ข่าวประเสริฐ (การประกาศ)

                                     คำเทศนาเรื่อง     การประกาศ  ยน. 4 : 1 - 3

พี่ - น้องครับ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ผมมีโอกาสนั่งใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในโลกของเราผมพบว่าใน 3 ปีที่ผ่านมาโลกของเราได้เผชิญกับภัยธรรมชาติอย่างรุนแรงหลายครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งก็ได้นำความสูญเสียอย่าประเมินค่าไม่ได้

ถ้าพี่ - น้องได้ติดตามข่าวและถ้ายังจำได้ประมาณเดือน ก.ย. ที่ผ่านมาพายุเฮอร์รี่เคนที่มีชื่อว่า เคทเธอร์ลีน่า ได้ซัดเอาบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวเมืองเท็กซัสและชาวเมืองฟลอริด้า มลายหายไปกับสายน้ำ มากกว่า 60,000 ครอบครัวที่เดือดร้อนที่พักอาศัย และหลังจากนั้นไม่นาน พายุเฮอร์รี่เคนที่มีชื่อว่า ลิต้า ก็ได้ซัดเอาบ้านเรือนรวมทั้งทรัพย์สินของชาวเมืองเม็กซิกัน มลายหายไปกับสายน้ำเดือดร้อนไม่แพ้กัน ล่าสุดส่งท้ายปี 2005

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2005 ที่ผ่านมาได้เกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศปากีสถานมีคนเสียชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้ประมาณ 54,000 คน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 04 - 05 ผมพบว่าประเทศไทยของเราได้พบกับปัญหาน้ำท่วมหนักโดนน้ำท่วมหนักทั้ง 4 ภาค ทั้งทางภาคเหนือ อีสาน กลางและภาคใต้ จ. เชียงใหม่เพียงจังหวัดเดียว โดยเฉพาะปี 05 มีน้ำท่วมสูงถึง 5 ครั้ง ซึ่งคนเชียงใหม่พูดกันเองน๊ะครับว่า มันเกิดอาเพศอะไรขึ้นก็ไม่รู้ เพราะน้ำท่วมเชียงใหม่ในครั้งนั้น ท่วมในจุดที่ไม่เคยท่วมมาก่อน ท่วมใจกลางเมืองซึ่งเป็นย่านเศรษฐกิจที่สำคัญ ผมพบว่าทางตอนใต้ของประเทศโดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เกิดกลียุคขึ้นมาแล้ว 3 ปีติดต่อกัน

พี่ - น้องครับ ทุกๆปัญหาที่เกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาระดับโลกหรือระดับประเทศก็ตาม ดูเหมือนว่าผู้ที่เกี่ยวข้องได้พยายามหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้นก็ยังคงอยู่   แต่ก็น่าแปลกใจตรงที่ว่าที่แก้อย่างไรก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่เสมอและรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากเหตุผลเดียวเท่านั้นครับ นั่นคือการที่มนุษย์มีใจที่กบฏต่อพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า ทอดทิ้งพระเจ้า ต่อสู้กับพระเจ้า ไม่ยำเกรงพระเจ้า ขาดการถวายเกียรติแด่พระองค์ และที่สำคัญที่สุดคือปัจจุบันมนุษย์ได้วางใจและพอใจกับสิ่งสารพัดวัตถุและเข้าใจผิดว่า การที่มนุษย์ได้มีทรัพย์สิน เงินทองไว้ครอบครองเป็นจำนวนมากนั้นเป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จ ท่าทีของมนุษย์เช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของคำว่า สังคมวัตถุนิยม

พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ยรม. 5 : 25 ได้ตรัสเอาไว้ดังนี้ว่า “ สิ่งดีๆ ได้มลายหายไป ”และใน ยรม. 5 :30 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า “ สิ่งที่ตกตะลึง หวาดเสียวเกิดขึ้นแก่แผ่นดิน ”

พี่น้องที่รักครับ ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน เราจะต้องเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่านี่

