การทรงนำของพระเจ้า

คำเทศนาเรื่อง การทรงนำของพระเจ้า

สวัสดีครับพี่ - น้องในองค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่รักทุกท่าน ผมขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับโอกาสและสิทธิพิเศษ ที่พระเจ้าทรงอนุญาตและประทานมอบให้กับผมผ่านท่าน ศจ. มนตรี ในเช้าวันนี้ และทุกๆครั้งก่อนที่ผมจะแบ่งปันพระวจนะคำของพระเจ้าให้กับพี่ - น้องที่สมุทรสงครามได้สดับและรับฟังกัน ผมมักจะถามพี่ - น้องที่สมุทรสงครามด้วยคำถามหนึ่งเสทอนั่นก็คือคำถามที่ว่า พี่ - น้องพร้อมที่จะรับฟังพระคำของพระเจ้าหรือยังครับ ? พี่ - น้องที่แม่กลองมักจะตอบผมว่า ? อุ้ยตื่นเต้น….อุ้ยตื่นเต้น

ดังนั้นในเช้าวันนี้ เราจะตื่นเต้นไปกับพระวจนะคำของพระเจ้า โดยผมจะอัญเชิญพระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรมสดุดี บทและข้อพระคัมภีร์ ที่ผมจะใช้เป็นกุญแจในการแบ่งปันกับพี่ - น้องในค่ำคืนนี้จะอยู่ใน สดด. บทที่ 32 ข้อที่ 8 ให้ที่ประชุมเปิดและอ่านพร้อมๆ กันอย่างช้าๆ ด้วยเสียงที่ดัง เชิญครับ ( สดด. 32 : 8 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เราจะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าด้วยจับตาเจ้าอยู่ และผมจะให้ชื่อเรื่องของคำเทศนาในค่ำคืนนี้ว่า “ การทรงนำของพระเจ้า ”ให้เราได้ร่วมใจกันอธิษฐาน )

พี่ - น้องที่รักครับ มีสุภาษิตไทยบทหนึ่งได้กล่าวเอาไว้อย่างนี้ครับว่า“ เดินเรือต้องมีเข็มทิศ ดำเนินชีวิตต้องมีเป้าหมาย ”อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็ได้ว่า “ ถ้าการเดินเรือนั้นยังต้องการทิศทางในการนำร่องฉันใด มนุษย์เราก็ต้องการๆ นำร่องชีวิตด้วยฉันนั้น ”

และถ้าพี่ - น้องยังจำพระวจนะคำของพระเจ้าในหนังสือปฐมกาลได้ พี่ - น้องก็จะพบว่า พระวจนะคำของพระเจ้าในหนังสือปฐมกาลนั้น ได้บอกกับเราอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาจากผงคลีดิน ซึ่งทำให้เราทราบว่า นี่คือชีวิตในฝ่ายร่างกายหรือชีวิตในฝ่ายเนื้อหนัง และถ้าเราจะเปรียบชีวิตเหมือนกับการเดินทาง เราก็จะพบว่าในอดีตที่ผ่านมา ชีวิตในฝ่ายร่างกายหรือชีวิตในฝ่ายเนื้อหนังของมนุษย์นั้น ต่างต้องการแผนที่หรือเข็มทิศ ที่เราจะใช้นำในการเดินทางชีวิตของเราอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตามพี่ - น้องที่รักครับ ในปัจจุบันนี้ชีวิตในฝ่ายร่างกายหรือชีวิตในฝ่ายเนื้อหนังของมนุษย์เรานั้น มิได้มีเพียงแค่แผนที่หรือเข็มทิศ ที่เราจะใช้นำในการเดินทางชีวิตของเราเพียงอย่างเดียวเหมือนกับในอดีตที่ผ่านมาเท่านั้น

แต่ในปัจจุบันนี้ ชีวิตในฝ่ายร่างกายของมนุษย์เรานั้น เรายังมีเครื่องไม้ เครื่องมือ และเรายังมีอุปกรณ์ต่างๆ อีกมากมายหลายอย่าง เช่น โทรศัพท์มือถือ , ดาวเทียม , เครื่อง GPS , Internet ที่เราสามารถจะนำมาใช้ในการเดินทางของเราได้

และจากพระวจนะคำของพระเจ้าในหนังสือปฐมกาลอีกเช่นกันพี่ - น้องที่รักครับที่พระคำของพระเจ้าบอกกับเราอย่างชัดเจนว่า และพระองค์ได้ทรงระบายลมปราณของพระองค์ลงไปมนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิตและพระคำของพระเจ้าในขัอนี้เองพี่ - น้องที่รัก ที่ทำให้เราทราบว่านี่คือ ชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณ

และพระคำของพระเจ้าในหนังสือ ยรม. 10 : 23 พระคำของพระเจ้าได้ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนดังนี้ว่า “ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทราบแล้วว่าทางของมนุษย์ไม่อยู่ที่ตัวของเขา คือไม่อยู่ที่มนุษย์ผู้ซึ่งดำเนินไปที่จะนำฝีก้าวของตนเอง ” ซึ่งนั่นหมายความว่า มนุษย์เรานั้นไม่มีความสามารถที่จะนำชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณของเราไปในทิศทางที่ถูกต้องได้

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าชีวิตในฝ่ายร่างกายของมนุษย์เรา เรายังต้องการๆ นำฉันใด ชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณของเรา เราก็ต้องการ ๆ นำด้วยฉันนั้น ( อาเมน ) และผู้ที่จะนำชีวิตในฝ่ายจิตวิญญาณของเราได้เป็นอย่างดีที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุด ปลอดภัยที่สุด นั่นก็คือ พระ ที่เป็นผู้ทรงสร้างเราขึ้นมา และก็เป็นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นจริงๆ พี่ - น้องที่รัก ที่จะนำเราเข้าไปถึงน้ำพระทัยของพระบิดามากที่สุด

