การบริหารจัดการชีวิต

คำเทศนาเรื่อง การบริหารจัดการชีวิต

      1คร. 6:2-3 ท่านไม่รู้หรือว่าธรรมิกชนจะพิพากษาโลก และถ้าพวกท่านจะพิพากษาโลก ท่านไม่มีสมรรถภาพจะพิพากษาตัดสินเรื่องเล็กๆน้อยๆหรือ 3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราจะพิพากษาพวกทูตสวรรค์ ถ้าเช่นนั้นจะยิ่งเป็นการสมควรสักเท่าใด ที่เราจะพิพากษาตัดสินความเรื่องของชีวิตนี้

      ถ้าจะให้แบ่งการบริหารจัดการชีวิตออกเป็นระดับต่างๆ และเพื่อให้พี่น้องเห็นภาพที่ชัดเจนผมขอแบ่งการบริหารจัดการชีวิตออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน

      ระดับแรก คือ การบริหารจัดการชีวิตระดับเล็กๆน้อยๆ ซึ่งการแปลพระคัมภีร์สมัยก่อนใช้คำว่า “มโนสาเร่” ตัวอย่างเช่น เรื่องอะไรบ้างที่เป็นการบริหารจัดการชีวิตระดับเล็กๆน้อยๆ ? วันนี้-พรุ่งนี้เราจะกินอะไร , วันนี้พรุ่งนี้เราจะมีเงินใช้มากน้อยเท่าไหร่ มันจะพอกับภาระค่าใช้หรือไม่ ? นี่คือตัวอย่างการบริหารจัดการชีวิตระดับเล็กๆน้อยๆหรือแบบมโนสาเร่

      ซึ่งเรื่องพวกนี้ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก คำถามคือว่า แต่ผู้เชื่อสอบผ่านในเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไหมครับ ? ผู้เชื่อส่วนมากหรือส่วนใหญ่ก็ยังสอบไม่ผ่าน

เมื่อการบริหารจัดการชีวิตในเรื่องเล็กๆน้อยๆของเรายังสอบไม่ผ่าน พระเจ้าจะให้เราไปบริหารจัดการชีวิตในเรื่องใหญ่ๆได้ไหมครับ ?

      การบริหารการจัดชีวิตระดับที่ 2 คือ การบริหารเรื่องชีวิต ซึ่งเปรียบได้กับการเรียนมหาวิทยาลัย เรื่องชีวิตที่ว่านี้ หมายถึง ชีวิตในโลกนี้และชีวิตในโลกหน้า ชีวิตในโลกนี้คือชีวิตที่อนิจจัง ส่วนชีวิตในโลกหน้า คือ ชีวิตนิรันดร

      คำถามคือว่า การบริหารจัดชีวิตในโลกที่เป็นอยู่ในเวลานี้มันง่ายหรือยากครับพี่น้อง ? แต่มันจะไม่เกินกำลังของคนที่เป็นลูกของพระเจ้าที่จะบริหารและจัดการได้

      การบริหารการจัดชีวิตระดับที่ 3 คือ การบริหารสวรรค์ร่วม กับพระเจ้า ซึ่งผู้เชื่อทุกคนถูกเรียกมาเพื่อสิ่งนี้ด้วย การบริหารสวรรค์ร่วมกับเปรียบได้กับการเรียนระดับศาสตราจารย์ ซึ่งการบริหารสวรรค์ร่วมกับพระเจ้าสำคัญมากไหมครับ ?

      ผู้เชื่อบางคนเป็นใหญ่ในแผ่นดินโลกนี้ก็จริงแต่เขาจะกลายเป็นผู้เล็กน้อยในแผ่นดินสวรรค์เพราะอะไรครับ ?

