การให้แบบพระคริสต์

คำเทศนาเรื่อง การให้แบบพระคริสต์

          กจ.20:35 (ก) ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย (ข) ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

          มีใครบ้างที่นี่ ที่อยากเป็นที่เกลียดชังของผู้คน ? ทุกคนล้วนอยากเป็นที่รักด้วยกันทั้งสิ้น เสน่ห์อย่างหนึ่งของการเป็นที่รักนั่นคือ “การให้” โดยเฉพาะเดือนนี้มีวันวาเลน์ไทน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หลายคนจึงมีการให้นั่นนี่นู่นกันเยอะแยะมากมาย ซึ่งโดยส่วนมากทั้งผู้ให้และผู้รับ ต่างคุ้นเคยการให้และการรับแบบไหนครับ ?

          เป็นรูปวัตถุสิ่งของ เช่น เงิน , ข้าวของเครื่องใช้ และอื่นๆ ซึ่งทั้งผู้ให้และผู้รับต่างคุ้นเคยการให้และการรับแบบนี้มาโดยตลอด เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากจนเป็นสิ่งที่ผู้รับและผู้ให้ต่างคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

          ท่าน อ.เปาโล พูดไว้ใน กจ. 20:35 ท่านเลี้ยงชีพด้วยเงินที่ท่านหามาได้ก็จริง แต่ท่านดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความสุขด้วยการให้ออกไป

          เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาที่ตัวของเราเอง เราพบว่าการให้ออกไปของเราในบางครั้งทำไมเราถึงไม่มีความสุข หรือทำไมการให้ออกไปของเราในบางครั้งถึงทำให้ผู้รับรู้สึกผิดหวัง เราเคยจับสัญญาณความรู้สึกนี้ได้ไหมครับ ?

          เพราะฉะนั้นในเช้าวันนี้ เราจะมาเรียนรู้ในเรื่องการให้ที่ถูกต้อง ตามวิธีการของพระเจ้า ตามหลักการแห่งพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ด้วยกัน

                    ประการที่ 1 กจ.3:6 เปโตรกล่าวว่าเงินและทองเราไม่มีแต่ที่เรามีอยู่เราจะให้ท่านคือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธจงเดินเถิด

          พระคำของพระเจ้าในข้อนี้ สอนเรา 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือ การให้ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง เรื่องของเงินทองหรือวัตถุสิ่งของเสมอไป เรื่องที่ 2 คือ ให้ในสิ่งที่เรามี

          ยิ่งถ้าเรามีน้อย หรือมีมั่งไม่มีมั่ง เราให้ได้ไหมครับ ?

          พระคำของพระเจ้าจึงเน้นถึงการให้ในสิ่งที่เรามีก่อนเป็นอันดับแรก และสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนมี นั่นก็คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า และเรื่องราวขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเราสามารถให้กับทุกคนได้ตลอดเวลาเสมอไหมครับ ?

          และพระคำของพระเจ้า มธ.28:19-20 บอกกับเราว่า ลูกของพระเจ้าสามารถที่จะให้ข่าวประเสริฐนี้กับผู้คนได้โดยไม่มีที่สิ้นสุดจนถึงปลายสุดของแผ่นดินโลก

          เพราะฉะนั้นความสุขในชีวิตของท่าน อ.เปาโล ไม่ได้เกิดจากการรับ แต่เกิดจากการให้ แต่เกิดจากการมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น เราทุกคนที่อยู่มรานี่ โยส่วนตัวผมเชื่อว่าเรามีวิญญาณนี้อยู่ในชีวิตของเราทุกคน

          การให้ตามวิธีการของพระเจ้า ตามหลักการแห่งพระคริสต์ธรรมคัมภีร์

                    ประการที่ 2 ยน.8:8-11 แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก

          9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพัง กับหญิงคนนั้นที่อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ 10 พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ" 11 นางนั้นทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย" และพระเยซูตรัสว่า "เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก"]