ดังนั้นขอให้พี่ - น้องได้รู้และได้เข้าใจเถิดว่าไม่มีเครื่องไม้ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ชนิดใดๆทั้งสิ้นในโลกใบนี้ ที่จะนำชีวิตทั้งในฝ่ายโลกและในฝ่ายจิตวิญญาณของมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลมากที่สุด นอกเหนือจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา อาเมน ซึ่งนั่นหมายความว่า มิใช่ด้วยการที่มนุษย์นั้นพยายามที่จะดำเนินชีวิตของเราอย่างดีที่สุด แล้วเราก็คิดว่าชีวิตของเรานั้นมันก็คงจะดีไปเอง

และถ้าพี่ - น้องได้มีโอกาสอ่านพระวจนะคำของพระเจ้า จากพระคริสตธรรมคัมภีร์ทั้ง 66 เล่ม อย่างกลั่นกรอง ใคร่ครวญและพิจารณา ทั้งในภาคพันธสัญญาเดิมและในภาคพันธสัญญาใหม่ พี่ - น้องก็จะพบว่า พระเจ้านั้นทรงนำประชากรของพระองค์อยู่ตลอดเวลาเสมอ

สดด.48:14 พระคำของพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า นี่คือพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าของเราเป็นนิจกาล พระองค์ทรงเป็นผู้นำของเราเป็นนิจ ซึ่งนั่นหมายความว่า ปัจจุบันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็ยังทรงเป็นผู้นำเราแต่ละคน   อยู่ในเวลานี้ด้วยเช่นกัน  

และยิ่งถ้าพี่ - น้อง ได้มีโอกาสศึกษาการทรงนำของพระเจ้าจากชีวิตของพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ด้วยแล้ว พี่ - น้องก็จะเห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่งกว่าน.ส.พ. คม ชัด ลึกเสียอีก

เพราะอะไรครับ ? เพราะพระเจ้า พระบิดา ทรงนำองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ตั้งแต่เกิดจนตาย หรืออาจจะกล่าวอีกนัยยะหนึ่งก็ได้ว่า พระเจ้า พระบิดา ทรงนำพระเยซู ตั้งแต่ลมหายใจแรกจนถึงลมหายใจสุดท้ายของชีวิตก็ว่าได้ ซึ่งถ้าเราจะเปรียบเป็นหนังเป็นละคร ก็อาจจะพูดอย่างนี้ก็ได้ว่าพระเจ้า พระบิดา ทรงนำองค์พระเยซูคริสต์เจ้าตั้งแต่ฉากแรกจนถึงฉากสุดท้ายของชีวิตก็ว่าได้ Ex. เช่น พระเจ้า พระบิดา ทรงนำ

1. การแจ้งการกำเนิดของพระเยซูผ่านทางมาเรียและโยเซฟด้วยฑูตสวรรค์ 2. การแจ้งการกำเนิดของพระเยซูต่อคนเลี้ยงแกะด้วยทูตสวรรค์

3. การแจ้งการกำเนิดของพระเยซูต่อโหราจารย์ด้วยดวงดาว

4. พระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

5. พระเยซูไปในที่เปลี่ยวเพื่ออธิษฐานขอรับการทรงนำ

6. พระเยซูในการเทศนาในธรรมศาลาด้วยสิทธิอำนาจ

7. พระเยซูเข้าไปช่วยเหลือคนที่ถูกบีบบังคับ และสุดท้ายคือ พระเจ้า พระบิดาทรงนำพระเยซูไปถึงความมรณาบนไม้กางเขน

พี่ - น้องที่รักครับ ถ้าองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้าแท้ ๆ  ยังต้องการ ๆ ทรงนำจากพระบิดาของพระองค์ในแต่ละวันทุกวัน แล้วพี่ - น้องกับผมเป็นผู้ใดเล่า ถึงจะไม่ให้พระองค์ทรงนำ 1 ) ชีวิตของเรา , ครอบครัวของเรา 2 ) คริสตจักรของเราหรือการรับใช้ของเรา 3 ) ธุรกิจของเรา การงานหรือการอาชีพของเรา

พระคำของพระเจ้าในหนังสือ สภษ. 3 : 6 ตรัสเอาไว้ดังนี้ว่า จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้าและพระองค์จะกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น

น่าเสียดายตรงที่ว่า วันนี้เรามีพี่ - น้องคริสเตียนในประเทศไทยของเราอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวพี่ - น้องที่รัก ที่เดินอยู่ในทางของพระเจ้า แต่ชีวิตของเขานั้นกับไม่ค่อยที่จะราบรื่นสักเท่าไหร่นัก บางคนเดี๋ยวมีปัญหานู้น ปัญหานี้ เดี๋ยวมีเรื่องนั้น มีเรื่องนี้ สาเหตุนั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้ยอมที่จะรับรู้พระองค์ในทุกๆ ทางอย่างแท้จริง

ในประเทศเปรูนั้น เขามีรูปเคารพที่ทำจากไม้ ที่สามารถจะทำนายทายทักได้ว่า สิ่งที่คนไปถามนั้น เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ ถ้ารูปเคารพนั้นมันพยักหน้า ก็ถือว่าเป็นน้ำพระทัย ถ้ารูปเคารพนั้นส่ายหน้า ก็แปลว่านั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า

