การเดินทางของชีวิต

คำเทศนาเรื่อง การเดินทางของชีวิต

        มีใครบางคนได้กล่าวเอาไว้ดังนี้ว่า ถ้าจะเปรียบชีวิตก็เหมือนกับการเดินทาง ซึ่งพี่น้องบางท่านอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ถ้าเราจะหยิบหรือยกเอาคำพูดนี้มาพินิจพิจารณา

        ผมก็อยากจะบอกกับพี่น้องว่า สำหรับบางคนการเดินทางนั้นอาจจะใกล้ สำหรับบางคนการเดินทางนั้นอาจจะมีหนทางที่ยาวไกลออกไป อีกทั้งการเดินทางของชีวิตใครหลายๆคนอาจจะมีองค์ประกอบนั่นนี่นู่นเยอะแยะมากที่เข้ามาเกี่ยวข้องที่จะทำให้การเดินทางชีวิตของเขานั้นประสบความสำเร็จ

        Ex.เช่น เขาต้องมีความฝัน  มีความปรารถนา มีจินตนาการ มีความมุ่งมั่นตั้งใจ สิ่งต่างๆที่ผมได้กล่าวมาเมื่อครู่นี่คือองค์ประกอบที่จะทำให้การเดินทางของชีวิตเรานั้นประสบความสำเร็จ ซึ่งถ้าเราไปถึงจุดนั้นได้ดีไหมครับ ?

        ปฐก.37:5-11 คราวหนึ่งโยเซฟฝันแล้วเล่าให้พวกพี่ชายฟัง พวกพี่ชายยิ่งชังโยเซฟมากขึ้น 6 โยเซฟเล่าว่า "ฟังความฝันซึ่งฉันฝันเห็นซิ 7 พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในนา ทันใดนั้น ฟ่อนข้าวของฉันตั้งขึ้นยืนตรง แต่ฟ่อนข้าวของพวกพี่ๆ มาแวดล้อมกราบไหว้ฟ่อนข้าวของฉัน" 8 พวกพี่ชายจึงถามโยเซฟว่า "เจ้าจะปกครองเรากระนั้นหรือ เจ้าจะมีอำนาจครอบครองเราหรือ" พวกพี่ชายก็ยิ่งชังโยเซฟมากขึ้นอีกเพราะความฝัน และเพราะคำของเขา 9 ต่อมาโยเซฟก็ฝันอีก จึงเล่าให้พี่ชายฟังว่า "ฉันฝันอีกครั้งหนึ่ง เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวสิบเอ็ดดวงกำลังกราบไหว้ฉัน" 10 เมื่อเล่าให้บิดาและพวกพี่ชายกับน้องฟัง บิดาก็เตือนโยเซฟว่า "ความฝันที่เจ้าได้ฝันเห็นนั้นหมายความว่าอะไร เรากับมารดาและพี่น้องของเจ้าจะมาซบหน้าลงถึงดินกราบไหว้เจ้ากระนั้นหรือ" 11 พวกพี่ชายอิจฉาโยเซฟ บิดาก็นิ่งตรองเรื่องนี้อยู่แต่ในใจ

        พระคำของพระเจ้าในตอนนี้ ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า ในการเดินทางของชีวิตโยเซฟนั้น เขามีจินตนาการ เขามีความฝัน เขามีความปรารถนา

และถ้าพี่น้องได้อ่านเรื่องราวของโยเซฟด้วยความตั้งใจและถ้าพี่น้องยังจำกันได้ พี่น้องก็จะพบว่าโยเซฟนั้นเขามีความมุ่งมั่นตั้งใจในการที่จะเอาชนะต่ออุปสรรคปัญหาจนกระทั่งฝันของโยเซฟนั้นเป็นจริง

        และเบื้องหลังการเดินทางที่ทำให้ชีวิตของโยเซฟได้พบกับความสำเร็จนั้น คือ ความฝันของเขานั้นเคลื่อนไปกับเป้าหมายเคลื่อนไปกับพระประสงค์ของพระเจ้า

        นอกจากนี้เรื่องราวของโยเซฟยังได้บอกกับเราอย่างชัดเจนในเรื่องอะไรอีกครับ ? โยเซฟเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จการเดินทางของชีวิตในฝ่ายโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น คือ เป็นนายกรัฐมนตรี ในการบริหารจัดการประเทศอียิปต์แทนฟาโรห์ แต่โยเซฟเขายังประสบความสำเร็จการเดินทางของชีวิตในด้านฝ่ายจิตวิญญาณด้วย คือ เขาสามารถนำพี่น้องกลับคืนดีกันได้