      รม.8:17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย

      ผู้เชื่อบางคนเป็นใหญ่ในแผ่นดินโลกนี้ก็จริงแต่เขาจะกลายเป็นผู้เล็กน้อยในแผ่นดินสวรรค์เพราะอะไรครับ ? เพราะเขาไม่ได้ทำหน้าที่ๆพระเจ้าได้มอบให้กับเขา อย่าลืมว่าผู้เชื่อทุกคนถูกเรียกว่าเป็นทายาทของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ การเป็นทายาทก็ต้องบริหารสวรรค์ร่วมกันกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้า

      และทั้งหมดที่กล่าวมาคือการอารัมภาบทหรือการเกริ่นนำเท่านั้นนะครับ ผมยังไม่ได้พาพี่น้องเข้าสู่การเทศนาแต่อย่างใด เช้าวันนี้เราจะมาดูการบริหารจัดการชีวิตที่ดีว่าต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ?

      ประการที่ 1 มธ.6:25 "เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ

      พระคำของพระเจ้าใน มธ.6:25 , บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า เราจะบริหารและจัดการชีวิตได้ดี คือ เราจะต้องให้ความสำคัญกับชีวิต

      คำถามคือว่า ชีวิต ตามหลักการพระคัมภีร์คืออะไร ? คือ ความสงบสุข การมีสันติสุข ความชื่นชมยินดี ความชอบธรรม แต่ปัจจุบันนี้มนุษย์มุ่งเน้นอะไรครับ ? ปัจจัย 4 มนุษย์จึงขาดการมีคุณภาพชีวิตที่ดี

      ยน.10:10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เรา ได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์

      ยน.10:10 พูดเอาไว้ 2 เรื่อง เรื่องแรกนั่นก็คือ การที่มนุษย์มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับปัจจัย 4 เป็นเหตุทำให้ขาดการมีคุณภาพชีวิตที่ดีเบื้องหลังนั่นก็คือมาร ซาตาน

      เรื่องที่ 2 ที่ ยน.10:10 พูดเอาไว้นั่นก็คือเราจะบริหารและจัดการชีวิตได้ดีคือ เราจะต้องให้ความสำคัญกับชีวิตและต้องเป็นชีวิตที่ครบบริบูรณ์ด้วย

        คำว่า “ชีวิตที่ครบบริบูรณ์” คำนี้หมายถึง เราต้องให้ความสำคัญกับทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณด้วย

      ให้ความสำคัญกับร่างกาย คือ ร่างกายต้องการอะไร ต้องบำรุงรักษาให้ดี

      ให้ความสำคัญกับจิตใจ คือ จิตใจต้องการอะไร ต้องตอบสนองให้ถูกทาง

      เราให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณเพราะอะไรครับ ? เพราะจิตวิญญาณเป็นตัวควบคุมจิตใจและร่างกาย

      ยน.6:63 จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต

      เราจะบริหารจัดการชีวิตได้ดีเราต้องให้ความสำคัญกับชีวิต ชีวิตประกอบไปด้วยร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ แต่จิตวิญญาณสำคัญที่สุด เพราะจิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต

      วันนี้คนที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เขาเสาะแสวงหาสิ่งของๆโลกจริงไหมครับพี่น้อง และต่อให้เขาได้มาซึ่งทั้งหมดแต่เขาจะต้องตกนรกจะมีประโยชน์อะไรไหมครับ ?

      ผู้เชื่อแม้ว่าเขาจะได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าก็จริงอยู่แต่ถ้าไม่ได้ร่วมบริหารพระราชกิจของพระเจ้าปราศจากบำเหน็จ ถึงตรงนั้นเราทนได้ไหมครับ ?

                เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการชีวิตที่ดี คือ เราจะต้องให้ความสำคัญกับชีวิตและชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณสำคัญกว่าชีวิตฝ่ายกายภาพ ดังนั้นในทุกๆวันเราควรเริ่มต้นโดยให้ความสำคัญกับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณก่อนฝ่ายร่างกายเสมอ

                การบริหารจัดการชีวิตที่ดีว่าต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ?

                ประการที่ 2 1 ทมธ.6:6-8 จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ 7 เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น 8 แต่ถ้าเราเสื้อผ้าก็ให้เรามีอาหารและพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด

                การบริหารจัดการชีวิตที่ดีมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ?