คนที่ถามก็คิดว่านี่เป็นการอัศจรรย์ แต่ก่อนที่คนจะถามได้นั้น เขาก็จะต้องหยอดสตางค์ลงกล่องเสียก่อน แต่ต่อมานักทัศนาจรที่ไปประเทศเปรูต่างก็เริ่มรู้แล้วว่าแท้ที่จริงแล้วนั้นมันมีคนคอยคุมการตัดสินใจอยู่เบื้องหลัง กล่าวคือจะมีผู้แอบกระตุกเชือกเพื่อให้รูปเคารพนั้นพยักหน้าหรือส่ายอยู่เบื้องหลังได้อย่างแนบเนียน

เฉกเช่นเดียวกับคริสเตียนในประเทศไทยในเวลานี้ ที่มาโบสถ์หรือมาคริสตจักรในวันอาทิตย์ และได้ยินได้คำเทศน์ ได้ยินคำสอนจากคริสตจักรมามากต่อมาก แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาจะต้องตัดสินใจ เขากับไม่ให้พระเจ้านำ เขากับคุมการตัดสินใจของพระเยซูเอาไว้ เพื่อที่เขาจะได้ตัดสินใจในวิถีทางที่เขาต้องการ แล้วเขาก็ไปบอกใครต่อใครว่านี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว เขาคิดเอง สร้างแผนเอง อธิษฐานเอง ตัดสินใจเอง แล้วความลำเอียงในตัวของเขาเอง ก็เริ่มปฏิบัติงาน ทำให้เขาต้องล้มลงในการทดลองนั้นด้วยตัวเอง

ผมขอบคุณพระเจ้านะครับ ที่เห็นพี่ - น้องคริสเตียนหลายคน มีหัวใจที่อยากจะปรนนิบัติและรับใช้พระเจ้าซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและดีมากๆนะครับ และเป็นสิ่งที่เราควรที่จะทำกันต่อไป เหตุเพราะเมื่อเราได้รับพระคุณของพระเจ้ามาแล้ว เราก็ควรที่จะตอบแทนโดยการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ แต่สิ่งที่สำคัญนั่นก็คือว่า เราจะต้องไม่หลงประเด็นในเรื่องของการทรงนำของพระเจ้า

ผมเชื่อว่าพี่ - น้องหลายคน คงจะเคยได้ยินคริสเตียนบางคนพูดว่า พระเจ้าทรงนำให้เขามาคริสตจักรนี้ แล้วต่อมาไม่นานเขาก็ย้ายคริสตจักร พอไปที่คริสตจักรใหม่เขาก็บอกคนที่คริสตจักรนั้นว่า พระเจ้าทรงนำให้เขามาที่นี่ แล้วต่อมาไม่นานนักเขาก็ย้ายไปคริสตจักรอื่นอีก คริสเตียนแบบนี้ไม่คงเส้นคงวา ในวงการเขาเรียกคริสเตียนประเภทนี้ว่า คริสเตียนจรหรือคริสเตียนสัมพะเวสี ให้เราบอกกับคนข้างซ้ายข้างขวาว่าเราต้องไม่เป็นคนนั้น

ไม่เว้นแม้กระทั่งคนของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ในปัจจุบันนี้ผู้รับใช้ของพระเจ้าหลายต่อหลายคน ที่มักจะพูดว่าพระเจ้าทรงนำให้เขาทำสิ่งนั้น ให้เขาทำสิ่งนี้ แต่ต่อมาไม่นานนัก เขาก็บอกว่า พระเจ้าทรงนำให้เขาไปทำอย่างอื่นอีก แล้วต่อมาอีกไม่นานนัก เขาก็บอกว่า พระเจ้าทรงนำให้เขาไปทำอย่างนั้น ไปทำอย่างนี้อีก พฤติกรรมของคนของพระเจ้าอย่างนี้ ก็ไม่คงเส้นคงวาเช่นกัน ในวงการเขาเรียก ผู้รับใช้แบบนี้ว่า ผู้รับใช้อพยพ ซึ่งโดยแท้จริงแล้วเขาทำตามในสิ่งที่เขาอยากทำนั่นเอง

คำถามที่น่าสนใจประการที่ 1 นั่นก็คือว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าสิ่งไหนพระเจ้าทรงนำเราและสิ่งไหนเรานำพระเจ้า ซึ่งเป็นคำถามที่มักจะมีคนถามผมอยู่บ่อยๆ

คำถามที่น่าสนใจประการที่ 2 นั่นก็คือว่า และพระเจ้าจะนำเราด้วยวิธีใดที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่า พระเจ้ากำลังทรงนำเราอยู่ โดยที่ไม่ใช่ตัวเรานั้นคิดไปเอง

ซึ่งผมจะตอบคำถามแรกก่อนนะครับ ว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าสิ่งไหนพระเจ้าทรงนำเราและสิ่งไหนเรานำพระเจ้า

พี่ - น้องที่รักครับ พระเจ้าจะทรงนำเราอย่างแน่นอนประการที่ 1 อยู่ในหนังสือยูดา 1 : 6 พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ยูดา 1 : 6 ตรัสว่า พระองค์นั้นทรงเป็นองค์ อธิปไตยเพราะฉะนั้นพระเจ้าจะทรงนำเราอย่างแน่นอน

ประการที่ 1 นั่นก็คือ เราจะต้องมีความยินดี เราจะต้องมีความเต็มใจและมีความตั้งใจที่จะให้พระเจ้าทรงนำเราเสมอไป ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าเราไม่เต็มใจ ถ้าเราไม่ตั้งใจและหรือถ้าเราไม่ยินดีที่จะให้พระเจ้านำ พระองค์ก็จะไม่ฝืนใจเรา และพระองค์ก็จะไม่บังคับจิตใจของเราด้วยเช่นกัน