        ผมขอย้ำอีกครั้งหนึ่งนะครับว่า เบื้องหลังการเดินทางที่ทำให้ชีวิตของโยเซฟได้พบกับความสำเร็จนั้น คือ ความฝันของเขานั้นเคลื่อนไปกับเป้าหมายหรือเคลื่อนไปกับพระประสงค์ของพระเจ้า ฝันของโยเซฟนั้นจึงเป็นจริง

        การเดินทางของชีวิตคริสเตียนไทยหลายคนก็ไม่แตกต่างอะไรไปจากโยเซฟในตอนนี้ คือ มีความฝัน มีความปรารถนาหรือมีความต้องการและหรือมีจินตนาการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ส่วนมากความฝัน ความปรารถนาและความต้องการของเราเป็นจริงเหมือนโยเซฟหรือไม่ ?

        เพราะความฝัน ความปรารถนาและความต้องการของเราส่วนมากแล้วมันไม่ได้เคลื่อนไปกับเป้าหมายหรือไม่ได้เคลื่อนไปกับพระประสงค์ของพระเจ้า

        Ex.เช่น หลายคนยังไม่มีบ้าน หลายคนยังไม่มีรถ (จะเป็นรถอะไรก็ตาม) จึงฝันอยากได้บ้าน อยากฝันได้รถ พาตัวเองเข้ามาสู่การอธิษฐาน ขออาจารย์และพี่น้องช่วยกันอธิษฐาน จนกระทั่งได้ทั้งบ้าน , ทั้งรถ

        ตอนประกอบพิธีถวายบ้านหรือถวายรถ มอบให้กับพระเจ้า ผู้ประกอบพิธีก็จะถามว่าท่านสัญญานั่นนี่นู่น ส่วนมากเจ้าของบ้าน เจ้าของรถ ก็จะพูดว่าข้าพเจ้าสัญญานั่นนี่นู่น

แต่ข้อเท็จจริง เราได้ให้บ้านของเราเป็นพระพรกับผู้รับใช้ของพระเจ้า เป็นพระพรกับพี่น้องในพระกายของพระคริสต์ เป็นกลุ่มเซลล์หรือเป็นกลุ่มสามัคคีธรรมกี่มากน้อยแค่ไหน

        แต่ข้อเท็จจริง เราได้ให้รถของเราเพื่อแผ่นดินของพระเจ้าหรือเพื่อพระราชกิจของพระเจ้าและหรือเพื่อกิจการของข้าพเจ้าเราได้ให้อะไรมากกว่ากัน

        สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องก็คือว่า การเดินทางไกลของชีวิตโยเซฟนั้นไม่เพียงแต่เขามี 1) จินตนาการหรือมีความฝันเท่านั้น 2) ความปรารถนาหรือมีความต้องการเท่านั้น แต่ชีวิตของโยเซฟเดินทางไกลและไปถึงหลักชัยแห่งความสำเร็จในชีวิตทั้งในฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณได้

        เพราะโยเซฟนั้นมีความคิดและมีสายตาที่ยาวและกว้างไกลคำว่ามีสายตาที่ยาวและกว้างไกลไม่ใช่แบบ Bird's View Eye แปลว่า ภาพที่มองเห็นจากมุมสูงที่ทางโลกธุรกิจสอนกันนะครับ

        คำว่า โยเซฟนั้นมีความคิดและมีสายตาที่ยาวและกว้างไกลหมายความว่า โยเซฟเขามองทะลุถึงสิ่งที่เป็นนิรินดรกาลด้วยเรื่องราวของโยเซฟจึงถูกบันทึกไว้ตลอดเกือบ 6000 ปี เรื่องราวของโยเซฟจึงถูกบันทึกมาจนถึงวันนี้

        ดนล.12:2-3 และคนเป็นอันมากในพวกที่หลับในผงคลีแห่งแผ่นดินโลกจะตื่นขึ้น บ้างก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์บ้างก็เข้าสู่ความอับอายและความขายหน้านิรันดร์ 3 และบรรดาคนที่ฉลาดจะส่องแสงเหมือนแสงฟ้า และบรรดาผู้ที่ได้ให้คนเป็นอันมากมาสู่ความชอบธรรมจะส่องแสงเหมือนอย่างดาวเป็นนิตย์นิรันดร์

        จากพระคำของพระเจ้าในหนังสือ ดนล. ที่เราได้อ่านร่วมกันพูดถึงใครและพูดอะไร ?

