรืออาจจะเปรียบได้กับ การที่เราเผชิญกับพายุจากลมปากของคน

พระคำของพระเจ้า บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณ หรือชีวิตของผู้เชื่อคนนั้น จะปลอดภัย เพราะเขาตั้งมั่นอยู่บนศิลา

การสร้างบ้านบนศิลา หมายถึง การวางรากลึกลงในองค์พระเยซูคริสต์

การสร้างบ้าน บนศิลา หมายถึง การเป็นคริสเตียนที่เชื่อฟังและตอบสนองต่อพระวจนะของพระเจ้า การเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งสอน เป็นรากฐานที่มั่นคง ซึ่งจะทำให้ผู้เชื่อนั้นสามารถฝ่ากับมรสุมต่างๆได้

ในทางตรงกันข้ามพี่ - น้องที่รักครับ ถ้าบ้านในฝ่ายจิตวิญญาณของเรา ซึ่งหมายถึง ชีวิตของผู้เชื่อ ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ไม่ได้ถูกวางรากลึกลงในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า อย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว หรือได้ยินได้ฟัง ถ้อยคำของพระองค์แล้ว กลับเพิกเฉย ในคำสอนเหล่านั้น พี่ - น้องคิดว่าผลของมันจะออกมาเป็นอย่างไรครับ ?

เมื่อคราวที่ฝนตกหนักและน้ำท่วมใหญ่ ทางภาคเหนือตอนล่างของไทย เมื่อกลางปีที่แล้วพบว่า มีบ้านเรือนเป็นจำนวนมาก พังทลาย สาเหตุแรก น่าจะมาจาก การวางรากฐาน ที่ไม่มั่นคง แข็งแรง สาเหตุที่สอง น่าจะมาจาก การที่มีขอนไม้ ไหลลงมาจากบนภูเขา อันเนื่องมาจากการตัดไม้ทำลายป่า ได้เข้ามาปะทะและค้างอยู่ตามเสาเรือน บ้านหลังไหนที่ลงเสารากลึก และเจ้าของคอยดูแลผลักดัน ขอนไม้ที่จะไหลเข้ามาปะทะกับเสาเรือน ให้พ้นออกไป บ้านหลังนั้นก็จะพ้นภัย

พระเยซูตรัสว่า “ แต่ผู้ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และไม่ประพฤติตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตก น้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ยิ่งใหญ่ ”

ซึ่งนั่นหมายความว่า บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณ ซึ่งหมายถึง ทั้งในชีวิตส่วนตัวและในส่วนของครอบครัวของผู้เชื่อเองก็ตาม ถ้าไม่ได้มีการวางรากลงลึกในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า หรือไม่ได้วางรากลงลึกในพระธรรมคำสอนอย่างถูกต้องและเหมาะสมแล้ว พระคำของพระเจ้าได้บอกกับเราว่า เขาก็เสมือนกับผู้ที่โง่เขลา

เพราะเมื่อมี ฝน แห่งการทดลอง ในฝ่ายเนื้อหนัง เข้ามา หรือเมื่อมีฝน แห่งการชั่วร้าย จากกิจการของมาร - ซาตาน วิญญาณชั่วเข้ามา หรือเมื่อมีฝนแห่งการโจมตี ในย่านฟ้าอากาศเข้ามาในชีวิต พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า เรือนนั้นก็จะพังทลายลง ซึ่งหมายความว่า เขาก็จะล้มลงในการทดลองนั้น และการซึ่งพังทลายนั้นก็ยิ่งใหญ่ หมายความว่า เมื่อมีการทดลองในลักษณะเดียวกันเข้ามา เขาก็จะล้มลงในการทดลองในฝ่ายร่างกายนั้นอีกต่อไป ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ตราบใดที่บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตของผู้เชื่อนั้น ไม่ได้มีการวางรากลงลึก ในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า หรือไม่ได้มีการวางรากลึกลง ในพระวจนะ ของพระองค์อย่างแท้จริง