ซึ่งนั่นหมายความว่า การที่พระเจ้าจะนำเราได้ เราจะต้องนำเอาความเต็มใจ เราจะต้องนำเอาความตั้งใจและความยินดีมาสยบต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า

ดังเช่น อับราม ที่เมื่อเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ให้เขาต้องเดินทางออกจากเมืองเออร์ เขาก็นำเอาความเต็มใจ นำเอาความตั้งใจและนำเอาความยินดีนั้นมาสยบต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า และนี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้อับรามออกมาจากเมืองนั้น

ดังเช่น โยเซฟ ที่นำความเต็มใจ นำความตั้งใจและนำความยินดีที่จะไปตกระกำลำบากในประเทศอียิปต์ เพื่อจะช่วยอิสราเอลให้รอดจากการกันดารอาหาร

ดังเช่น องค์พระเยซูคริสตเจ้า ที่นำความเต็มใจ ที่จะเสด็จลงมาเกิดในรางหญ้า และนำความตั้งใจที่จะให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำพระองค์เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้มารนั้นมารผจญและมีความปิติยินดี ที่จะเดินไปสู่ไม้กางเขนแห่งการไถ่ด้วยความมรณา

พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ยน. 7 : 17 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“ ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า ”

ซึ่งนั่นหมายความว่าอะไร ? ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าเราไม่ตั้งใจ ถ้าเราไม่เต็มใจ และถ้าเราไม่มีความยินดีอย่างนี้ เราก็อาจจะไม่รู้น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเราก็เป็นได้ ( ให้พี่ - น้องถามคนข้างซ้าย ข้างขวาว่าท่านเต็มใจตั้งใจและยินดีที่จะให้พระเจ้านำท่านอย่างนี้หรือไม่ )

พระเจ้าจะนำเราอย่างแน่นอน

ประการที่ 2 คือ เราเต็มใจเดินไปบนวิถีทางเท่าที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยแก่เราหรือเท่าที่เรามีหรือเท่าที่เราเห็น

พี่ - น้องที่รักครับ เมื่ออับรามได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ให้เขาออกเดินทางจากเมืองฮาราน เขาทำตามมั้ยครับ ? เขาก็ทำตาม 2.2 ) เมื่อเปโตรเห็นนิมิตเกี่ยวกับสัตว์มลทินและพระเจ้าให้เขาฆ่ากินเปโตรกินมั้ยครับ ? เขาก็เชื่อฟัง 2.3 ) เมื่อเปาโลเห็นคนมาซิโดเนียในนิมิต เรียกให้เขาไปประกาศ เขาไปมั้ยครับ ? เขาไป

            พี่ - น้องที่รักครับ คริสเตียนไทยสามารถที่จะได้รับพระพรของพระเจ้าได้อย่างไม่ขาดสาย ถ้าคริสเตียนผู้นั้นหรือคริสเตียนคนนั้น ฝึกที่จะเดินไปตามหนทางที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยแก่เขา และในทางตรงกันข้ามคริสเตียนผู้นั้นหรือคริสเตียนคนนั้นก็อาจจะขาดพระพรที่เขาควรจะได้รับจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน เหตุเพราะเขาไม่ยอมเดินไปบนวิถีทางที่พระเจ้ากำลังทรงนำหรือพระเจ้ากำลังได้ทรงเปิดเผยกับเขาอยู่

พี่ - น้องที่รักครับ การที่เราไม่ยอมเดินไปบนวิถีทาง เท่าที่พระเจ้าทรงนำเราอยู่หรือพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยแก่เรา มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการที่เราเดินออกนอกเส้นทางของพระเจ้าเหมือนกับเรื่องราวของโยนาห์ในพระคัมภีร์

พระคำของพระเจ้าในหนังสือ ยน. 12 : 35 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“ พระเยซูตรัสกับเขาว่า ความสว่างจะอยู่ไปกับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ ก็จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน ผู้ที่เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน ”

            ถ้าพี่ - น้อง เดินตามการทรงนำหรือการเปิดเผยของพระเจ้า ซึ่งเป็นความสว่าง ชีวิตของพี่ - น้องก็จะยิ่งดีขึ้น โชติช่วงมากขึ้น และถ้าพี่ - น้องตอบสนองต่อการทรงนำและการเปิดเผยของพระเจ้าที่มีมาเหนือชีวิตของเรามากขึ้น พระองค์ก็จะทรงนำพี่ - น้องหนักขึ้นและชัดเจนมากขึ้น

            ในทางตรงกันข้าม ถ้าพี่ - น้องไม่เดินตามการทรงนำของพระเจ้า ที่พระเจ้ากำลังทรงนำหรือกำลังเปิดเผยแก่ชีวิตของพี่ - น้องอยู่ นั่นก็เท่ากับว่า 1 ) พี่ - น้องได้ปฏิเสธความสว่างนั้น 2 ) พี่ - น้องไม่สนใจที่จะติดตามความสว่าง 3 ) พระเจ้าจะหยุดนำชีวิตของเขา และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหยุดนำชีวิตของเรา พระคัมภีร์พูดเอาไว้อย่างชัดเจนนะครับว่า ชีวิตของเราก็จะเดินอยู่ในความมืด