1 ) เป็นสัญญาเตือนที่มาจากพระเจ้า 2 ) เป็นข้อความเตือน ที่พระเจ้าส่งมาถึงคริสเตียนโดยตรงว่าพระองค์มาแล้ว ใกล้แล้ว แต่ยังมาไม่ถึง

คำถามคือว่า ในระหว่างที่พระองค์ยังมาไม่ถึงเราอยู่ในท่าทีอะไร

เราควรจะอยู่ในท่าที ที่เราดีใจที่พระองค์จะเสด็จกลับมารับเราเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือ เราควรจะอยู่ในท่าทีที่เราอธิษฐานกับพระเจ้าเพียงอย่างเดียว และอธิษฐานว่าพระองค์เจ้าข้าภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้น ขออย่าส่งผลกระทบต่อข้าพระองค์เลย

                        จากพระวจนะคำของพระเจ้าที่เราได้อ่านร่วมกัน เราพบอะไร

เราพบว่าในสมัยของพระเยซูเจ้านั้น พระองค์ออกสั่งสอนเรื่องข่าวประเสริฐ ทรงออกจากแคว้นยูเดีย เพื่อจะกลับไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์มีความจำเป็นที่จะต้องเดินผ่านสะมาเรีย เวลาประมาณเที่ยงวันพระองค์ทรงเหนื่อยและหิว จึงแวะไปที่บ่อน้ำและได้พบกับหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่ง พระองค์ทรงถ่อมพระทัยพูดคุยกับเธอ ซึ่งโดยปกติชาวยิวแท้ๆนั้นจะไม่พูดคุย หรือจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชาวสะมาเรียเลย แม้แต่การนมัสการพระเจ้าองค์เดียวกันเค้าก็จะไม่ยืนนมัสการพระเจ้าใกล้กันหรือที่เดียวกัน แต่พระเยซูคริสต์ไม่ได้คิดและไม่ได้สนใจว่าเธอจะเป็นชาวอะไร พระองค์คิดและสนใจเพียงอย่างเดียว คือจะสำแดงพระองค์ ให้เธอทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ได้อย่างไร

ในข้อที่ 13 - 14พระคำของพระเจ้าตรัสว่าพระเยซูตรัสตอบว่า “ ทุกคนที่ดื่มน้ำนั้นจะกระหายอีกแต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้นจะบังเกิดเป็นน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์

ในข้อที่ 15 พระคำของพระเจ้าตรัสว่านางทูลพระองค์ว่า ท่านเจ้าค่ะขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีกและจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่

พี่น้องครับ คำพูดที่ว่า ท่านเจ้าค่ะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีกและจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่ ของหญิงชาวสะมาเรียคนนี้นั้น ทำให้พระเยซูมองเห็นถึงจิตวิญญานที่หิวกระหายของหญิงสาวผู้นี้ พระเยซูจึงสนทนากับนางเรื่อยไป

ในข้อที่ 25นางทูลพระองค์ว่า “ ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาพระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เราในข้อที่ 26 พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ เราที่พูดกับเจ้า คือผู้นั้นแหละ ”

พี่น้องที่รักครับ ปกติพระเยซูจะใช้สรรพนามเรียกแทนพระองค์เองว่าบุตรมนุษย์ แต่สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าจะเข้าใจความหมายเฉพาะว่า บุตรมนุษย์คือพระนามของ พระเมสสิยาห์หรือองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง ภายหลังจากที่พระเยซูตรัสว่า “เราที่พูดกับเจ้า คือผู้นั้นแหละ”

ในข้อที่ 28 หญิงนั้น จึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกกับคนทั้งปวงว่า “ มาเถิดมาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัด ซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์ ”

พี่น้องครับ การที่คนเพียงคนเดียว พูดกับพระเยซูว่า ท่านเจ้าค่ะขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิดเพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีกและจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่ ก็ทำให้พระองค์ทรงสงสารจิตวิญญานที่หิวกระหายของเธอพอควรอยู่แล้ว