                ประการที่ 2 คือ เราจะต้องเข้าใจชีวิต เราจะต้องเข้าใจทั้งชีวิตในโลกปัจจุบันและเราจะต้องเข้าใจทั้งชีวิตในโลกอนาคตด้วย

                เราจะต้องเข้าใจว่า ชีวิตในโลกปัจจุบันเป็นชีวิตชั่วคราว

                เราจะต้องเข้าใจว่า ชีวิตในโลกอนาคตเป็นชีวิตไม่มีกาลเวลา

                พระคำของพระเจ้าใน  1 ทมธ.6:6-8 ทั้ง 3 ข้อที่เราได้อ่านร่วมกันจึงเป็นถ้อยคำที่ให้สติแก่เราอย่างมาก ซึ่งผมจะค่อยๆอธิบายให้พี่น้องฟังที่ละข้อ

                ก่อนอื่นพี่น้องยอมรับไหมครับว่า โลกของเราใบนี้กำลังอยู่ในสภาวะเสื่อมถอยลงทุกทีๆ สถานการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า โลกของเราใบนี้กำลังอยู่ในสภาวะเสื่อมถอยลงทุกๆ แต่ตอนนี้มนุษย์ทั่วโลกกำลังทำอะไรครับ ? เหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งหาซึ่งวัตถุสิ่งของหรือกับการอยากได้ใคร่มีของตนอย่างไม่รู้จักพอ

Ex. เช่น Forex-3D BitKub BitCoin การ Trade อัตรแลกเปลี่ยนสกุลเงินและอื่นๆอีกมากมาย จึงก่อให้เกิดความทุกข์สารพัดทุกข์ของใครหลายต่อหลายคนในขณะนี้จริงหรือไม่จริง

1 ทมธ.6:7-8 แต่ถ้าเราเสื้อผ้าก็ให้เรามีอาหารและพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น พอให้เป็น

จริงอยู่เราได้รับประโยชน์มากมายจากทางของพระเจ้า พร้อมทั้งความสุขใจ การบริหารจัดการชีวิตด้วยความเข้าใจในโลกปัจจุบัน เราต้องรู้ว่าเรามีเพื่อที่จะให้ เรามีเพื่อที่จะเป็นพระพร เรามีเพื่อที่จะเป็นเกลือและแสงสว่าง

                นี่คือการบริหารจัดการชีวิตในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันที่เราจะต้องเข้าใจ ซึ่งมันจะส่งผลต่อการบริหารจัดการชีวิตในอนาคตของเราด้วยไหมครับ ?

ชีวิตคนเราเมื่อตายไป ไม่ว่าจะฝังหรือเผา ตามพระวจนะของพระเจ้าคือร่างกายล้วนกลับสู่ดินทั้งสิ้น แต่จิตวิญญาณของมนุษย์มาจากลมปราณของพระเจ้า สิ่งนี้เป็นนิรันดรและไม่มีวันตาย

                เมื่อร่างกายจากไปแต่จิตวิญญาณของมนุษย์นั้นต้องกลับไปอยู่กับพระเจ้า เพราะฉะนั้นชีวิตในโลกอนาคตเป็นชีวิตไม่มีกาลเวลา ชีวิตในโลกกาลอนาคตเป็นชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ

                เมื่อชีวิตในโลกแห่งกาลอนาคตมีจริง บำเหน็จแห่งกาลอนาคตมีจริงด้วยไหมครับ ? แต่เราจะได้รับบำเหน็จแห่งกาลอนาคตไหม

ถ้าในโลกปัจจุบัน เราได้รับพระพรจากพระเจ้า แต่เราไม่เคยที่จะให้หรือเป็นพระพรแก่ใครและหรือไม่เคยเป็นเกลือเป็นแสงสว่างกับใครเลย

                ดังนั้นการบริหารจัดการชีวิตที่ชาญฉลาดคือเราจะต้องเข้าใจชีวิตในโลกปัจจุบันที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในเวลานี้และเราจะต้องเข้าใจในโลกแห่งกาลอนาคตด้วย

และทุกศาสนาก็สอนในเรื่องโลกแห่งกาลอนาคตด้วยไม่อย่างนั้นคนพุทธเขาไม่ออกมาทำบุญตักบาตรกันตอนเช้าในทุกๆวัน แต่ผู้เชื่อไม่ต้องทำบุญตักบาตร แต่เราต้องรู้ว่าเรามีเพื่อที่จะให้ เรามีเพื่อที่จะเป็นพระพร                 เรามีเพื่อที่จะเป็นเกลือและแสงสว่าง เราก็จะได้รับบำเหน็จแห่งกาลอนาคตอย่างแน่นอน

การบริหารจัดการชีวิตที่ดีมีองค์ประกอบอะไรบ้าง ?