พระเจ้าจำนำเราไปอย่างแน่นอน

ประการที่ 3คือ ก้าวไปทีละก้าว

            พี่ - น้องที่รักครับ ในการทรงเนรมิตสร้างและในการทรงสร้างของพระเจ้าในหนังสือปฐมกาลนั้น ทำให้เราทราบว่าพระเจ้าของเรานั้น 1 ) มีระบบ ระเบียบ 2 ) มีขั้นมีตอน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว พระองค์จะกระทำทุกสิ่งและทุกอย่างให้แล้วเสร็จภายในวันเดียวได้มั้ยครับพี่ - น้อง ? ได้ แต่พระองค์ทรงทำ Step by Step หรือทีละขั้น ทีละตอน

            อ. เปาโล เคยถามพระเจ้าว่า “ แล้วข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด ”พระเจ้าบอกว่า ให้เจ้าเข้าไปในเมือง แล้วจะมีคนบอกให้เจ้ารู้ว่าเจ้าจะต้องทำประการใด

คำถามคือว่า อ. เปาโล รู้อะไรมากกว่านี้มั้ยครับ ? อ. เปาโลรู้แค่นั้นจริงๆ

อ. เปาโล ไม่รู้ถึงแผนการในอนาคตแม้แต่นิดเดียวว่า เขาต้องไปเป็นมิชชั่นนารี

อ. เปาโล ไม่รู้ถึงการทนทุกข์ที่เขาจะต้องได้รับ เขารู้เพียงแต่ว่า ต้องไปในเมืองแล้วจะมีคนบอกให้ทราบต่อไปว่า พระเจ้าจะให้เขาทำอะไรต่อไป

            พี่ - น้องที่รักครับ พระเจ้าชอบนำลูกแกะของพระองค์ทีละขั้น ทีละตอน

ดังนั้นเราจึงไม่รู้ถึงอนาคตของเราว่า เรานั้นจะเป็นอย่างไร และเราก็ไม่ต้องอายที่เมื่อมีใครถามเราว่า อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร ? เราไม่ต้องอายที่จะบอกว่า เราไม่รู้จริงๆ ว่าอนาคตของเรานั้นจะเป็นอย่างไร

แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเราจะต้องรู้ และเราต้องรู้อย่างมั่นใจด้วย นั่นก็คือว่า พระเจ้าจะนำย่างก้าวของผู้ชอบธรรมเสมอไป เพราะพระคำของพระเจ้าในหนังสือ สภษ.4 : 12 ได้กล่าวเอาไว้อย่างนั้น อาเมน ( เมื่อเจ้าเดินย่างเท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวาง และถ้าเจ้าวิ่งเจ้าจะไม่สะดุด )

            ปัญหาของพวกเราก็คือว่า เราอยากรู้อนาคต เราอยากเห็นแผนงานของเราอย่างทะลุปุโปร่ง เราอยากเห็นทุกขั้นตอนตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนสำเร็จ หลายคนถูกฝึกว่าก่อนที่จะลงมือทำอะไรก็ตาม ต้องรู้ให้แจ่มแจ้งแดงแจ๋เสียก่อน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด

แต่ในทางของพระเจ้าแล้วพี่ - น้องที่รักครับ พระองค์จะไม่นำเอาพิมพ์เขียวมาให้เราดู และพระองค์ก็จะไม่แสดงแผนการทุกขั้นและทุกตอนของอนาคตให้เรานั้นได้แลเห็นอย่างเด็ดขาด

สิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาต่อผู้เชื่อนั่นก็คือ ให้ผู้เชื่อนั้นเรียนรู้ที่จะเดินไปกับพระองค์วันต่อวัน ทีละขั้น ทีละตอน และเรียนรู้ที่จะวางใจในส่วนที่เหลือหรือในส่วนที่ยังขาดอยู่และหรือเรียนรู้ที่จะวางใจในส่วนที่เราเองนั้นยังไม่ทราบ

เหมือนเราจุดเทียนในที่มืด เราก็จะเห็นทางเดิน เฉพาะที่มันใกล้ๆ เทียนเนี่ยแหละ หรือเราจะเห็นแสงสว่างบริเวณตรงที่ๆ เรายืนอยู่ ไกลกว่านี้เรามองไม่เห็นอะไรเลย นี่คือ การก้าวเดินไปด้วยความเชื่อ การก้าวเดินไปด้วยความเชื่อ คือ การที่เราไม่ต้องการหาคำตอบในปัจจุบัน

อ. เปาโล เรียนรู้ทีละขั้น ในส่วนที่ยังไม่รู้ อ. เปาโล ก็เรียนรู้ที่จะวางใจในการทรงนำของพระเจ้า ดังนั้นชีวิตคริสเตียน จะต้องเรียนรู้โดยการฝึกที่จะก้าวเดินไปกับพระเจ้า ไม่ใช่ทีละหน่อยหรือทีละกระดึ๊บๆ แต่จะต้องฝึกที่จะก้าวไปกับพระเจ้าทีละก้าว ทีละขั้น ทีละตอนทุกๆวัน และพระองค์จะทรงเปิดเผยขั้นต่อๆ ไปให้เราได้ทราบ และขั้นตอนต่อไปที่เราจะให้พระเจ้าทรงนำชีวิตของเรา

เรายังอยู่ในคำถามที่ 1 กันอยู่นะครับพี่ - น้อง คำถามก็คือว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งไหนพระเจ้านำเราและสิ่งไหนเรานำพระเจ้า ? พี่ - น้องที่รักครับ พระเจ้าจะนำเราไปอย่างแน่นอน