แต่พระคัมภีร์บอกกับเราว่า คนเป็นจำนวนมากพากันออกมาหาพระเยซูเพื่อรอฟังคำสอนของพระองค์ ทำให้พระเยซูมองเห็นถึงจิตวิญญาณที่หิวกระหายของผู้คนอีกมากมาย ทำให้พระองค์มองพวกเขาเหล่านั้นด้วยใจเมตตา สงสาร มันเป็นความห่วงใยที่ออกมาจากความรู้สึกลึกๆ จากข้างในที่จะเฉยๆหรือปล่อยผ่านเลยไปไม่ได้ ในเวลานั้นสาวกของพระองค์กลับมาจากตลาดเพื่อซื้ออาหารมาให้พระองค์ทานแต่พระเยซูไม่ยอมทานอาหารและทรงตรัสสอนสาวกของพระองค์ว่า 1.เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาเหลืองอร่ามถึงเวลาที่เกี่ยวแล้ว

พี่น้องครับ ชาวยิวมักจะพูดว่าอีก 4 เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าว เช่น เดียวกับคนไทยที่ชอบพูดว่าเดี๋ยวก่อน รอก่อน พรุ่งนี้ก่อน เอาไว้พรุ่งนี้ก็ได้

พี่น้องที่รักครับ ข่าวประเสริฐได้เข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลา 180 ปีแล้ว เข้ามาก่อนประเทศเกาหลีใต้ เข้ามาก่อนประเทศจีน แต่ปัจจุบันประเทศไทยเรามีคริสเตียนต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ จากสำมโนประชากรทั้งสิ้น 60,000,000 กว่าล้านคน คำถามคือว่าแล้วอีก 99 % ที่เหลือเป็นหน้าที่ของใคร

เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องเงยหน้าขึ้นแล้วมองดูประเทศไทยของเรา จังหวัดของเรา ชุมชนของเรา สายสัมพันธ์ของเรา 99 % ที่เหลืออยู่นั้น ในอดีตที่ผ่านมาเราได้ปล่อยให้มาร ซาตานได้ทำงานของมันตลอด 24 ชั่วโมงเหมือนเซเว่น - อิเลฟเว่น (ไม่มีวันหยุด ) มามากพอแล้ว บัดนี้ เวลานี้ ถึงเวลาแล้วที่คนของพระเจ้าจะนำอีก 99 % ที่เหลือมาถึงพระคริสต์

พี่น้องที่รักครับครับ ตอนนี้พระเจ้ากำลังเร่งข้าวในประเทศไทยจนเหลืองอร่ามแล้วภัยพิบัติต่างๆไม่เคยเกิดก็ได้เกิดขึ้นแล้วในหลายๆจังหวัด หลายคนกำลังเดือดร้อนจากปัญหาที่เกิดขึ้น หลายคนพบปัญหาและภาระหนักในชีวิต

หลายคนกำลังเบื่อกับวิธีการแก้ไขปัญหาที่ไม่สามารถช่วยเขาได้ ให้เรานำคนเหล่านั้นมาหาพระเจ้า นำคนเหล่านั้นมาสัมผัสถึงความรักของพระองค์ ไม่เช่นนั้นวิญญาณจิตของเค้าจะฟ้องต่อพระเจ้าว่าที่เค้าไม่รู้จักพระเจ้า ที่เค้าไม่เชื่อพระองค์เพราะไม่มีใครบอกเค้า

พี่น้องที่รัก การที่คนเป็นจำนวนมากพากันออกมาหาพระเยซู เพื่อรอคำสอนของพระ

องค์ ทำให้พระองค์มองเห็นถึงจิตวิญญานที่หิวกระหายของคนอีกมากมาย ในเวลานั้นสาวกของพระองค์กลับมาจากตลาดเพื่อซื้ออาหารมาให้พระองค์ทานแต่พระเยซูไม่ยอมทานและทรงตรัสสอนสาวกของพระองค์ว่า ( ให้เราเปิดไปที่ มัทธิว 9 : 37-38 )

            พระองค์ทรงตรัสสอนว่า “เงยหน้าขึ้นดูนาเถิดว่าข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากนักหนาแต่คนงานยังน้อยอยู่”