                ประการที่ 3 ยน.12:24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก

                ประการที่ 3 คือ ต้องเป็นผู้ปลูกชีวิต ไม่ใช่กัดกินชีวิต

                พี่น้องที่รักครับ การบริหารจัดการชีวิตที่ดีนอกจากเราต้องให้ความสำคัญกับชีวิตและการเข้าใจชีวิตเท่านั้น ซึ่งผมได้แบ่งปันไปแล้วในประการที่ 1 และ 2 แต่การบริหารจัดการชีวิตที่ดีเราจะต้องเป็นผู้ “ปลูกชีวิต” ไม่ใช่ “กัดกินชีวิต”

                 “การปลูกข้าว” คือ “ปลูกตัวเอง” การเฝ้าเดี่ยว การนมัสการการอธิษฐานหรือการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวคือ ปลูกความรู้ ปลูกปัญญา ปลูกคุณธรรมให้กับตัวเอง

                การบริหารจัดการชีวิตที่ดี คือ เราต้องรู้ว่าชีวิตนั้นสำคัญและชีวิตในฝ่ายวิญญาณสำคัญกว่าชีวิตในฝ่ายกายภาพ เพราะฉะนั้นทุกวันที่เราตื่นขึ้นมาแต่เรากับไม่ได้ปลูกตัวเองในทางของพระเจ้า นั่นก็เท่ากับว่าท่านกำลังกัดกินชีวิตอของตัวเราเอง

                เพราะฉะนั้นเมื่อเราปลูกชีวิต เราจึงได้มีความเข้าใจในชีวิต เข้าใจทั้งชีวิตในโลกนี้ เข้าใจทั้งชีวิตในกาลอนาคต เข้าใจในชีวิตในโลกนี้ เข้าใจอย่างไร ?

                Ex. เช่น เมื่อเราพบคนที่ทุกข์ยากลำบาก พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำความคิดจิตใจพี่น้องให้ทำความดี ด้วยการอธิษฐานเผื่อผู้อื่นโดยที่เราไม่ต้องถามเขาด้วยซ้ำไปว่าเขามีปัญหาอะไร

แต่ถ้าเราไม่ได้ “ปลูกชีวิต” ฝ่ายวิญญาณในแต่ละวันด้วย การเฝ้าเดี่ยว การนมัสการ การอธิษฐานหรือการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวคุณธรรมของพระเจ้าจะอยู่กับเราไหมครับ

                ดังนั้นเมื่อเราเจอคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ตัวภายในของเรามันก็จะบอกกับตัวเองว่า 1) เรามียังไม่ค่อยมีเลย 2) เรายังเอาตัวไม่ค่อยรอดเลย 3) ภาระเรายังรออยู่ข้างหน้าอีกมาก 4) เอาไว้ให้เรามีมากก่อนแล้วเราค่อยจะมาช่วยเขา 5 ) เขาคงไม่มีปัญหาอะไรคงไม่ต้องอธิษฐานเผื่อเขาก็ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่า พี่น้องไม่ได้ “ปลูกชีวิต” แต่พี่น้องกำลัง “กัดกินชีวิต”

                มก.9:41 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ใดจะเอาน้ำถ้วยหนึ่งให้พวกท่านดื่ม เพราะท่านทั้งหลายเป็นฝ่ายพระคริสต์ ผู้นั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้

                พระคำของพระเจ้าพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใดจะเอาน้ำสักถ้วยหนึ่งให้พวกท่านดื่มจะขาดบำเหน็จก็หามิได้