ประการที่ 4   ให้เรารอคอยด้วยความอดทนโดยการอธิษฐาน

            พี่ - น้องที่รักครับ คริสเตียนส่วนมากเข้าใจว่าการอธิษฐานเป็นเรื่องของการขอ มากกว่าการรอคอย ซึ่งแท้ที่จริงแล้วการขอนั้นเป็นเพียงแขนงเล็กๆ แขนงหนึ่งของการอธิษฐานเท่านั้น แต่แขนงที่สำคัญของการอธิษฐานนั่นก็คือ การรอคอย พระสุรเสียงของพระเจ้า

ในหนังสือยอห์น 2 : 4 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เวลาของเรายังมาไม่ถึงและในพระธรรมฮาบากุ 2 : 2 - 3 ถ้าดูช้าไป จงคอยสักหน่อย มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่คงไม่ล่าช้านัก ซึ่งนั่นหมายความว่า พระเจ้าไม่ทรงรีบร้อนหรือไม่ทรงรีบเร่ง ที่จะนำในการดำเนินชีวิตของเรา แต่เรานั้นแหละที่รีบร้อนและรีบเร่งที่จะได้รับคำตอบไวๆ อยากจะรู้อะไรเร็วๆ อธิษฐานคืนนี้พรุ่งนี้ขอคำตอบเลย

โดยเฉพาะในเวลาที่มีวิกฤตเกิดขึ้นกับเรา และเมื่อเราไม่ได้รับคำตอบจากพระเจ้า เราก็ตั้งตัวเองเนี่ยแหละเป็นพระเจ้า ที่จะตัดสินใจในเรื่องนั้น เรื่องนี้ ด้วยตัวของเราเอง ดังนั้นคริสเตียนส่วนมาก จึงเล่นฟุตบอลไม่ได้ เพราะมักจะล้ำหน้าพระเจ้าอยู่เสมอ

พี่ - น้อง ลองพิจารณาดูน๊ะครับว่า เราทำหลายสิ่ง หลายอย่างใน 6 วัน / สัปดาห์ จนพระเจ้าไม่มีเวลาที่จะตรัสกับเรา 1 ) พอถึงวันที่ 7 เรามาที่คริสตจักร พี่ - น้องคาดหวังว่าจะให้พระองค์พูดกับเราอย่างนั้นหรือ 2 ) พอถึงเวลาที่เรามีวิกฤติเกิดขึ้นในชีวิตของเราพี่ - น้องคาดหวังว่าพระเจ้าจะต้องตรัสกับเราอย่างนั้นหรือ

ผมอยากจะพูดกับพี่ - น้องอย่างนี้ว่า ถ้าเราเพิกเฉยต่อการทรงนำของพระเจ้าในแต่ละวันเสียแล้วเราไม่มีทางที่จะได้ยินเสียงแห่งการทรงนำของพระเจ้าได้ซึ่งมีคริสเตียนไทยอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวพี่ - น้องที่รักครับ ที่ปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างนี้

ทำเสมือนว่า มีพระเจ้าองค์นี้ไว้เพื่อที่จะให้ช่วยแก้ไขปัญหาเขา ยามฉุกเฉินเฉพาะหน้าเท่านั้น ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว พระองค์มิได้มีอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้กับเราเท่านั้น แต่พระองค์มีอยู่เพื่อที่จะนำชีวิตของเราไปอย่างผู้มีชัยตลอดชีวิตของเรา

แต่การที่เราไม่ได้รับการทรงนำในเรื่องนั้น ในเรื่องนี้อย่างชัดเจน นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้ให้เวลาที่จะนิ่งฟังและรอคอยพระองค์อย่างแท้จริง

ในทางตรงกันข้ามถ้าพี่ - น้องอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ และเรานิ่งฟังหรือรอคอยพระองค์อยู่เป็นปกตินิสัย ในยามที่พี่ - น้องมีวิกฤติชีวิต พี่ - น้องก็จะได้ยินเสียงของพระเจ้าอย่างแน่นอน

มาถึงคำถามที่ 2 ที่ถามว่าและพระเจ้าจะนำเราด้วยวิธีใดที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าพระเจ้ากำลังทรงนำเราอยู่ โดยที่ไม่ใช่ตัวเรานั้นคิดไปเอง

* คำตอบที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือ *

การใช้วิธีปั่นหัวปั่นก้อย ถ้าออกหัว แปลว่า พระเจ้าทรงนำ ถ้าออกก้อย แปลว่า พระเจ้าไม่นำ นั่นไม่ใช่วิธีการของพระเจ้า

การใช้วิธีเด็ดกลีบดอกกุหลาบออกทีละใบ ถ้าเหลือกลีบสุดท้าย แปลว่า นั่นคือคู่พระพรของเรา นั่นก็ไม่ใช่วิธีการของพระเจ้า

การที่เราเข้าไป Chat ในอินเตอร์เน็ทหรือเล่น HI 5 แล้วบอกว่า คนนี้ใช่เลย นั่นก็ไม่ใช่วิธีการของพระเจ้าด้วยเช่นกัน

การจับฉลากขึ้นมา แล้วข้อความในฉลากบอกว่า เราจะได้เดินทางไกล นั่นก็ไม่ใช่วิธีการของพระเจ้า

การใช้นิ้วจิ้มข้อพระคัมภีร์ แล้วบอกว่า นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้ากำลังนำคุณอยู่ นั่นก็ไม่ใช่วิธีการของพระเจ้า