          การให้ที่ยิ่งใหญ่นอกจากให้ข่าวประเสริฐแล้ว คือ การยกโทษให้อภัย คนไทยเนี่ยแปลก คนไทยเราปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยสรรพสัตว์ได้ทุกอย่าง แต่ไม่ยอมปล่อยคน

          การไม่ยอมปล่อยคน หมายถึง การไม่ยอมยกโทษให้อภัยคนตราบใดก็ตามที่เราไม่ปล่อยคน ไม่ยอมยกโทษ ไม่ยอมให้อภัยผู้คน นั่นก็เท่ากับว่า เราได้ปล่อยสารพิษเข้าสู่ร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณเข้าสู่ตัวของเราเอง เราจะมีความสุขได้ไหมครับ ?

          นอกจากจะไม่มีความสุขแล้ว เราไม่มีวันที่จะเป็นผู้เป็นที่รักของใครได้

          พระคำของพระเจ้าใน ยน.8:8-11 บอกกับเรา 3 ประการ

                    ประการแรกว่า พระเจ้าทรงยกโทษ-อภัยและให้โอกาสแก่เราเสมอ เราเองก็ควรที่จะยกโทษ ให้อภัย-อภัยและให้โอกาสแก่ผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกัน

                    ประการที่ 2 ไม่มีใครไม่เคยทำผิด แต่ถ้าเราไม่ให้อภัยเขา เขาจะเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร ? ด้วยเหตุนี้พระบิดาจึงได้ทรงประทานพระบุตรเข้ามาในโลก เพื่อนำเราทั้งหลายคืนดีกับพระบิดาบนสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง

          และเราจะรู้ว่า ใครได้ยกโทษหรือให้อภัย แก่คู่กรณีหรือยัง ให้เราดูในสิ่งที่เขาพูด ดูในสิ่งที่เขากระทำ ดูว่าเขายังพูดถึงคู่กรณีในทางลบหรือไม่ ดูว่าเขาอธิษฐานเผื่อคู่กรณีหรือไม่ ? ถ้าเขายังพูดถึงคู่กรณีในทางลบบ่อยๆ  ไม่เคยอธิษฐานเผื่อคู่ขัดแย้งเลย นั่นแสดงว่า เขายังไม่ได้มีการยกโทษหรืออภัยอย่างแท้จริง

                    ประการที่ 3 การออกกำลังกายที่ดีที่สุดโดยเฉพาะกับหัวใจ ไม่ใช่การวิ่ง ไม่ใช่การเต้นแอร์โรบิคแด๊นซ์ แต่การออกกำลังกายที่ดีที่สุดโดยเฉพาะกับหัวใจ นั่นก็คือ การโน้มกายลง การก้มตัวลง เพื่อพยุงคนอื่นให้ลุกขึ้นมา

          การให้ตามวิธีการของพระเจ้า ตามหลักการแห่งพระคริสต์ธรรมคัมภีร์

                    ประการที่ 3 สภษ.14:16 เพราะคนชอบธรรมล้มลง เจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีกแต่คนชั่วร้ายจะถูกความลำบากยากเย็นคว่ำลง

          พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่าเราถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมไม่ใช่ด้วยการทำความดี แต่เราถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

          พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ผู้ชอบธรรมสามารถล้มลงได้ไหมครับ ? 7 ครั้งในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง จำนวนแต่อย่างใด แต่ 7 ครั้งในที่นี้ หมายถึง ผู้ชอบธรรมอาจล้มลงได้จนนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อคนล้มลงเราต้องทำอย่างไรครับ ? ไม่เพียงคนล้มอย่างข้ามเท่านั้นแต่ให้เราฉุดเขาขึ้นมา

          พระคำของพระเจ้าต้องการที่จะบอกกับเราในประการที่ 3 นี้นั่นก็คือว่า

                    3.1 องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงรับรู้เรื่องราวในชีวิตของนางมารีย์หญิงโสเภณีเป็นอย่างดี