                เมื่อพี่น้องอ่านพระคำของพระเจ้าแล้วพบคำว่า “บำเหน็จ” ขอให้พี่น้องได้รู้และได้เข้าใจให้ตรงกันนะครับว่า หมายถึง “บำเหน็จ” หรือ “พระพร” ที่เราจะได้รับทั้งในโลกปัจจุบันที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้และในโลกแห่งกาลอนาคตด้วย

                ทำไมผมถึงไม่ขาดพระพรหรือได้รับพระพรตลอด เพราะหลายครั้งที่เพื่อนผู้รับใช้หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าขอการช่วยเหลือมาผมไม่ค่อยปฎิเสธ หลายครั้งที่ผมอธิษฐานเผื่อคนนั้นคนนี้ตามการทรงนำโดยที่ไม่ได้ไปถามอะไรเขา เมื่ออธิษฐานเสร็จผมจึงเขียนไปบอกเขา นี่คือเบื้องหลังที่ทำให้ผมได้รับพระพร

        ทำไมคริสตจักรถึงไม่ขาดพระพรหรือได้รับพระพรตลอด เพราะหลายครั้งที่เพื่อนผู้รับใช้ขอความช่วยเหลือในเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามา แน่นอนเราอาจช่วยไม่ได้แต่สิ่งที่เราช่วยได้คืออธิษฐานเผื่อประสานหาความช่วยเหลือจากที่อื่น นี่คือเบื้องหลังที่ทำให้ผมได้รับพระพร

        การบริหารจัดการชีวิต หรือ การ “ปลูกชีวิต” ตามหลักการพระคัมภีร์ ไม่ใช่เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว ต้นข้าวในนามีไหมครับ ? ที่มันโตต้นเดียว

        การบริหารจัดการชีวิต หรือ “การปลูกชีวิต” ตามหลักการพระคัมภีร์คือ เราต้อง “ปลูกชีวิต” คนอื่นเพื่อที่เราจะเติบโตไปพร้อมๆกัน แต่เราต้อง “ปลูกชีวิต” หรือ บริหารจัดการชีวิตของเราให้ดีก่อน เราถึงจะไป “ปลูกชีวิต” คนอื่นให้เติบโตได้

        เมื่อเรา “ปลูกชีวิต” หรือบริหารจัดการชีวิตของเราได้ดี เราก็จะ “ปลูกชีวิต” คนอื่นได้ไหมครับ ? ปลูกคริสตจักรได้ไหมครับ ? มีส่วนปลูกพระราชกิจของพระเจ้าร่วมกับพระเจ้าได้ไหมครับ ?

      เพราะฉะนั้นให้เราบริหารจัดการชีวิตให้ดี “ให้ดี” คำนี้หมายถึง ตามหลักการของพระเจ้า ไม่ใช่ตามหลักการของโลก ไม่ใช่ตามหลักปราชญา ไม่ใช่ตามหลักการของครูอ้อย เข็มทิศ ไม่ใช่ตามหลักการของ ฌอน บรูณะหิรัญ

        มหาตมะ คานธี ได้กล่าวถึงคริสเตียนเอาไว้ดังนี้ว่า “พวกคริสเตียนมีหนังสือสำคัญที่มีพลังอานุภาพมาก พร้อมที่จะระเบิดอารยะธรรมทั้งหมดให้กลายเป็นจุลและเปลี่ยนสังคมจากหน้ามือเป็นหลังมือ และนำสันติภาพมาสู่โลกที่ถูกฉีกขาดยับเยินจากสงคราม แต่พวกคุณกับอ่านหนังสือเล่มนี้ราวกับว่ามันเป็นวรรณกรรมเล่มหนึ่งแค่นั่นเอง”

คำถามคือว่า หนังสือเล่มนี้มันอยู่ที่ไหนในชีวิตของพี่น้องและพี่น้องให้ความสำคัญกับหนังสือเล่มนี้มากแค่ไหน ? สำหรับผมการบริหารจัดการชีวิตที่ชาญฉลาดมีอยู่ในหนังสือเล่มนี้ครับ

 

 

Green City