        คำว่า “ล่วงหลับ กับ ล่วงลับ” สำหรับคริสเตียนที่เสียชีวิต เราเรียกว่า ผู้ล่วงหลับ พระคำของพระเจ้าตรัสว่า ทุกคนจะตื่นขึ้น ซึ่งนั่นหมายความว่า ความตาย ไม่ใช่จุดที่สิ้นสุดของชีวิตมนุษย์

        แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของโลกนิรันดร แต่สภาพภายหลังจากการตื่นขึ้นมาของแต่ละคนนั้นจะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนในโลกนี้

        หากไม่อยากตื่นขึ้นมาอย่างอับอายขายหน้า ก็อย่าคิดแต่เรื่องทำมาหากินอย่างเดียว แต่ให้คิดถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าและอาณาจักรของพระองค์ด้วย  คิดถึงการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าด้วย เพื่อพี่น้องจะไม่รู้สึกเสียใจเมื่อตื่นขึ้นมา  

        เพราะฉะนั้นการเดินทางของชีวิตให้ไปถึงหลักชัยแห่งความสำเร็จทั้งในฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณ อย่ามีเพียงแค่จินตนาการ ความฝัน ความปรารถนาหรือความต้องการของตัวเองเท่านั้น แต่ต้องมีความคิด มีสายตาที่ยาวและกว้างไกล หมายถึงมองทะลุให้ไปถึงสิ่งที่เป็นนิรันดรกาลด้วย

        ให้เราดู ลก.16:19-31 เป็นเรื่องราวของเศรษฐีกับลาซารัส

        19 "ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าสีม่วงและผ้าป่านเนื้อดี รับประทานอาหารอย่างประณีตทุกวันๆ 20 และมีคนขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัสเป็นแผลทั้งตัว นอนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านของเศรษฐี 21 และเขาใคร่จะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีนั้น แม้สุนัขก็มาเลียแผลของเขา 22 อยู่มาคนขอทานนั้นตาย และเหล่าทูตสวรรค์ได้นำเขาไปไว้ที่อกของอับราฮัม ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วยและเขาก็ฝังไว้ 23 แล้วเมื่ออยู่ในแดนมรณาเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน 24 เศรษฐีจึงร้องว่า "อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิดขอใช้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็นด้วยว่าข้าพเจ้าตรำทุกข์ ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้" 25 แต่อับราฮัมตอบว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความเล้าโลม แต่เจ้าได้รับความแสนระทม

        26 นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้" 27 เศรษฐีนั้นจึงว่า "บิดาเจ้าข้าถ้าอย่างนั้นขอท่านใช้ลาซารัสไปยังบ้านบิดาของข้าพเจ้า 28 เพราะว่าข้าพเจ้ามีพี่น้องห้าคน ให้ลาซารัสเป็นพยานแก่เขา เพื่อมิให้เขามาถึงที่ทรมานนี้" 29 แต่อับราฮัมตอบเขาว่า "เขามีโมเสสและพวกผู้เผยพระวจนะนั้นแล้ว ให้เขาฟังคนเหล่านั้นเถิด" 30 เศรษฐีนั้นจึงว่า "มิได้ อับราฮัมบิดาเจ้าข้า แต่ถ้าคนหนึ่งจากหมู่คนตายไปหาเขา เขาคงจะกลับใจเสียใหม่" 31 อับราฮัมจึงตอบเขาว่า "ถ้าเขาไม่ฟังโมเสสและพวกผู้เผยพระวจนะ แม้คนหนึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย เขาก็จะยังไม่เชื่อ""

      ลูกา 16 :19-31 เป็นคำอุปมาของพระเยซู  สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า คำอุปมาของพระเยซูนั้นเป็นเรื่องเล่าในฝ่ายโลกแต่มีความหมายหรือเล็งถึงในโลกของฝ่ายวิญญาณเสมอ

         พระคัมภีร์พูดถึงชาย 2 คน คนหนึ่งคือเศรษฐีอีกคนหนึ่งเป็นขอทานคนหนึ่งชื่อว่าลาซารัส การเดินทางชีวิตของชาย 2 คนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

การเดินทางของชีวิตของเศรษฐีคนนี้ เราพอที่จะเข้าใจได้ไหมครับว่า เขามีความฝัน มีความปรารถนา มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผิด แต่คุณรวยเพื่อ ?