          พระองค์จึงรีบฉุดชีวิตของนางขึ้นมา เราผู้ซึ่งรับรู้เรื่องราวของคนๆนั้นเป็นอย่างดี เราก็ต้องควรรีบฉุดชีวิตคนๆนั้นขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน เราจะฉุดเขาขึ้นมาด้วยการอธิษฐานเผื่อหรือไปเยี่ยมเยียนหนุนใจและหรือวิธีการใดๆก็อีกเรื่องหนึ่ง

                    3.2 การยกโทษให้อภัย คือ เรื่องของใจ ส่วนการช่วยเหลือ คือ เรื่องของมือ

                    3.3 การให้ใจถือว่ายิ่งใหญ่แล้ว การให้มือเพื่อฉุดคนที่ล้มให้เขาลุกขึ้นใหม่ได้ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

          ลก.6:38 จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย และในตักของท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ให้ เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น"

          ลก.6:38 ทำให้เราทราบถึงหลักการของพระเจ้า หลักการของพระเจ้า คือ หว่านสิ่งใดก็จะได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ถ้าพี่น้องหว่านสิ่งดี พี่น้องก็จะได้รับการเก็บเกี่ยวในสิ่งที่ดี

          ถ้าพี่น้องหว่านหัวใจแห่งการเชื่อฟังโดยการประพฤติปฎิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พี่น้องจะได้รับพระพรตามพระสัญญาของพระองค์นั้นทุกประการ หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า คนที่ทำตามพระคัมภีร์ได้ดีกันทุกคน

          ดังนั้นเมื่อเราช่วยคนที่ล้มให้มีโอกาสได้ลุกขึ้นใหม่ได้ เมื่อถึงคราวที่เราล้ม พระเจ้าจะทรงฉุดเราให้ลุกขึ้นใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน

          การให้ตามวิธีการของพระเจ้า ตามหลักการแห่งพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ประการที่ 4 กจ.20:19-20 ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ด้วยน้ำตาไหล และด้วยถูกการทดลอง ซึ่งมาถึงข้าพเจ้าเพราะพวกยิวคิดร้ายต่อข้าพเจ้า  และสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็น กับได้สั่งสอนท่านในที่ประชุมและตามบ้านเรือน

          กจ.20:27 เพราะว่าข้าพเจ้ามิได้ย่อท้อ ในการกล่าวเรื่องพระดำริของพระเจ้าทั้งสิ้นให้ท่านทั้งหลายฟัง

          กจ.20:33-35 เหตุฉะนั้นจงตื่นตัวอยู่ และจำไว้ว่าข้าพเจ้าได้สั่งสอนเตือนสติท่านทุกคนด้วยน้ำตาไหล ทั้งกลางวันกลางคืนตลอดสามปีมิได้หยุดหย่อน 32 บัดนี้ข้าพเจ้าฝากท่านไว้กับพระเจ้าและกับคำแห่งพระคุณของพระองค์ ซึ่งมีฤทธิ์อาจก่อสร้างท่านขึ้นได้ และให้ท่านมีมรดกด้วยกันกับบรรดาวิสุทธชน 33 ข้าพเจ้ามิได้โลภเงินหรือทอง หรือเสื้อผ้าของผู้ใด 34 ท่านทั้งหลายทราบว่า มือของข้าพเจ้าเองได้จัดหาปัจจัยสำหรับตัวข้าพเจ้า กับคนที่อยู่กับข้าพเจ้า 35 ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า "การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ

          การให้ตามวิธีการของพระเจ้า ตามหลักการแห่งพระคริสต์ธรรมคัมภีร์

                    ประการที่ 4 คือ การให้ความรู้ ความเข้าใจ การให้คำแนะนำ ซึ่งผู้รับอยากได้ไหมครับ ? ส่วนใหญ่อยากได้ทรัพย์ อยากได้วัตถุ-สิ่งของจริงหรือไม่จริง ?

          ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว การให้ความรู้ ความเข้าใจ การให้คำแนะนำ เป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นทรัพย์ล้ำค่ามากกว่าการให้ทรัพย์สินเงินทอง เพราะความรู้ความเข้าใจมันจะติดตามตัวเขาไปตลอดชีวิต ไม่มีใครสามารถขโมยเอาไปได้ มันจะตกผลึกอยู่ใน 1 ) สมอง 2 ) จิตใจของเขา

          อ.เปาโล บอกว่าท่านได้ให้ความรู้ , ให้ความเข้าใจ , ให้คำแนะนำแก่พี่น้องในคริสตจักรเมืองเอเฟซัสทั้งกลางวัน กลางคืน ด้วยน้ำตาไหลและด้วยการถูกทดลองและทำอย่างนี้มาตลอดระยะเวลา 3 ปี โดยไม่ได้ย่อท้อ ในทางตรงกันข้ามท่าน อ.เปาโล กับมีความสุขที่ได้

                    1) ให้เรื่องราวของพระเจ้า พระเยซูคริสต์แก่พี่น้องคริสตจักรในเมืองเอเฟซัส

                    2) ได้เห็นพี่น้องคริสตจักรในเมืองเอเฟซัสนั้นมีความเชื่อในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ที่มั่นคง

          ให้ด้วยน้ำตา ให้ด้วยการยอมอยู่กับพี่น้องชาวเมืองเอเฟซัสนานถึง 3 ปี เพื่อจะเจียระไนชีวิตของพี่น้องคริสตจักรเมืองเอเฟซัสให้เติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า เป็นการให้ที่งดงาม

          เมื่ออ่านพระคำของพระเจ้าในตอนนี้ทีไรผมก็จะปรารภกับ อ.ดา ทุกครั้งว่าชีวิตของผมก็ดูไม่ต่างจากท่าน อ.เปาโล ในตอนนี้สักเท่าไหร่ ผมต้องอดทนกับพี่น้องไม่น้อยทั้งๆที่ก็ไม่ได้อะไรจากคริสตจักร

          แถมยังต้องหาการถวายเข้ามาปิดงบรายจ่ายของคริสตจักรฯเป็นประจำทุกเดือน แต่เมื่อเห็นพี่น้องเติบโตขึ้นทางความเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผมก็รู้สึกหายเหนื่อย สันติสุขของพระเจ้าเข้ามาแทนที่ก็ทำให้ผมไม่ย่อท้อที่จะรับใช้พระเจ้า ณ.คริสตจักรแห่งนี้ต่อไป

          การให้ตามวิธีการของพระเจ้า ตามหลักการแห่งพระคริสต์ธรรมคัมภีร์

                    ประการที่ 5 ฟลป.1:21เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร ให้อุดมการณ์

          อยู่เพื่อพระคริสต์ คำนี้ ไม่ได้หมายถึงอยู่ในคริสตจักรทั้งวันทั้งคืนโดยไม่มีเป้าหมายในชีวิต อ.เปาโล อยู่กับพี่น้องคริสตจักรเมืองเอเฟซัสนานถึง 3 ปี เพื่ออยากเห็นพี่น้องเติบโตขึ้น เข้มแข็งขึ้นในทางของพระเจ้า

          นี่คือการอยู่เพื่อพระคริสต์ซึ่งเป็นอุดมการณ์ในการรับใช้ของท่าน อ.เปาโล ใครมีอุดมการณ์ก็จะใช้ชีวิตอย่างมีหลักการ ใครมีอุดมการณ์เขาก็จะรู้ว่าเขาเหนื่อยเพื่ออะไร

          ท่าน อ.เปาโล ใช้ชีวิตอยู่กับพี่น้องคริสตจักรในเมืองเอเฟซัสนานถึง 3 ปี นอกจากอยากเห็นพี่น้องเจริญเติบโตขึ้นทางความเชื่อในทางของพระเจ้าแล้ว ท่าน อ.เปาโล ต้องการถ่ายทอดอุดมการณ์เหล่านี้ให้กับพวกเขาด้วย

