ค่านิยมของคริสตจักรแห่งนี้คือ เราได้รับความรอด เพื่อที่จะรับใช้ ไม่ใช่ได้รับความรอดแล้วเฉยๆแล้วอยู่รอวันตายเพื่อที่จะคอยเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า
คำถามคือว่า ถ้าผู้เชื่อคนใดก็ตามที่ได้รับความรอดแล้วเฉยๆแล้วอยู่รอวันตายเพื่อที่จะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าได้ไหม คำตอบก็คือ ได้ แต่ที่ไม่ได้นั่นก็คือ บำเหน็จแห่งสววรค์ และความรอดที่ได้คือ รอดดั่งไฟ
อีกทั้งการปรนนิบัติรับใช้พระเจ้ายังเป็นเรื่องที่ไม่ใช่จะทำให้เราได้บำเหน็จในกาลอนาคตเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของพระพรในแผ่นดินโลกนี้ด้วย เพราะฉะนั้นการรับใช้พระเจ้าเป็นเรื่องที่ดีไหมครับ ? แต่เราจะต้องเข้าใจในการรับใช้
ถ้าเราเข้าใจในการรับใช้ การรับใช้นั้นจะเป็นพระพรแก่ตัวเองและผู้อื่น แต่ถ้าเรามีใจรับใช้พระเจ้า แต่ถ้าไม่เข้าใจการรับใช้ การรับใช้นอกจากจะไม่เป็นพระพรแก่ตัวเองและผู้อื่นแล้ว
มันยัง 1. เป็นภัยต่อตัวเองและผู้อื่นด้วย 2. สร้างความวุ่นวายให้กับพระราชกิจของพระเจ้าด้วย
สิ่งที่พี่น้องจะต้องรู้และพี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่าในสมัยพระคัมภีร์เดิมนั้น การที่ใครจะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าได้นั้น ใครเป็นผู้เลือก ใครเป็นผู้เรียกครับ ? แตกต่างจากสมัยพระคัมภีร์ใหม่ที่พระเจ้าทรงเรียกผู้เชื่อทุกคนให้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าโดยเฉพาะในเรื่องของการประกาศข่าวประเสริฐ
มธ.28:19:20 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติสมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"
พระคำของพระเจ้าในใน อฟซ.4:11 ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็น อัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
มธ.28:19-20 การเป็นผู้รับใช้ระดับเบื้องต้น
อฟซ.4:11 การเป็นผู้รับใช้ที่มีของประทาน
กลับมาที่พระคำของพระเจ้าใน กดว.1-50 สิ่งที่พี่น้องจะต้องเข้าใจนั่นก็คือว่า พระคำของพระเจ้าในตอนนี้เป็นเหตุการณ์ระหว่างทาง ที่เกิดขึ้นภายหลังจากการที่โมเสสได้นำชนชาติอิสราเอลออกจากการตกเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์และโมเสสกำลังนำชนชาติอิสราเอลมุ่งหน้าไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญาที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งและน้ำนม / คานาอัน
ข้อที่ 1 โคราห์ ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในตระกูลหรือเผ่า เลวี ซึ่งคนที่เกิดในตระกูลนี้หรือเผ่านี้ถูกเลือกให้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า
ข้อที่ 2-3 พระคำของพระเจ้าบอกกับเราว่า โคราห์กับเพื่อนอีก 2 คน มีความไม่พึงพอใจ ความไม่พึงพอใจมี 2 อย่าง
อย่างแรก คือ มีความไม่พึงพอใจที่บริสุทธิ์ Ex.
อย่างที่ 2 คือ มีความไม่พึงพอพระเจ้าที่ไม่บริสุทธิ์ Ex.