        การที่เศรษฐีคนนี้รวยแล้วแต่ “ขี้ยังไม่ให้หมากิน” “เศษอาหารหล่นถึงพื้นแล้วยังไม่ให้เขาเก็บ” ซึ่งนั่นหมายความว่า เศรษฐีคนนี้เขาประสบความสำเร็จในฝ่ายกายภาพ ในฝ่ายวัตถุแต่ในฝ่ายจิตวิญญาณแล้วเขาล้มเหลว เพราะเขาไม่มีความคิด ไม่มีสายตาที่ยาวและกว้างไกล ในการมองทะลุให้ไปถึงสิ่งที่เป็นนิรันดรกาล

        และในการเดินทางของชีวิตคริสเตียนหลายต่อหลายคนก็เป็นแบบเศรษฐีคนนี้ คือ อยากที่จะประสบความสำเร็จ เราอยากร่ำรวยเหมือนกับเศรษฐีคนนี้  ซึ่งไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผิด

แต่พี่น้องจะต้องตอบพระเจ้าให้ได้ว่า คุณอยากที่จะประสบความสำเร็จหรืออยากที่จะร่ำรวยเพื่อ ?

        กลับมาที่ ลก.16:19-31 พระคำของพระเจ้าพูดถึงการเดินทางชีวิตของโลกแห่งกาลอนาคตว่านรกสวรรค์นั้นมีจริง ในข้อที่ 26 บอกกับเราลึกลงไปว่าทั้ง 2 โลกนั้นจะเดินไปมาหาสู่กันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่เศรษฐีร้องขอต่ออับราฮัมว่าให้ลาซารัสเอาน้ำเพียงแค่ปลายนิ้วมาให้เขาดื่มสักหน่อยทำได้ไหมครับ ?

        อับราฮัมบอกกับเศรษฐีว่าเมื่อลาซารัสยังมีชีวิตอยู่น้ำหนองที่แผลของเขายังให้เป็นพระพร ในขณะที่เจ้าเป็นเศรษฐีและประสบความสำเร็จในชีวิตเจ้าเป็นพระพรแก่ใครบ้างไหม

        ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไรครับ ? การประกาศ การเป็นพยาน การลงทุนในแผ่นดินของพระเจ้า การลงทุนในอาณาจักรของพระองค์ การเป็นพระพรต่อพระกายของพระคริสต์ เราทำได้ในแผ่นดินโลกนี้เท่านั้น เมื่อพระคริสต์เจ้าเสด็จกลับมา แล้วเราคิดอยากจะไปทำนั่นนี่นู่นไม่ต้องคิดแล้วเพราะเวลามันได้สิ้นสุดแล้ว

        เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องได้รู้ว่าเวลาของมนุษย์ทุกคนในโลกนี้มันมีที่สิ้นสุดและเวลาของโลกนี้ก็เช่นกันที่มันมีที่สิ้นสุด โลกนี้จึงเป็นโลกชั่วคราวและเราอาศัยอยู่ในโลกที่ชั่วคราว

        การเดินทางของชีวิตลาซารัสนั้นเขายากจนในโลกที่ชั่วคราวแต่เขาร่ำรวยในโลกที่ถาวรนิรันดร ส่วนการเดินทางของชีวิตเศรษฐีนุ่งห่มผ้าสีม่วงนั้น เขามั่งมีในโลกที่ชั่วคราม แต่เขายากจนในโลกที่ถาวรนิรันดร

        เพราะเขามีความฝัน มีความปรารถนา มีความต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตฝ่ายโลก แต่เขาไม่ได้มีความคิด ไม่ได้มีสายตาที่ยาวและกว้างไกล ในการมองทะลุให้ไปถึงสิ่งที่เป็นนิรันดรกาล เพราะฉะนั้นชีวิตในการเดินทางของเศรษฐีคนนี้จึงไปไม่ถึงหลักชัยของฝ่ายวิญญาณ

        พวกเราทราบกันดีว่าพระเจ้าสร้างฝ่ายกายภาพขึ้นมาก่อนแต่ฝ่ายจิตวิญญาณสำคัญที่สุดเพราะทำให้มนุษย์เคลื่อนไหวไปมาได้

เพราะฉะนั้นการเดินของชีวิตคริสเตียนซึ่งเป็นคนฝ่ายวิญญาณเราจะต้องคิดถึงเรื่องนี้เสมอ จะประสบความความสำเร็จในโลกนี้ แต่เราจะต้องปราชัยในโลกแห่งนิรันดรกาลเหมือนเศรษฐีคนนี้ไม่ได้

 

Green City