            ผมอยากที่จะบอกกับพี่ - น้องอย่างนี้ครับว่า การที่ผมมีหน้าตาอย่างนี้ และการที่พี่ - น้องมีหน้าตาอย่างนี้ ( ซึ่งแต่ละคนสวย รูปหล่อและหน้าตาดีกันทุกคนเลย อาเมน ) ทำให้เราทราบว่า พระเจ้าทรงสร้างเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นวิธีการ ที่พระเจ้าจะทรงนำชีวิตของเราแต่ละคนนั้น ก็ย่อมไม่เหมือนกันด้วยซึ่งคนที่เป็นพ่อคน - เป็นแม่คน คงจะเข้าใจและทราบเป็นอย่างดีว่า

ครั้นเมื่อลูกยังเป็นเด็กอยู่นั้น เราก็จะต้องสอนเขาแบบพร่ำสอน คือพูดแล้วพูดอีก เมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น ก็จะต้องสอนเขาแบบอธิบายและต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไช เมื่อโตเป็นหนุ่ม เป็นสาวขึ้นมา ก็จะต้องสอนเขา อย่างเฉพาะเจาะจง ด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยการให้สติ ด้วยการให้ปัญญา ไม่ใช่ด้วยการจ้ำจี้จ้ำไชอีกต่อไป

            พระเจ้า พระบิดาในสวรรค์ของเราก็เช่นเดียวกันพี่ - น้องที่รัก พระองค์ก็จะมีวิธีการที่จะนำเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เมื่อเราเป็นผู้เชื่อใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนเด็กหรือเปรียบเสมือนกับทารกในฝ่ายจิตวิญญาณ พระเจ้าก็จะทรงมีวิธีการสอนผู้เป็นเด็กหรือสอนผู้เป็นทารกในฝ่ายจิตวิญญาณผ่านทางพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณของแต่ละคน

ดังเช่นกิจการในบทที่ 9 ซึ่งทำให้เราทราบว่าเมื่อ อ. เปาโล กลับใจมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ พระเจ้าได้ใช้ให้บารนาบัส มาเป็นพี่เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณให้แก่ท่าน

คำถามที่สำคัญก็คือว่า วันนี้พี่ - น้องทราบหรือยังว่า ใครเป็นผู้อภิบาลฝ่ายจิตวิญญาณของท่าน

เมื่อฝ่ายวิญญาณจิตของผู้เชื่อใหม่คนนั้น เติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า พระเจ้าก็จะมีวิธีการสอนเราหรือนำเราอีกขั้นหนึ่ง ผ่านทางพระวจนะคำของพระองค์ หรือผ่านการเฝ้าเดี่ยว และหรือผ่านการใคร่ครวญพระคำของพระเจ้า

ประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ทำให้เราทราบเป็นอย่างดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นพระเจ้าจะไม่นำชนชาติของพระองค์ให้ออกห่างจากพระคำของพระองค์เลยแม้แต่นิดเดียว ( อาเมน ) แต่ชนชาติของพระองค์ต่างหาก ที่กับชอบประพฤติตัวหรือชอบทำตัว ที่จะออกห่างจากพระคำของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา โดยเริ่มจากอาดัม - เอวาเป็นต้นมา

ถ้าพี่ - น้อง ต้องการที่จะให้พระเจ้าทรงนำพี่ - น้องด้วยวิธีการนี้ พี่ - น้องก็จะต้องรักพระวจนะ เอาใจใส่พระวจนะ ใคร่ครวญพระวจนะและที่สำคัญพูดพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอและพระเจ้าจะทรงนำพี่ - น้องผ่านถ้อยคำของพระองค์

เมื่อฝ่ายวิญญาณจิต ของผู้เชื่อคนนั้นเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า พระเจ้าก็จะมีวิธีการสอนเราหรือทรงนำเราอีกขั้นหนึ่ง ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์  เหมือนดังพระคำของพระเจ้าในพระธรรม กจ. 8 : 29 ทำให้เราทราบว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้น ทรงนำให้ผู้ประกาศ ข่าวประเสริฐอย่าง ฟิลิป ได้เข้าไปประกาศและเป็นพยานกับขันทีชาวเอธิโอเปียในทันที  

เมื่อฝ่ายวิญญาณจิต ของผู้เชื่อคนนั้นเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า   พระเจ้าก็จะมีวิธีการสอนเราหรือทรงนำเราอีกขั้นหนึ่ง ผ่านการประชุมของคริสตจักร เหมือนดังพระคำของพระเจ้าในหนังสือ กจ. 15 : 22 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า“ ขณะนั้นอัครทูตและผู้ปกครองทั้งหลายกับทุกคนในคริสตจักร เห็นชอบที่จะเลือกบางคนในพวกเขา ให้ไปยังเมืองอันทิโอกด้วยกันกับเปาโลและบารนาบัส คนที่เขาเลือกได้นั้นคือยูดาสผู้มีชื่ออีกว่าบารซับบาสและสิลาสทั้งสองคนนั้นเป็นคนสำคัญในพวกพี่น้อง

ซึ่งนั่นหมายความว่าพระเจ้าทรงนำเราโดยทรงสำแดงน้ำพระทัยของพระองค์นั้น ผ่านการประชุมธรรมกิจของคริสตจักร เพราะฉะนั้นการเจิมตั้งบุคคลในตำแหน่งธรรมกิจหรือผู้ปกครองของแต่ละคริสตจักรนั้น จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก

เมื่อฝ่ายวิญญาณจิต ของผู้เชื่อคนนั้นเติบโตขึ้นในทางของพระเจ้า พระเจ้าก็จะมีวิธีการสอนเราหรือทรงนำเราอีกขั้นหนึ่งผ่านทางผู้ที่เป็นผู้ใหญ่วิญญาณ