          ซึ่งกว่าผู้เชื่อคนหนึ่งจะรับอุดมการณ์ ชีวิตต้องแตะชีวิต วิญญาณต้องแตะวิญญาณ ส่งผลให้ผู้เชื่อในคริสตจักรยุคแรกแตะคนทั้งโลกได้

          การให้ตามวิธีการของพระเจ้า ตามหลักการแห่งพระคริสต์ธรรมคัมภีร์

                    ประการที่ 6 การให้ปัญญา

          สภษ.8:10-12 จงรับคำสั่งสอนของเราแทนเงิน และความรู้แทนทองคำอย่างดี 11 เพราะปัญญาดีกว่าทับทิม และสิ่งที่เจ้าปรารถนาทั้งหมดจะเปรียบเทียบกับปัญญาไม่ได้ 12 เราคือปัญญา อยู่ในความหยั่งรู้ และเราพบความรู้และความเฉลียวฉลาด

          การมีความรู้ถือว่ายอดแล้ว แต่การมีปัญญาถือว่ายอดกว่า เพราะปัญญาเหนือความรู้ เพราะฉะนั้นในแต่ละวันเราจะต้องอธิษฐานขอความรู้ ขอความเข้าใจและขอสติปัญญาจากพระเจ้าโดยเฉพาะในยุคที่สภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนี้

          สภษ.20:12 หูที่ฟังได้และตาที่มองเห็น พระเจ้าทรงสร้างมันทั้งสอง

          ปญจ.12:14 คนมีสติปัญญามีตาอยู่ในสมอง แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังเห็นว่า เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่เขาทั้งมวล

          สภษ.20:12 บอกกับเราว่า พระเจ้าทรงสร้างหูและตาขึ้นมา

          หูที่ฟังมีมาก ส่วนหูที่ได้ยินนั้นมีน้อย

          หูที่ฟังมีมาก หมายถึง หูฝ่ายเนื้อหนัง ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา

          หูที่ได้ยินมีน้อย หมายถึง 1 ) หูฝ่ายเนื้อหนังเหมือนกันแต่ทำให้เราได้คิดและนำเราไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลงแก้ไข พัฒนาชีวิตของเราไปในทางที่ดีขึ้น 2 ) หูที่ได้ยินเสียงที่พระเจ้าตรัสกับเรา

          พี่น้องได้ยินเสียงที่พระเจ้าตรัสกับพี่น้องเป็นการส่วนตัวล่าสุดเมื่อไหร่ ? อันนี้เป็นคำถามที่สำคัญ

          ถ้าพี่น้องตอบว่าไม่ได้ยินเสียงที่พระเจ้าตรัสกับพี่น้องเป็นเวลาที่นานมากแล้ว แสดงว่าพี่น้อง 1 ) ฟังแต่เรื่องเนื้อหนังโดยส่วนมาก 2 ) ไม่ได้มีการจัดเวลาส่วนตัวกับพระเจ้าจนพระเจ้าแทรกเข้ามาในชีวิของพี่น้องไม่ได้เลย

          ตาที่มองนั้นมีมาก แต่ตาที่เห็นนั้นมีน้อย

          ตาที่มอง หมายถึง ตาฝ่ายเนื้อหนัง , คนที่มองในฝ่ายโลก , คนที่มองในฝ่ายเนื้อหนัง คนที่มองตื้นๆ คนที่มองหยาบนั้นมีมาก

          ตาที่เห็น หมายถึง 1 ) ตาฝ่ายเนื้อหนังเหมือนกัน แต่เป็นคนที่มองลึก มองในรายละเอียดนั้นมีน้อย 2 ) ตาฝ่ายวิญญาณเป็นคนที่มองเห็นในฝ่ายวิญญาณ

          พี่น้องคิดว่าผู้รับใช้ของพระเจ้ามองฝ่ายวิญญาณ มองลึกได้ทุกคนไหมครับ ?  