ข้อที่ 10 บอกกับเราว่า โคราห์เค้าไม่อยากเป็นแค่เลวี เค้าไม่อยากเป็นเพียงผู้รับใช้ของพระเจ้า แต่เค้าอยากเป็นปุโรหิตย์เหมือนกับอาโรน คือ ยากมีตำแหน่ง
ในเวลานี้มีผู้เชื่อหลายคนที่มีวิญญาณของโคราห์นี้อยู่ในชีวิตกล่าวคือ เค้าไม่อยากเป็นเป็นเพียงแค่สมาชิกธรรมดาๆเท่านั้นแต่อยากลุกขึ้นมาเป็นอาจารย์ , ศิษยาภิบาล เป็นผู้เทศนาสั่งสอนในคริสตจักรกันเยอะแยะมากมาย ด้วยเหตุนี้ท่าน อ.ยากอบ จึงได้กล่าวเตือนเราเอาไว้ใน
ยก.3:1 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า อย่าให้เป็นอาจารย์กันมากหลายคนเลย เพราะท่านก็รู้ว่า เราทั้งหลายที่เป็นผู้สอนนั้น จะได้รับการทรงพิพากษาที่เข้มงวดกว่าผู้อื่น
แต่เมื่อโคราห์เค้าไม่ได้เป็นปุโรหิตย์ เค้าก็เริ่มใช้วิธีของโลกนั่นก็คือ ต่อต้านผู้นำ กล่าวหา ตำหนิติเตียน แต่พระคัมภีร์ใช้คำว่า กบฏ เช่น กล่าวหาว่ายกตัวเองขึ้นมาเป็นปุโรหิตย์ ตัวเองเป็นได้คนอื่นเป็นไม่ได้หรืออย่างไร
ข้อ 4 โมเสส ซบหน้า ซึ่งนั่นหมายความว่า โมเสสใช้วิธีการฝ่ายวิญญาณคืออธิษฐานกับพระเจ้า
ข้อ 11 โมเสสกล่าวว่า อาโรนเป็นใครท่านถึงต่อว่าเขา อาโรนเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้เป็นปุโรหิตย์ของพระเจ้า
ข้อ 9-10 โมเสสพูดกับคน 250 คนว่า ท่านเป็นผู้อาวุโส ท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านเป็น 250 คน ใน 600,000 คน ที่พระเจ้าทรงเลือกท่านให้ขึ้นมาช่วยดูแลประชากรของพระเจ้า ท่านคิดว่าท่านยังไม่ได้รับเกียรติเพียงพออีกหรือ
ข้อ 12 โมเสสให้คนไปเรียกอีก 2 คนนั้นขึ้นมาเพื่อจะให้การเตือนสติแก่ 2 คนนี้ แต่ 2 คนนั้นกับปฏิเสธ
ข้อ 15 นี่คือ คำอธิษฐานของโมเสส คำอธิษฐานของคนที่พระเจ้าเจิมตั้งเอาไว้มีสิทธิอำนาจ
ข้อ 20-21 โมเสสกับอาโรนรู้พระทัยของพระเจ้าและรู้ฉากจบของชีวิตของคนเหล่านั้นด้วย
ข้อ 22 วิงวอนต่อพระเจ้าเพื่อศัตรู
ข้อ 23 พระเจ้าไม่เปลี่ยนพระทัย
ข้อ 31โคราห์และเพื่อนรวมถึงครอบครัวทั้งหมดถูกพระยาเวห์จัดการอย่างเฉียบขาด ล่วงเกินพระราชอำนาจของพระเจ้า
ข้อ 35 250 คน ถูกพระยาเวห์จัดการอย่างเฉียบขาดในฐานะผู้ร่วมขบวนการ ไม่เตือนสติ ไม่กล่าวตักเตือน =เห็นด้วย เงียบหรือเฉยๆ=เห็นด้วย ไม่อยากยุ่งหรือเตือนสติช้าเกินไป=เห็นด้วย
ในดวงความคิดและในสายพระเนตรของพระเจ้า การเข้าพวกกันโดยฝั่งหนึ่งแม้จะมีจำนวนที่มากกว่าหรือมีปริมาณมากกว่า สำหรับพระเจ้ามีความหมายอะไรไหมครับ ?
มีพี่น้องคริสเตียนที่ไม่ได้ลงลึกในพระคำ กล่าวอ้างว่าคนเค้าโบสถ์เยอะ โบสถ์เค้าพระเจ้าอวยพร โบสถ์เค้าสวย ถามว่าพระเจ้าสนใจเรื่องพวกนี้ไหมครับ ? พระเจ้าทรงทอดพระเนตรที่หัวใจ ท่าทีและการกระทำ
ข้อ 28 โมเสสบอกกับคนในชุมชนอิสราเอลว่า ตั้งแต่พระเจ้าเป็นคนให้เขานำชนชาติอิสราเอลออกจากตกเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์และให้เขานำชนชาติอิสราเอลไปยังคานาอัน เขาไม่เคยทะอะไรตามใจตัวเองเลย
คำถามคือว่า เรากล้าที่จะพูดเหมือนกับโมเสสในตอนนี้ไหม
ข้อ 29 ตายอย่างปกติ
ข้อ 30 ตายอย่างไม่ปกติ
ข้อ 31 พระเจ้ารับรองการงานของโมเสส
ข้อ 35 คนที่จะถวายเครื่องเผ่บูชา เครื่องหอมบูชา เครื่องสัตวบูชาแด่พระเจ้าได้มีเพียงปุโรหิตย์เท่านั้น
ข้อ 37 พระเจ้าสั่งให้แยกระหว่างกระถางไฟ ซึ่งทำจากทองสัมฤทธิ์หรือทำจากทองคำบริสุทธิ์ ออกจากไฟ เพราะไฟถูกใส่ลงไปในกระถางไฟโดยคนที่ไม่ได้เป็นปุโรหิตย์
คำถามคือ ภาพนี้สะท้อนอะไรแก่เรา
บาปกับชั่วอยู่ด้วยกันได้ไหมครับ ?
บริสุทธิ์กับไม่บริสุทธิ์อยู่ด้วยกันได้ไหมครับ ?