พระองค์ทรงตรัสสอนว่า “ เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าอีก 99 % นั้นมีมากนักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ ”

พี่น้องครับ คนทำงานเพื่อตนเอง คนทำงานเพื่อครอบครัว คนทำงานเพื่อเกียรติ ลาภ ยศ สรรเสริญนั้นมีมาก แต่คนที่ตั้งใจเสียสละ อดทนทำงานเพื่อพระเจ้า ( อย่างแท้จริง ) นั้นมีน้อยมาก

ในมัทธิว 4 : 19 เมื่อพระเยซูตรัสเรียกเปโตรให้ออกไปจับคนแทนจับปลา ท่านเปโตรก็สละแหของท่านและถวายตัว ติดตามพระเยซูไป

เช้าวันนี้ ถ้าพระเจ้าทรงตรัสเรียกภายในจิตใจของท่าน เช่นเดียวกับ ที่พระเยซูทรงตรัสเรียกเปโตร ให้ท่านเชื่อฟังการทรงเรียกนั้น ให้ท่านถวายตัวต่อพระเจ้าเป็นคนงานของพระองค์

เช้าวันนี้ ถ้าพระเจ้าทรงตรัสเรียกภายในจิตใจของอนุชนในคริสตจักร ให้อนุชนเชื่อฟังการทรงเรียกนั้น ถวายตัวไปเรียนพระคริสตธรรม เพื่อเตรียมตัวเป็นคนงานที่พระเจ้าจะทรงใช้งานได้

เช้าวันนี้ถ้าพระเจ้าทรงตรัสเรียกภายในจิตใจของท่านอย่างชัดเจน เหมือนกับที่พระองค์ทรงเรียกเปโตรในพระธรรม ลูกา 5 : 11 “ว่าอย่ากลัวเลยตั้งแต่นี้ไป ท่านจะเป็นผู้จับคน” ให้ท่านเชื่อฟังการทรงเรียกนั้น ให้ท่านถวายตัวต่อพระเจ้าเป็นคนงานของพระองค์ แต่ถ้าการทรงเรียกนั้นไม่ชัดเจน เหมือนกับที่พระองค์ทรงเรียกเปโตร ท่านก็ไม่จำเป็นที่ต้องละทิ้งอาชีพของท่าน แต่ก็อย่าได้เข้าใจผิดว่าพระเจ้าไม่ใช้ท่าน ไม่ว่าท่านจะมีอาชีพอะไรหรือมีตำแหน่งหน้าที่การงานอะไรท่านก็เป็นคนงานคนหนึ่งของพระเจ้าที่สามารถรับใช้พระเจ้าได้ภายใต้อาชีพของท่าน

ในฝ่ายร่างกาย ท่านสามารถรับใช้พระเจ้าได้ โดยให้ความร่วมมือกับผู้นำคริสตจักรอย่างเต็มที่ ร่วมรับใช้กับคนของพระเจ้าตามของประทาน

ในฝ่ายจิตวิญญาน ท่านสามารถรับใช้พระเจ้าได้โดยการอธิษฐาน ในมธ 9 : 38

ท่านสามารถรับใช้พระเจ้าได้โดยการอธิษฐาน อ้อนวอนต่อพระบิดา ผู้เป็นเจ้าของนา ขอให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยว ท่านสามารถรับใช้พระเจ้าได้โดยการอธิษฐาน ขอผู้รับใช้แท้ เพิ่มขึ้นที่จะออกไปเก็บเกี่ยวข้าวในทุ่งนาของพระเจ้า

ท่านสามารถรับใช้พระเจ้าได้โดยการอธิษฐาน ขอผู้รับใช้เพิ่มขึ้นที่จะออกไปสั่งสอนให้เขาเป็นสาวกแท้ของพระเยซู