          1 ซมอ.16:7 แต่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า "อย่ามองดูที่รูปร่างภายนอกหรือที่ความสูงแห่งร่างกายของเขา ด้วยเราไม่ยอมรับเขาเพราะพระเจ้าทอดพระเนตรไม่เหมือนกับที่มนุษย์ดู มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ"

          พระเจ้าตรัสกับซามูเอลว่าอย่ามองรูปลักษณ์ภายนอก แต่ให้มองท่าทีภายใน มองที่แรงจูงใจ ซึ่งนั่นหมายความว่า ใช่ว่าคนของพระเจ้าจะเข้าใจในเรื่องฝ่ายวิญญาณกันทุกคน

          เพราะฉะนั้นลูกของพระเจ้าต้องมีทั้ง 1 ) ตาที่มองและตาที่เห็น 2 ) ตาฝ่ายเนื้อหนังและตาฝ่ายวิญญาณ ปญจ.12:4 เรียกว่า มีตาอยู่ในสมอง โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่คนของพระเจ้าต้องมองสังคมโลก สังคมภูมิภาคอาเซียน สังคมในประเทศที่เป็นอยู่ในเวลานี้ คนของพระเจ้าจะต้องมองเห็นทั้ง 1) ในฝ่ายโลกและฝ่ายวิญญาณ โดยเฉพาะมองเห็นถึงการเคลื่อนไหวขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

          การให้ตามวิธีการของพระเจ้า ตามหลักการแห่งพระคริสต์ธรรมคัมภีร์

                    ประการที่ 7 2 คร.9:7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี

          ถ้าต้องให้ด้วยนึกเสียดาย  ถ้าต้องให้ด้วยใจที่ไม่ยินดี ไม่ต้องถวาย เพราะจะขาดพระพร

          ถ้าจะต้องให้ ไม่ใช่ให้เพราะสิบลดนั้นเป็นกฎเกณฑ์ แต่ให้เพราะเรารักและมีความศรัทธาพระเจ้า มีความซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้า การให้แบบนี้จะทำให้พี่น้องนั้นมีความสุขใจ

          การให้ตามวิธีการของพระเจ้า ตามหลักการแห่งพระคริสต์ธรรมคัมภีร์

                    ประการที่ 8 มธ.6:1-4 "จงระวัง อย่ากระทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ 2 "เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทำทานอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่าน เหมือนคนหน้าซื่อใจคด กระทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อให้คนสรรเสริญ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว

          3 ฝ่ายท่านทั้งหลายเมื่อทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำนั้น 4 ทานของท่านจะต้องเป็นทานลับ และพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นในที่ลี้ลับ จะทรงโปรดประทานบำเหน็จแก่ท่าน

          การที่เราได้ถวายให้กับคริสตจักรหรือได้ถวายให้กับพี่น้องที่มีความอ่อนแอด้านเศรษฐกิจ พระคำของพระเจ้าพูดอย่างชัดเจนว่า อย่าได้หวังผลตอบแทนใดๆเลย ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เกียรติยศ , ลาภยศและคำสรรสเสริญ , การชื่นชมจากมนุษย์และหรือแม้กระทั่งคำขอบคุณ

                    การที่เราให้แล้วเราสึกทุกข์หรือว่าผิดหวังนั่นเพราะว่าเราคาดหวัง พระคัมภีร์จึงบอกกับเราว่าอย่าหวังผลตอบแทน ประการที่สำคัญก็คือว่า การให้โดยหวังผลตอบแทน คือ การให้ที่มีความไม่บริสุทธิ์ใจ การให้โดยหวังตอบแทนพี่น้องอาจได้รับความรักจากผู้รับ แต่พี่น้องอาจจะไม่ได้รับความรักจากพระเจ้า เพราะฉะนั้นพี่น้องอยากได้รับความรักจากใครพี่น้องเลือกเอง

 

Green City