ชอบธรรมกับผู้ไม่ชอบธรรมอยู่ด้วยกันได้ไหมครับ ?
ตายไปแล้ว ผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่ออยู่ด้วยกันได้ไหมครับ ?
ข้อ 39 เอากระถางไฟซึ่งทำมาจากทองสัมฤทธิ์มาตีแผ่ออกเป็นแผ่นคลุมแท่นบูชา เมื่อครู่พระเจ้าตรัสว่าให้เอาไฟในกระถางตีออกไปให้ไกลๆ
คำถามคือ ตีกองไฟไปไกลขนาดไหน
คำตอบคือ ไกลกว่าแผ่นคลุมแท่นบูชา
คำถามคือ ภาพนี้ให้อะไรแก่เรา
นอกจากเป็นการเตือนใจคนอิสราเอลแล้ว ยังบอกกับเราว่า คนบาปจะเข้าส่วนในแผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าไม่ได้
ข้อ 41 ชุมชนก็บ่นว่าอิสราเอล-อาโรน ว่าเป็นคนที่ทำให้โคราห์กับเพื่อนและกับผู้นำอีก 250 คน ที่ร่วมก่อม๊อบต้องตายไปเมื่อวานนี้
นั่นแสดงว่า เชื้อบาปยังไม่หมด วิญญาณแห่งการกบฏยังมีอยู่ไหม เพราะฉะนั้นจะทำอะไรมีคลื่นใต้น้ำอยู่ไหม การเข้าไปยังดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เร็วขึ้นหรือช้าลง
ข้อ 42 พากันเดินขบวนมาต่อต้านโมเสส-อาโรนที่เต้นท์นัดพบ คำถามคือว่า ใครไปกับคนกลุ่มนี้ก่อนกันระหว่าง พระยาเวห์กับโมเสส
โมเสส-อาโรนไปช้ากว่า เพราะทั้ง 2 กำลังซบหน้าอธิษฐานกับพระเจ้า เพราะโมเสสรู้พระทัยพระเจ้าว่า “เดี๋ยวไอ้พวกนี้โดน”
โมเสสอธิษฐานเสร็จได้บอกกับอาโรนว่า ให้อาโรนรีบ....
แต่ก็ไม่ทันการณ์แล้ว เพราะพระพิโรธของพระเจ้าพลุ่งออกมาจากพระยาเวห์แล้ว พระคัมภีร์บอกกับเราว่า อาโรนยืนอยู่ระหว่างคนเป็นกับคนตาย เหตุการณ์นี้มีคนตายไปกว่า 14,700 คน ไม่นับเมื่อวานนี้
บทสรุปของเรื่องนี้ประการที่ 1 ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจให้ถาม ดีกว่าใช้วิธีการทางโลก ดีกว่าใช้วิธีการพวกลากมากไป จำไว้นะครับผู้รับใช้แตะต้องได้ด้วยการอธิษฐาน ขอสติปัญญาที่พระเจ้าจะให้เรานั้นมีเหตุผลในการพูดคุยกัน หรืออธิษฐานให้พระเจ้าถอดการเจิมออกไปจากเขา
แต่ถ้าเมื่อผู้รับใช้ทำผิดและเมื่อเขาอธิษฐานสารภาพบาปกับพระเจ้า อีกทั้งชีวิตของเขายังเป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินของพระเจ้า เราผู้ทำถูกหมอทุกอย่างแต่ไม่เคยประกาศเป็นพยานกับใครเลย พี่น้องว่าพระเจ้าจะใช้ใครครับ ระหว่างคนทำผิดแต่สารภาพบาปกับพระเจ้าและยอมให้พระเจ้าใช้ แต่ผู้เชื่อที่ทำถูกทุกอย่างแต่ไม่ยอมให้พระเจ้าใช้
บทสรุปของเรื่องนี้ประการที่ 2 พี่น้องต้องมีสายตาฝ่ายวิญญาณ พิจารณาว่าผู้รับใช้คนนั้นเคลื่อนในฝ่ายวิญญาณหรือเคลื่อนด้วยวิธีในฝ่ายโลก เช่น เคลื่อนด้วยกิจกรรม
ดูอย่างไรว่าผู้รับใช้ท่านนั้นเคลื่อนในฝ่ายวิญญาณหรือไม่ เช่น อาทิตย์ที่ผ่านมาน้องปุ๋ยพูดถึงเรื่องรถ
เค้ามีการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ ถ้าเค้ายกตัวเองขึ้นมา และถ้าพี่น้องแตะต้องเค้า พี่น้องอาจไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่ถ้าพระเจิมตั้งเค้าและพี่น้องแตะต้องหรือกบฎต่อเค้า นั่นเท่ากับพี่น้องกำลังต่อต้านพระราชอำนาจของพระเจ้าเพราะฉะนั้นพี่น้องต้องพิจารณาในเรื่องนี้ให้ดีๆ