เพราะเมื่อมีน้ำ ที่ไหลเชี่ยวกรากเข้ามา ซึ่งเปรียบเสมือน กับความทุกข์ยากลำบาก หรือเปรียบเสมือนกับ อุปสรรค ปัญหา ที่ไหลเข้ามาในชีวิต พระคำของพระเจ้า บอกกับเรา

เรือนนั้นก็จะพังทลายลง ซึ่งหมายความว่า เขาจะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการแบบมนุษย์ คือ พึ่งพาสติปัญญา และความรอบรู้ของตนเอง แบบลองผิด ลองถูก แบบไปหาคนนู้นที คนนี้ที เพราะคิดว่าเขาน่าจะช่วยเราได้ แม้ว่าเขาจะแก้ไขปัญหานั้นผ่านไปแล้ว สักครู่หนึ่ง แต่ปัญหาเดิมนั้นแหละ มันก็จะกลับมาเป็นปัญหาหาเขาอีก ซึ่ง อ. มนูญศักดิ์ ได้สอนพวกศิษยาภิบาลในพันธกิจ ไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้เองว่า ฐานะของเรา คือ บุตรของพระเจ้า เราก็จะต้องแก้ไขปัญหาแบบในทางของพระเจ้าไม่ใช่แก้ไขปัญหาในแบบของมนุษย์

วันนี้พี่น้องแก้ไขปัญหาในแบบของพระเจ้าหรือในแบบของมนุษย์ครับ และการซึ่งพังทลายนั้นก็ยิ่งใหญ่ ซึ่งหมายความว่า ปัญหาเดิมก็ยังคงอยู่ ปัญหาใหม่ก็พร้อมอยู่ ทุกเวลา ทุกนาที ที่จะโถมซัดเข้ามาอย่างไม่จบ ไม่สิ้น ซึ่งเขาเองก็จะต้องเผชิญกับ สถานการณ์เช่นนี้ต่อไปและต่อไป ตราบใดที่บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตของผู้เชื่อนั้น ไม่ได้มีการวางรากลงลึกในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า หรือไม่ได้วางรากลงลึก ในพระธรรมคำสอน ของพระองค์อย่างแท้จริง

เพราะเมื่อมี ลม พายุ ที่พัดแรงเข้ามาในชีวิต ซึ่งเปรียบเสมือนกับ ปัญหาที่หนัก การเจ็บไข้ได้ป่วย หรือการสูญเสียครั้งใหญ่ เช่น อยู่ ๆ บ้านลอยหายวับไปกับตา พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า

เรือนนั้นก็จะพังทลายลง   ซึ่งหมายความว่า เขาจะเป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก ถ้าพี่ - น้องมีโอกาส ได้พูด ได้คุย กับคนที่เผชิญกับเหตุการณ์ TSUNAMI พี่ - น้องก็จะได้พบกับคำตอบที่ว่า ตอนนี้ดิฉันยังคิดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้จะทำอย่างไงต่อไป ขอเวลาตั้งสติก่อน สิ้นหวังแล้วชีวิตนี้     ผมยังงงๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เลย ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่าง

และการซึ่งพังทลายนั้นก็ยิ่งใหญ่ ซึ่งหมายความว่า กว่าที่เขาจะได้คืนมานั้น เขาจะต้องเหน็ดเหนื่อย เขาจะต้องใช้เวลานานหรือเขาอาจจะไม่ได้มันคืนมาเลย เช่นเดียวกับ บ้านในฝ่ายจิตวิญญาณหรือชีวิตของผู้เชื่อ ถ้าไม่ได้วางรากลึกลง ในองค์พระเยซูคริสต์หรือไม่ได้วางราก ลึกลงในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างมากที่บ้านหลังนั้นหรือเรือนหลังนั้นจะไม่ได้รับพระพรหรือขาดพระพรของพระเจ้า