เหมือนดังพระคำของพระเจ้าในหนังสือ คลส.4 : 12 พระคำของพระเจ้าตรัสว่า เอปาฟรัส คนหนึ่งในพวกท่านและเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย เขาสู้อธิษฐานเผื่อท่านอยู่เสมอ หวังจะให้ท่านเจริญเป็นผู้ใหญ่และบริบูรณ์ในการซึ่งชอบพระทัยของพระเจ้าทุกสิ่ง

ผมอยากจะเป็นพยานให้พี่ - น้องฟังเรื่องหนึ่ง คือเมื่อ 2 - 3 ปีที่ผ่านมาผมได้ไปเห็นบ้านหลังหนึ่งหนึ่งแถว ต. บางขันแตก ซึ่งบ้านหลังนี้ก็ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 2 ไร่ติดริมแม่น้ำแม่กลองซึ่งผมอยากที่จะทำเป็นบ้านอธิษฐาน ผมจึงติดต่อขอเช่าบ้านหลังนี้จากเจ้าของบ้าน ซึ่งทุกขั้นตอนผ่านไปได้ด้วยดี

แต่เมื่อถึงวันที่จะต้องทำสัญญา ผู้ที่จะสนับสนุนผมทั้ง 3 ท่าน ต่างก็รู้สึกขาดสันติสุขขึ้นมาในทันที ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร แต่เมื่อไปถึงบ้านหลังดังกล่าว ผมก็พบคำตอบในทันที เหตุเพราะผู้ที่มาทำสัญญากับคริสตจักรในวันนั้นกับเป็นภรรยา ส่วนสามีซึ่งเป็นคนที่ผมติดต่อมาโดยตลอดกับยืนนิ่งๆอย่างเดียวโดยไม่พูดอะไรเลยและ

รายละเอียดต่างๆที่ได้คุยกันเอาไว้ ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้นโครงการนี้ก็เลยต้องเลิกลากันไป

สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อกับพี่ - น้องนั่นก็คือว่า บางทีพระเจ้าทรงนำเราแบบห้ามเราด้วย ซึ่งบางทีเราเองนั้นอาจจะไม่เข้าใจการทรงนำแบบนี้หรือบางทีเราเองอาจจะเข้าใจว่า พระองค์ทรงนำเราแบบห้ามเราอยู่ แต่เราเองกับไม่สนใจการทรงนำของพระองค์แบบนี้ เพื่อที่เราอยากที่จะทำตามใจตัวเอง ฉากจบของผู้เชื่อหลายต่อหลายคนจึงจบไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นัก ถ้าเราไม่ไวต่อการทรงนำของพระเจ้า ( ให้เราบอกกับคนข้างซ้าย - ข้างขวาว่า คุณต้องไม่ใช่คนนั้น )

ในเมืองเพนซิลวาเนียมีอนุสาวรีย์แห่งหนึ่งชื่อ วิลเลียมเพนน์ เป็นอนุสาวรีย์ที่สูงตระหง่าน ก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ก่อตั้งรัฐเพนซิลวาเนีย เทศบาลของรัฐแห่งนี้พบว่า มีนกกระจอกบินมาตายอยู่ที่โคนอนุสาวรีย์ในทุกเช้าวันใหม่

จากการวิจัยก็พบว่า นกที่ตายส่วนมากเป็นนกวัยหนุ่มวัยสาวทั้งสิ้น สาเหตุที่ทำให้นกเหล่านี้ตาย จากการวิจัยก็พบว่านกพวกนี้จะออกหากินตอนเช้ามืด โดยไม่ทันระวังตัวก็บินชนอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ในความมืด และสาเหตุที่ลึกลงไปที่ทำให้นกหนุ่มสาวเหล่านี้ต้องตาย นั่นก็เพราะว่า นกหนุ่มสาวพวกนี้ไม่ยอมที่จะบินตามนกแก่ๆ ซึ่งเป็นนกที่ชำนาญเส้นทางการบินเป็นอย่างดี

พระคำของพระเจ้าในพระธรรม ยน. 14 : 6 พระเยซูตรัสว่า “ เราเป็นทางนั้น ”   ซึ่งนั่นหมายความว่า ไม่มีทางอื่นใดอีกแล้ว

ถ้าพี่ - น้องไม่อยากให้ชีวิต ของพี่ - น้องต้องล่วงหล่นดังตุ๊บ ตุ๊บ เหมือนกับนกหนุ่มนกสาวเหล่านั้น พี่ - น้องก็จะต้องยอมให้ ผู้ชำนาญเส้นทางชีวิตทั้งในฝ่ายร่างกายและในฝ่ายจิตวิญญาณอย่างองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นผู้นำพาชีวิตของเรา ซึ่งไม่เพียงแต่ชีวิตของพี่ - น้องจะอยู่รอดปลอดภัยและไม่ขาดพระพรของพระเจ้าเท่านั้น แต่ชีวิตของพี่น้องจะ SuccessAlways ให้พี่ - น้องได้อธิษฐานกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวในค่ำคืนนี้

* ที่เราจะมีความเต็มใจ ตั้งใจและมีความยินดี ที่จะให้พระเจ้าทรงนำชีวิตของเรา

* ที่เราจะเต็มใจเดินไปบนวิถีทางที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยกับเรา * ก้าวไปทีละก้าวพร้อมกับพระองค์ * รอคอยด้วยการอธิษฐาน และเราขอน้อมรับวิธีการที่พระเจ้าจะทรงนำเราผ่าน ทางพี่ - เลี้ยงฝ่ายจิตวิญญาณของเรา ผ่านทางพระวจนะของพระองค์ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ผ่านทางการประชุมของคริสตจักร ผ่านผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณ

           

Green City