พี่น้องที่รักครับ ผมขอบคุณพระเจ้าเมื่อผมมาเป็นคริสเตียน พระเจ้าได้ให้ผมมีโอกาสประกาศกับสายสัมพันธ์ซึ่งเป็นพี่น้องมุสลิมด้วยกัน และแม้ว่าเค้าจะพูดกับผมว่า คุณไม่มีพ่อ - ไม่มีแม่หรือ...ก็ไม่เป็นไร ผมก็ไม่รู้สึกท้อใจ และถ้าพระวิญญานบริสุทธิ์นำให้ผมประกาศกับคนมุสลิมอีกผมก็จะประกาศ ผมขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าได้ให้ผมมีโอกาสประกาศกับผู้คนมากมายทั้งที่ จ. อุดร และ จ. บุรีรัมย์ และที่อื่นๆ

คนที่ผมพารับเชื่อบางคนก็ไม่ได้กลับใจใหม่อย่างแท้จริง   บางคนก็ทำให้ผมรู้สึกท้อใจและหลายครั้งไม่อยากประกาศเป็นพยาน เพราะผู้เชื่อใหม่บางคนทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดมากจนลืมไม่ลงจริง

แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่คอยช่วยประเล้า ประโลมจิตใจผม หลายครั้งที่ผมมีส่วนรับใช้ ในการประกาศใหญ่กับคริสตจักร แต่ก็รู้สึกหมดกำลังใจแทบทุกครั้งเช่นกัน เพราะพี่ - น้องไม่พร้อมใจกันแต่ขอบคุณพระเจ้าที่พระวจนะของพระเจ้าเป็นยาขนานเอกที่หนุนใจผม

พระคำของพระเจ้าใน ยน. 4 : 36 ตรัสดังนี้ว่า “ คนเกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง และกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกัน” อย่าท้อใจเลย เพราะพระเยซูตรัสว่าทั้งคนหว่านและคนเกี่ยว หมายถึง พระเยซูกับคนงานของพระองค์ จะชื่นชมยินดีร่วมกันในวันสุดท้ายที่จะมาถึง

พี่น้องที่รัก เพชร นิลจินดาในโลกนี้ตีค่าก็มีราคาแต่การที่ผมและพี่ - น้องได้รับค่าจ้างจากพระเจ้านั้น ไม่มีเครื่องมือชนิดใดในโลกนี้ที่สามารถประเมินค่าจ้างของพระเจ้าได้ (อาเมน) ขอหนุนใจพี่ - น้อง 1 ครท. 15 : 58 “เหตุฉะนั้นพี่ - น้องที่รักขอข้าพเจ้า ท่านจงตั้งมั่น อย่าหวั่นไหว จงปฏิบัติงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบรูณ์ทุกเวลา ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า การงานของท่านจะไร้ประโยชน์ก็หามิได้”

พี่น้องที่รัก พระเจ้าได้พูดกับผมผ่านผู้รับใช้ 2 ท่าน ท่านพูดกับผมอย่างนี้ครับว่า อ.ก้อง การประกาศกับการสร้างสาวกคุณทำได้เพียงในโลกนี้เท่านั้น เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษา คุณไม่สามารถทำได้อีกแล้ว

วันนี้พระเจ้าอยากจะพูดกับพี่น้องเหมือนกับที่พระเจ้าพูดกับข้าพเจ้าว่า การประกาศกับการสร้างวกคุณทำได้เพียงในโลกนี้เท่านั้น เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาพิพากษาคุณไม่สามารถทำได้อีกแล้ว

ให้เราลุกขึ้นยืนด้วยกันและอธิษฐานกับพระองค์ผู้เป็นเจ้าของนาว่า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่ ใช้ข้าพระองค์เถิดที่จะเป็นคนงานของพระเจ้า ใช้ข้าพระองค์เถิด ในการประกาศ ในการประกาศและเป็นพยานเพื่อที่จะนำคนไทย นำคนทุกระดับชั้นกลับมาหาพระเจ้าซึ่งจะนำความชื่นชมยินดี มายังแผ่นดินโลกและแผ่นดินสวรรค์ ขอพระเจ้าทรงใช้ข้าพระองค์ มากกว่าก่อน

           

Green City