ผู้เชื่อบางคนกว่าจะได้รับพระพรนั้นกลับคืนมา ต้องเหน็ด ต้องเหนื่อย ต้องใช้เวลานานมาก ในการที่จะกู้พระพรของพระเจ้านั้นกลับคืนมา ซึ่งพระเจ้า ไม่ได้มีความปรารถนาเลยน๊ะครับพี่ - น้อง ที่จะให้เราทั้งหลายนั้น ต้องขาดพระพรของพระองค์ แต่ที่เราต้องขาดพระพรของพระเจ้าเพราะอะไรครับ ? เพราะตัวของเราเอง

การสร้างเรือนของตนไว้บนทรายหมายถึง การวางรากลึกลงอย่างฉาบฉวย หมายถึง ผู้เชื่อ ที่วางรากลึกลงแบบผิวเผิน หมายถึง การไม่เชื่อฟังและไม่ตอบสนอง ต่อพระวจนะของพระเจ้า หมายถึง การชอบอยู่ในชีวิตเก่า มากกว่าอยู่ในชีวิตใหม่ เป็นต้น ชีวิตของคนเหล่านี้ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า คนโง่ ก็จะต้องพังทลายลง เพราะเขาจะไม่สามารถ ที่จะฝันฝ่ากับมรสุมหรือฝันฝ่ากับอุปสรรค หรือกับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเขาได้ ขอพระเจ้าช่วยเรา ที่เราทั้งหลาย เมื่ออยู่ในองค์พระเยซูคริสตเจ้าแล้ว เราจะเป็นคนฉลาด ( เอเมน ) และไม่เป็นคนโง่อีกต่อไป ( สรรเสริญพระเจ้า )

บ้านที่พระคำของพระเจ้ากล่าวถึงนั้นมีสองแบบ

แบบที่ 1 คือ บ้านที่มีพระเจ้า   บ้านแบบที่ 2 คือ บ้านที่ไม่มีพระเจ้า

บ้านที่มีพระเจ้าและพระเจ้าทรงพอพระทัยนั้น จะรักการนมัสการพระเจ้า จะรักการอธิษฐาน จะรักการใคร่ครวญหรือภาวนาถึงพระคำของพระองค์ จะรักการประกาศ รักการเป็นพยานและให้เกียรติแก่พระเยซู จะรักพระเจ้าโดยการมีส่วนร่วมในการปรนนิบัติและรับใช้พระองค์ เขาจะให้กุญแจทุกๆ ดอก ภายในบ้านหลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นกุญแจบ้าน กุญแจห้องนอน กุญแจห้องนั่งเล่น และรวมทั้งให้กุญแจรถภายในบ้านหลังนั้น แก่พระเจ้าด้วยซึ่งตรงกันข้ามกับบ้านแบบที่ 2

บ้านแบบที่ 2 คือ บ้านที่ไม่มีพระเจ้า บ้านในลักษณะที่สองนี้ เขาจะรักน้ำลาย คือ รักที่จะพูดแต่สิ่งที่ไร้สาระ รักการพูดโกหก รักการทะเลาะเบาะแว้ง รักการดูหนัง ฟังละคร  รักที่จะทำตามใจตนเองมากกว่าที่จะทำตามพระวจนะ รักความสนุกสนาน รื่นเริง มากกว่าความจริง ของชีวิต รักที่จะยึดติดอยู่กับบ้านในโลกนี้ (ซึ่งบ้านในโลกนี้ เป็นสิ่งที่จะต้องผุพัง เน่าเปื่อย สูญสลาย ไม่ถาวรนิรันดร์) มากกว่าบ้านในสวรรค์ที่พระเยซู ได้ทรงจัดเตรียมเอาไว้เพื่อเรา เวลานี้พี่น้องทราบแล้วว่าบ้านแบบไหน ที่พระเจ้าทรงชอบและพอพระทัย ส่วนพี่น้องจะชอบแบบเดียวกันกับพระองค์หรือไม่อย่างไรท่านเป็นผู้เลือกเอง

Green City